28.12.51

ล้น....

เมื่อวานนี้ เป็นวันดีๆ (ที่จริงต้องถือว่าดีมาก) หนึ่งวัน ที่ห่างหายไปจากชีวิตอย่างยาวนาน
ตารางเวลาวันดีๆ เป็นประมาณนี้ค่ะ

ตอนเช้า นัดกินข้าวกับพี่น้องกลุ่มหนึ่ง ปรึกษาหารือเรื่องชีวิตกัน
ตอนบ่ายๆ แวะไปหาพ่อที่ร้านในจตุจักร เจอน้องสาว (คนละแม่) และภรรยาคนใหม่ของพ่อ
แล้วก็ไปเดินจตุจักร ซื้อของเป็นเพื่อนอีฟแป๊บนึง
กลับบ้านไปกินข้าวกับแม่และน้องชาย
ตอน 3 ทุ่มไปนัดเลี้ยงรุ่น นิเทศจุฬา 37 ที่พระนครบาร์ สี่แยกคอกวัว

หลังจากที่ชีวิตหายหดจมไปอยู่กับการงานนานหลายเดือน
ไม่ได้โผล่ไปเข้าสังคมที่ไหนใดๆ ทั้งสิ้น
พระเจ้าก็อวยพร ก่อนหยุดปีใหม่ได้ไปเจอผู้คนที่รักใคร่มากหน้าหลายตา
(โปรแกรมแรกเริ่มคือ นอนอยู่บ้าน ขอบคุณพระเจ้าที่หาเหตุให้ออกมาจนได้)
มีความสุขมากอย่างบอกไม่ถูก โดยเฉพาะตอนไปหาพ่อ ^_^

....+++.....+++.....+++.....

วันนี้งานฉลองปีใหม่ที่สโมสรรถไฟ ครั้งแรกของกลุ่ม Nexus
เป็นวันที่ดีมากอีกแล้ว
ตื่นเช้าไม่ปวดหัว แม้จะง่วงนอนเล็กน้อย แต่ก็มีเรี่ยวแรงและมีความสุขมากในตอนนมัสการ
การเข้าโบสถ์วันนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายของปี
สิ่งที่เราคุยกัน คือเรื่องการก้าวไปข้างหน้า เริ่มต้นที่จะทำสิ่งใหม่ๆ
ใช้ความเป็นตัวเราในการสร้างสิ่งดีให้แก่โลกใบนี้ให้มากที่สุด

ปีหน้าคงจะเป็นปีที่ตื่นเต้นมาก
ตอนจับฉลากในงานเลี้ยงวันนี้
อธิษฐานกับพระเจ้าไว้หนึ่งอย่าง เรื่องปีหน้านี่แหละ
บอกพระเจ้าว่า
"หมี่เนี่ย จับรางวัลที่ไหนก็ไม่เคยได้เลย
ขอให้คราวนี้จับรางวัลได้ชื่อหมี่
เป็นการตอบคำอธิษฐานจากพระเจ้านะคะ"
แต่คิดไปคิดมา ก็บอกพระเจ้าว่า
"ไม่เอาดีกว่า หนูไม่อยากให้พระเจ้าคอนเฟิร์มง่ายๆอย่างนี้หรอก
เดี๋ยวไม่ได้ขึ้นมาเดี๋ยวเสียใจ"
(ตลกไหมคะ ไอ้เด็กคนนี้)

ปรากฏว่าระหว่างที่กำลังเมาท์กับเพื่อนย่อย (คนอะไร ชื่อย่อย)
ก็มีคนโวยวายขึ้นมา บะหมี่ บะหมี่
แล้วเราก็วิ่งขึ้นไปรับกระติกน้ำร้อนไฟฟ้าแบบงงๆ
.......


ได้จริงๆ ด้วยค่ะพี่น้อง
ร้อยวันพันปีไม่เคยได้
พระเจ้าน่ารักเป็นที่สุด

เพลงที่ร้องตอนงานจบ ชื่อว่าเพลง "Holding on the Way"
จะถูกใช้เป็นเพลงของกลุ่ม Nexus
หมี่เป็นคนแปลเนื้อเพลงจากอังกฤษมาเป็นไทย
แม้จะมีพี่มาช่วย edit ให้เพิ่ม
แต่ก็ดีใจเป็นที่สุดที่เห็นคนร้องทั้งโบสถ์

ความสุขมันล้นออกมาเลยค่ะพระเจ้า
ขอบคุณพระเจ้าและโลกใบนี้ที่น่าอยู่เสมอ



(แต่กลับมาเครียดเรื่องงานต่อเหมือนเดิมแล้วตอนนี้ เฮ้อออออออ)

25.12.51

Bamee 2009

Merry Christmas สำหรับผู้เยี่ยมเยียนทุกท่าน



ขออภัยที่เขียนเนื้อหาผิดตรง ยัดสรรแน่นพูนล้น
ขอบคุณพี่ป๋อมที่มาเตือนค่ะ ต้องเป็น ยัดสั่นแน่นพูนล้นนะ


ขออภัยที่บางทีก็โวยวายระบายอารมณ์อะไรไร้สาระ ให้คนอื่นเป็นห่วง
ขอบคุณที่เป็นห่วงนะคะ
ยังพอประคับประคองได้อยู่ค่ะ
ยังไหวๆ


ขออภัยที่บางทีก็เขียนเรื่องอะไรก็ไม่รู้ ไร้สาระ
และบางทีก็หายหน้าหายตาไปนานๆ

ขอบคุณที่ยังอ่านกันมาสม่ำเสมอ
ไม่กี่คนที่อ่านบล๊อกของหมี่อยู่เรื่อยๆ
มีคุณค่ายิ่งกว่าร้อยคนที่เปิดผ่านเข้ามาครั้งเดียว แล้วก็ผ่านไป

หมายความว่าคุณกำลังรู้จักหมี่มากขึ้นนะคะ
แล้วหมี่ยินดีมาก ถ้าหมี่จะได้รู้จักคุณมากขึ้นด้วย



มะกี๊นั่งเขียนชีวิตปี 2009 ของตัวเอง
ตั้งชื่อไฟล์ว่า บะหมี่ 2009
(กรุณาอย่าคลิกภาพเข้าไปดูรายละเอียดเลยนะคะ เพราะมีเรื่องน่าอายหลายอยู่)
























หน้าตาประมาณนี้
มีทั้งเป้าหมาย
การจัดเวลา
สิ่งที่อยากทำ
(เพิ่งนึกได้ ว่าลืมใส่หัวข้อการออกกำลังกายเข้าไปด้วย -_-)
ดูมากมายวุ่นวายก็จริง แต่ว่าสนุกดีนะคะ การคิดวางแผนชีวิตตัวเอง
ที่จริงมีไฟล์ Bamee2008 ด้วย เป็นการประเมินผลของปีที่แล้วค่ะ
ถ้าไม่ประเมินผล แผนที่ว่างต่อไปจะดีและครบถ้วนได้ยังไงล่ะ



ขอโทษนะคะพระเจ้า ถ้าปีที่ผ่านหนูพลาดอะไรไปบ้าง
และขอบคุณพระองค์ที่ดูแลและนำมาตลอดทางเดิน
ขอบคุณสำหรับครอบครัวที่น่ารักที่สุดในโลก (ของหมี่)
ขอบคุณสำหรับพี่น้องและคนรอบข้าง
ขอบคุณสำหรับวันเวลาแห่งความสุขทุกๆ วินาที
ขอบคุณสำหรับการไม่เคยขาดสิ่งดีใดๆ


Happy Birthday to Jesus
และ Merry Christmas to everyone ค่ะ

24.12.51

The Last Lecture : The latest book I've read

ใช้เวลาอ่านประมาณ 2 วัน
หนังสือที่ชื่อว่า The Last Lecture
เขียนโดยศาสตราจารย์แห่งวิทยาศาสตร์โลกเสมือนจริง : แรนดี เพาช์
พูดถึงเนื้อหาการบรรยายครั้งสุดท้ายต่อหน้าฝูงชน ในขณะที่เป็นมะเร็งตับขั้นสุดท้าย

เขาใช้ชื่อหัวข้อการบรรยายว่า "ทำฝันวัยเด็กของคุณให้เป็นจริงได้อย่างไร"

มีคนบอกว่า ชีวิตมีช่วงเวลาอยู่แค่ 2 ช่วง
คือช่วงทุกข์น้อย และช่วงทุกข์มาก -_-"
แต่หมี่และศาสตราจารย์แรนดีคิดเหมือนกันว่า ชีวิตและการใช้ชีวิตคือความสุข

.....+++.....+++.....+++

ที่จริงพระเจ้าสร้างเรามาเพื่อให้มีความสุข
เวลาที่เราไม่รู้จักพระเจ้า เราก็รู้จักความสุขแบบหนึ่ง
(ซึ่งจริงๆ มันมีความทุกข์ปนอยู่ด้วยในสัดส่วนที่อันตราย)

พอเรามารู้จักพระเจ้า เราได้รู้จักความสุขอีกแบบหนึ่ง
ที่แม้ในวันแห่งความทุกข์ เราก็ยังมีความสุขได้

หมี่ไม่เชื่อว่าการดูแลชีวิตไม่ให้ทุกข์ เป็นคำตอบที่ถูกต้องในการใช้ชีวิต
แต่หมี่เชื่อว่า เราสามารถเลือกที่จะมีความสุขได้ทุกสถานการณ์
สำหรับคนที่เจอแรงกดดันบีบคั้นอย่างมาก จนไม่อาจมีความสุข
แม้อย่างนั้น เลือกมองที่พระเจ้า เราก็ยังมีความสุขได้

ศาสตราจารย์แรนดีต้องใช้เวลาและกำลังใจที่น้อยนิด
ต่อสู้ในการสร้างความสุขให้ตัวเองและคนรอบข้าง
ให้ภรรยาที่จะไม่มีเขาเคียงข้างอีกต่อไป
ให้ลูกน้อยที่จะเกิดมาโดยไม่มีพ่อ

ศาสตราจารย์แรนดีทำในสิ่งที่ตัวเองทำได้
พระเจ้าสร้างเขามาแบบไหน..
เขาก็เลือกจบชีวิตตัวเองแบบนั้น อย่างน่าประทับใจ

.....+++.....+++.....+++

ก่อนตาย เขาบอกภรรยาว่า....
อย่ารู้สึกแย่หรือเสียใจ เวลาที่เผชิญความผิดพลาด
ก็แค่ยอมรับมัน
อย่าคิดว่าความผิดพลาดเป็นเพราะเธอต้องทำทุกอย่างด้วยตัวคนเดียว
และเขาเสียใจที่ไม่ได้อยู่ร่วมผิดพลาดกับเธอ

ดำเนินชีวิตอย่างมีความฝัน
เป็นตัวของตัวเองและเดินไปอย่างถูกวิธี
ก้าวข้ามผ่านความผิดพลาดและความล้มเหลวบ้าง
เปลี่ยนแปลงตัวเองและเติบโตเรื่อยๆ
ใช้ชีวิตอย่างกล้าหาญ....

ความฝันจะวิ่งมาหาเราเอง

เราเกิดมาเพื่อมีความสุข จริงๆ นะ

19.12.51

วิธีการ "รักในสิ่งที่ทำ"

-_-" เมื่อกี๊พิมพ์ไปหนึ่งรอบ
กดผิด หายไปอีกแล้ววว
อะ เกริ่นใหม่

ช่วงวัยเรียน เวลาที่เราไม่อยากทำอะไร บางทีก็แอบหนี แอบโดดไปไหนต่อไหนบ้างได้
ดื้อด้านกับบุพการีเล็กน้อย ก็ไม่ค่อยจะรู้สึกผิด
แต่ว่าสัจธรรมของโลกก็มาถึง เมื่อเข้าสู่วัยทำงาน
บางทีเราต้องทำอะไรที่เราไม่อยากทำ
เพราะมันคือความรับผิดชอบ

นี่แหละ..
ปัญหาของคนส่วนใหญ่
(โดยเฉพาะคนไทย วัยทำงานต้นๆ)

หมี่เองหลายทีก็ต้องทำในสิ่งตัวเองไม่ได้ชอบเล้ยยย
ก็ต้องคอยตอบตัวเองให้ได้ว่า เราทำเพื่ออะไร
แล้วก็ทำให้มีความสุขกับมันซะ

วิธีการ!! (เท่าที่จะสามารถคิดได้)

1.ทำความรู้จักตัวเองก่อน
เห็นหลายคนแล้วที่คิดว่าตัวเองชอบงานนั้น ชอบงานนี้
เอาเข้าจริงก็ไม่ใช่ แล้วก็ต้องทนทำ เพราะหลวมตัวเข้ามาแล้ว
ช่วงเวลาแห่งความสับสน ใช่ ไม่ใช่ ใช่ ไม่ใช่
อาจจะมีผลทำให้งานที่รับผิดชอบอยู่ กลายเป็นเครื่องมือบั่นทอนชีวิต
แล้วก็ขยาดไปเลยซะนี่
หลายๆ คนที่เรียนรู้จักตัวเองได้เร็ว ว่าเหมาะกับอะไร ถนัดอะไร
พวกนี้มีความสุขง่ายค่ะ
เลือกได้ตั้งแต่ยังไม่โตเลย

2.ทำในสิ่งที่รัก
งานถือเป็นส่วนสำคัญในชีวิต
แต่ว่าทั้งชีวิตไม่ได้มีแค่งาน
มีอะไรอีกตั้งหลายอย่างที่ทำแล้วมีความสุข
บางคน เบื่อ เซ็งกับงาน พาลโทษทุกอย่างในชีวิตไปซะงั้น
มีอะไรบ้างที่เรารักที่จะทำ ดูหนังฟังเพลง เที่ยวกับครอบครัว
ทำเลยค่ะ เพิ่มเติมช่วงเวลาดีๆ ของชีวิต

3.นับความสำเร็จทุกๆ อย่าง
บางทีความรู้สึกที่เราคิดว่าเราทำไม่ได้
ทำให้งานนั้นน่ากลัวเกินไปสำหรับเรา
ประมาณว่า รักไม่ลง -_-
ที่จริงทุกอย่างอยู่กับความเชื่อ
เริ่มต้นสร้างความเชื่อใหม่โดยการนับความสำเร็จทุกอย่างนะคะ
จดหมายหนึ่งฉบับ เคลียร์เอกสารหนึ่งครั้ง
ลูกค้าตอบรับหนึ่งเจ้า ทำงานทันเวลาหนึ่งชิ้น
นับมันไว้ให้หมด สร้างความมั่นใจให้ตัวเอง
แม้เราไม่รักในสิ่งที่เราทำ
อย่างน้อยเราก็จะเริ่มต้นมีความสุขกับการทำงานนั้น
แต่งๆ กันไป เดี๋ยวก็รักกันเองนั่นแหละ
(ยืมๆ มาใช้ แม้ไม่ได้เข้ากับบริบท 555+)

4.กลับสู่สัจธรรม
4.1 เราสามารถเลือกได้ ว่าเราจะทำอะไร
4.2 เราไม่สามารถทำทุกสิ่งที่เราต้องการได้
4.3 การเรียนรู้ตลอดชีวิต มีจริง! และสำคัญ!
4.4 การรอคอยเป็นสิ่งจำเป็น เพราะไม่มีอะไรที่ได้มาง่ายๆ
เรียนรู้จักและยอมรับสัจธรรมของชีวิตเรื่อยๆ นะคะ
เพื่อเราจะเข้าใจและเติบโตขึ้น มันจะทำให้เราจะรักและเห็นคุณค่าตัวเรามากขึ้น
และจะทำให้เรารักและเห็นคุณค่าสิ่งต่างๆ รอบๆ ตัวรวมถึงสิ่งที่เราทำด้วยค่ะ

ฝันดีและมีชีวิตที่มีความสุขค่ะ
ใกล้คริสต์มาสแล้วนะ
เร็วจังเลย

18.12.51

ยัดสรรแน่นพูนล้น

เวลานึกถึงคำนี้ทีไร มักจะเห็นภาพของหม้อ หรือถ้วย หรือพาชนะอะไรสักอย่าง
มีวัสดุมีค่าอยู่ข้างใน เช่น เงิน แบงค์ อัดยัดกันแน่นเต็มจนเกินออกมานอกพาชนะ

พระเจ้าบอกกับเราไว้ว่า พระเจ้าจะอวยพรเราอย่าง "ยัดสรรแน่นพูนล้น"
ไม่ต้องกลัวอด ไม่ต้องกลัวจะไม่มีหรือไม่พอ

อีกไม่กี่วันก็จะถึงวันคริสต์มาส
ต่อจากนั้นก็เป็นเทศกาลปีใหม่
อบอวลไปด้วยความรู้สึก อุ่นๆ ประหลาดๆ ใจหาย ตื่นเต้นเสมอ..
กับช่วงเวลานี้

ทบทวนชีวิตที่ผ่านมา สิ่งที่เราได้ให้ สิ่งที่เราได้รับ
คิดถึงวันข้างหน้า สิ่งที่เราควรจะให้ และสิ่งที่เราอยากจะได้รับ

ใครๆ ก็พูดเหมือนกันหมด ว่าเวลาผ่านไปเร็วมาก
รู้สึกเหมือนว่าเวลาหนึ่งปีนี้ มันสั้นมาก อาจเป็นเพราะพระเจ้าอวยพรชีวิตการทำงานอย่างยัดสรรแน่นพูนล้น

ไม่ใช่เงินเดือน ไม่ใช่กำไร ไม่ใช่ชื่อเสียง
แต่เป็นประสบการณ์ทำงานที่เปิดหูเปิดตาและแหวกสมองอย่างมหาศาล
ตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบัน (จะว่าไป ก็เริ่มเห็นชีวิตตัวเองในปีหน้าแล้ว)
เห็นภาพตัวเองเหมือนเป็นกล่องกระดาษ
พระเจ้ายัดของหลายๆ อย่างลงมาในกล่อง
พอดีว่าของที่พระเจ้ายัดลงมาเป็นของนิ่ม ก็ยืดหยุ่นได้

พระเจ้าไม่ได้แค่เอาของใส่เข้ามา
แต่พระเจ้ายัดลงมาด้วยมือ กดๆๆ แล้วก็เข้ามายืนในกล่อง และก็กระทืบๆๆ
อันแน่นมาก เกือบๆ จะพูนล้นแล้ว
แต่ความยืดหยุ่นสูง บวกกับน้ำหนักการกระทืบมีมากเพียงพอ

ก็เลยยังมีที่เหลือใส่ได้ต่อ
ยังกดและกระทืบได้อีก

เกือบเต็มแล้ว...
กล่องใบนี้ เริ่มมีอะไรมากพอแล้ว
แต่ด็ยังใส่ได้อีก

อยากจะเขียน Pocket Book เล่าเรื่องราวและประสบการณ์ทั้งหมด
ที่ล้วนแล้วแต่เป็นประสบการณ์สุดแสน Amazing ให้คนทั้งโลกได้อ่าน...

สำหรับเรื่องราวของปี 2008 ขอสัก 1,000 หน้า จะเขียนจบไหมนะ

16.12.51

อารมณ์ความรู้สึก

อารมณ์ความรู้สึก
อารมณ์ความรู้สึก


มีผลต่อความคิด จิตใจ
และการกระทำ

ไอ้เด็กผู้ชายเอ๊ย!!

9.12.51

อินเนอร์อีกแล้ววววว

อากาศหนาวเชียวช่วงนี้
เกิดอาการป่วยหนักอีกครั้ง
แม้จะดีขึ้นบ้างแต่ก็เรื้อรังมาเกือบสัปดาห์แล้ว

สัปดาห์ที่ผ่านๆ มา มีงานเข้ามาค่อนข้างเยอะ
ทั้งงานราษฏร์ งานหลวง
งานทบวง งานกรม
(ก็เห็นเยอะอยู่ตลอดเวลาเหอะ)
แล้วก็ดันป่วยๆ เหนื่อยๆ งานก็ไม่เสร็จ
ใครชวนไปไหนก็ไม่อยากไป ชวนไปดูหนังก็ไม่ไป
จะนอนอย่างเดียวเลย
แบบว่าจิตใจยังดีอยู่ ไม่ต้องการการหย่อนใจ
ขอหย่อนกายเป็นพอ

เมื่อวานนี้ หลังจากเลิกโบสถ์ ต้องรอไปเก็บของเดอะมอลล์งามวงศ์วาน
ตั้ง 4 ชั่วโมง ไม่รู้ทำอะไรดี ก็เลยไปซื้อตั๋วหนังเรื่อง Twilight
เกือบจะกลับไปนอนอยู่แล้วเชียว ปวดหัว
แต่ก็นะ มีคนโฆษณาไว้หลาย ดูซะหน่อย หลังจากที่ไม่ได้ดูหนังมานานแสนนาน

ปรากฏว่า......
ดูจบแล้วโรคเก่ากำเริบครับผม
อินกับความโรแมนติกของหนังไปซะนั่น
แถมยังอินกับหน้าตาและบทบาทของพระเอกนางเอกไม่แพ้กัน

เป็นเสมอๆ เวลาที่ดูหนังรักและดราม่า
รู้สึกมีความสุขและจมเข้าไปในโลกของหนังเรื่องนั้นซะ
(เป็นสาว emotion เหมือนกันนะคะ จะบอกให้)

ก็ดีเหมือนกันนะ
นานๆ ได้พักผ่อนอะไรแบบนี้สักที
จิตใจอ่อนไหวและลึกซึ้งขึ้นนิดๆ

พระคัมภีร์บอกว่าอย่าใส่ใจกับนิยายที่หาสาระไม่ได้
แต่ว่าถ้าดูแล้วสร้างสรรค์และจรรโลงจิตใจ อย่างนี้ก็ได้อยู่
แหม พระเจ้าอุตส่าห์สร้างอารมณ์ ความรู้สึก ศิลปะการเล่าเรื่อง
และความงดงามบนแผ่นฟิล์มมาให้มนุษย์ขนาดนี้
ต้องใช้ให้เป็นประโยชน์สิคะ

30.11.51

เรื่องเก่าเล่าใหม่

เชื่อไหมว่า โลกนี้ไม่มีอะไรใหม่!!
เคยได้ยินคำพูดที่บอกว่า ไม่มีอะไรใหม่ใต้ฟ้านี้ ทุกอย่างเคยเกิดขึ้นมาแล้ว
ทุกอย่างคือเรื่องเดิมๆ ที่เอามาเล่าใหม่

หนังสือเล่มหนึ่งพูดถึงความ creative ว่าเป็นการจับสิ่งที่มีอยู่แล้วมาผสมผสานกัน
เพื่อสร้างมุมมองใหม่ ของใหม่ ความคิดใหม่ หรืออะไรก็ตามที่มันใหม่ๆ
มันก็คือเรื่องเก่า เอามาเจอกับเรื่องเก่า แล้วก็เล่าใหม่
ถ้าเล่าแล้วดี เจ๋ง เกิดประโยชน์ แสดงว่า Creative สูง

มีบางอย่าง ที่ดูเหมือนเรื่องใหม่ แต่ว่าเป็นเรื่องใหม่ที่เล่าเก่า
ละครไทย
กระเป๋าหลุยส์ ติงต๊อง
ประท้วงรัฐบาลด้วยการยึดสุวรรณภูมิ (เกี่ยวไหม!!)
และอื่นๆ อีกมากมาย ที่ไม่ได้ถือว่าจับเรื่องเก่าเอามาเล่าอย่างสร้างสรรค์

ดูเหมือนว่าเราจะเป็นนัก creative
แต่ก็ถามตัวเองอยู่หลายครั้ง ว่าใช่หรือไม่
ไม่ได้มีความคิดหลุดโลก บ้าบอ คิดอะไรได้ใหม่ตลอดเวลา

หลังจากทำงานมาได้หลายช่วงเวลา
ก็รู้จักตัวเองว่า เป็นนักคิด ไม่ใช่นักทำ
มีอะไรอีกเยอะบนโลกให้ค้นหา และคิดแก้ปัญหา
ด้วยการ creative ไปกับมัน
บางสิ่งหายไป พังลง เพื่อให้เกิดบางสิ่งมาทดแทน
บางปัญหา เกิดมาเพื่อให้มีการสร้างสรรค์
ตามหลักพุทธก็จะบอกว่า ทุกอย่างมีเหตุปัจจัย

แต่หมี่เชื่อพระเจ้า
พระเจ้าบอกว่า ไม่มีอะไรบังเอิญบนโลกใบนี้
และพระเจ้าจะดูแลคนที่รักพระองค์ให้เกิดผลอันดีในทุกสิ่ง
แผนการของพระเจ้าเป็นแผนการเพื่อสวัสดิภาพ ไม่ใช่เพื่อทุกขภาพ

ทุกอย่างมีสิ่งดีซ่อนอยู่
ไม่มีปัญหาอะไรที่แก้ไม่ได้
ปัญหาจะแก้ได้เมื่อไม่ท้อใจ
คิด ใช้สติปัญญา และความสร้างสรรค์
ความสร้างสรรค์เกิดจากการมองแง่โลกดี และคิดแง่บวก
มองให้ถูกที่ ถูกทาง ก็จะเจอวิธีการเล่าเรื่องเก่าให้เป็นเรื่องใหม่ได้ไม่มีวันสิ้นสุด

รู้สึกขอบคุณพระเจ้า
เพราะพระเจ้าสอนให้เราขอบคุณพระเจ้าได้ในทุกสิ่ง

25.11.51

men are from Mars, women are from Venus

เคยสงสัยหลายครั้งเหมือนกัน ว่าทำไมตัวเองถึงไม่เหมือนผู้หญิงคนอื่น
ไม่ค่อยงี่เง่า แล้วก็ไม่ค่อยเข้าใจเพื่อนสาวที่งอแงกะอะไรเล็กๆน้อยๆ สักเท่าไหร่
ความเป็นตัวเองสูงมากกก แบบว่าไปห้องน้ำคนเดียวได้
ไม่ต้องการยุ่งกะใครเวลาที่เขามีความสุข
แต่ถ้าเพื่อนเดือดร้อนเป็นทุกข์ รับรองว่าไปแน่
นิสัยไม่ค่อยเหมือนเพื่อนผู้หญิงคนอื่น

มีเพื่อนผู้ชายก็เยอะ
เพื่อนผู้หญิงก็เยอะ
แต่ก่อน มีแฟนก็เยอะ
ใครๆ ก็รักไปหมด
ด้วยความไม่เรื่องมาก ไม่ซับซ้อนในการเข้าหาคนอื่น
(แต่รู้สึกว่ากับตัวเอง ทำไมซับซ้อนจัง)

ประมาณ 1 ปีที่ผ่านมา
เพิ่งค้นพบตัวเองว่า การที่สามารถเข้ากับคนได้ง่ายทุกเพศ วัย อาจจะเป็นเพราะสมดุลดี
เนื่องจากมีนิสัยการคิดและการใช้ชีวิตคล้ายผู้ชายซะหลายส่วน
พยายามปฏิเสธชาวบ้านมาตลอดว่าไม่ใช่ทอม (เหอเหอ -_-)
พี่นิยม พี่ชายที่น่ารักคนหนึ่งอธิบายให้ฟังว่า ผู้ชายกับผู้หญิงคิดต่างกันยังไง
มองคนละมุมนี่ คนละมุมยังไง ใครมองมุมไหน เพราะอะไร

เอ้อ ฟังแล้วเข้าใจแฮะ
แล้วเวลาฟังผู้ชายกับผู้หญิงคุยกันหรือเถียงกันก็จะมีขำๆ บ้างในบางที
เพราะว่าเข้าใจทั้งคู่ เลยรู้สึกว่าตลกดี
มองกันคนละเรื่องจริงๆ

อีฟ เพื่อนสาวสุดเลิฟ ผู้ดูแลงานโปรดักชั่นทุกอย่างในบริษัท
เป็นคนที่ใส่ใจในรายละเอียดทุกเนื้องานการผลิต
แต่ไม่มีหัวมาร์เก็ตติ้งอย่างรุนแรง
ยิ่งนั่งคุยงานกัน ยิ่งชัดเจน
เวลาประชุม Marketing กัน แล้วนึกถึงมุมของอีฟก็ขำดี
แบบว่าเข้าใจ

อาจจะไม่ใช่แค่ผู้ชายจากดาวอังคารกับผู้หญิงจากดาวศุกร์
แต่อาจจะมีคนจากพันๆ ดาวมาอยู่รวมกันบนโลกก็ได้
มันถึงได้สนุกสนานวุ่นวายไม่รู้จักจบสิ้นอย่างนี้ไงเล่า


เอ๊ พระเจ้าคะ แล้วหนูมาจากดาวไหนละเนี่ย
น่าจะเป็นดาวที่น่าอยู่มากๆ เลยนะ
(แต่ว่ายังหาทางกลับไม่เจอ)

22.11.51

ขอบกำแพง --------

เมื่อวานนี้ ตอนที่กำลังเดินข้ามสะพานลอย
เห็นนกตัวหนึ่ง
เดินอย่างสบายใจอยู่ที่ขอบสะพานลอยด้านนอก

อยู่ดีๆ เราก็หยุด แล้วก็ดู จนเหลียวหลังง
ในใจคิดว่า....
มันไม่กลัวจะหล่น หรือไม่มีอาการเสียวๆ หัวใจบ้างเลยหรือไง
ใช่สิ มีปีกนี่นา หล่นไปก็บินได้
ถ้าเป็นเรานี่คงไม่กล้า...
คิดเป็นตุเป็นตะ ตลกดี

นึกๆ แล้วเหมือนเวลาที่เราเดินไปบนทางแคบ
มีหุบเหวอยู่ข้างๆ ทั้งซ้ายและขวา
(เหมือนในหนัง)
ถ้าหากทำตัวเหมือนนก
ทำเสมือนว่ามีปีกอยู่ (แต่ไม่ยอมใช้ปีก พยายามไล่ให้บิน ก็ไม่บิน ใช้เท้าเดินไปจนสุดขอบเลย)
ก็คงจะเดินได้แบบสบายใจดี ไม่ค่อยหวั่นไหวหรือเสียวหัวใจเท่าไหร่

ที่จริงก็ไม่ต้องไปอิจฉานกหรอกเนอะ
เรามีปีกอยู่แล้ว
ไม่เชื่อไปอ่านใน อสย 40:31 ดูแล้วกันนะคะ

19.11.51

อืมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมม

มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่แปลกประหลาด
หลายครั้ง ทั้งที่เรารู้ว่าเราอยู่ได้ด้วยความจริง
แต่เรามักจะเดินไปด้วยความรู้สึก

ตอนนี้กำลังเลือกข้างความจริง
ซึ่งก็เลือกอย่างมั่นใจเต็มใจ
แต่ต้องพยายามไม่ให้ความรู้สึกมาก่อกวนใจในเวลาเดียวกัน

เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา
สมาคมส่งตัวไปดูงาน Asian Sport Stacking Championships ที่สิงคโปร์

ทำใบโครงการเสร็จวันอังคารเย็น
วันพุธเช้า MD เซ็นอนุมัติ
วันพุธบ่ายหาที่พัก
และวันพุธเย็นจองตั๋วเดินทาง flight 11.15 พฤหัสบดี

ขอบคุณพระเจ้า
Air Asia ตั๋วเต็ม ต่อสู้แสวงหากันจนได้ Jetstar ตอนหกโมงเย็น
ในราคาเพียง 4,814 บาท (พี่นิกที่ช่วยจองตั๋วให้ บอกว่าไม่เคยจองได้ราคาถูกอย่างนี้เลย)
flight 9.15 วันพฤหัส

ติดต่อที่พักได้ตอนบ่าย 2
เป็นบ้านพี่น้องคริสเตียนที่สิงคโปร์ ซึ่งน้องชายไม่อยู่พอดี
ได้ห้องพักที่ดียิ่งกว่าโรงแรมซะอีก

ของกินที่สิงคโปร์เหมือนจะไม่อร่อย
แต่อร่อยทุกมื้อ และราคาไม่แพงเหมือนที่คาดไว้

ได้ถ้วยรางวัลและประสบการณ์ในการดูงานเรื่องการแข่งขัน
และได้ connection กลับมา 3 คน อย่างที่ตั้งใจ

ไป City Harvest ในครึ่งชั่วโมงสุดท้าย
แต่ก็ได้สัมผัสบรรยากาศของการเทศน์ การแบ่งปันพระพร
VTR สุดยอด creative
และได้สัมผัสบรรยากาศการนมัสการทั้งช้าและเร็ว อย่างครบถ้วน

ได้ดูหนังฟรี
ได้ขับรถชม Orchard Road
ได้เดิน Shopping mall ที่อลังการงานสร้างมากของ SG

ใช้เงินทั้งหมด รวมของฝาก ค่าเครื่องบิน และค่าเดินทางไป-กลับสุวรรณภูมิ
8,000 บาท

ชีวิตเป็นเรื่องดีเสมอ
การรู้สึกแบบนี้ อาจต่ออายุเราได้มากขึ้น
การดำเนินชีวิต ต้องมีความสุข
เพื่อในเวลาที่เราเจอกับความจริง
เราจะได้รู้ว่า โลกนี้ไม่ได้มีแต่เรื่องที่น่าหวาดระแวง

แม้อะไรจะเปลี่ยน ๆๆๆๆๆ ไปหมด
แต่ว่าพระเจ้าไม่เคยเปลี่ยน
พระพรและของขวัญของพระเจ้า ที่ชัดเจนอยู่ในใจและในชีวิตของเรา
จะไม่เปลี่ยนไปตามเวลา

ก็มันเกิดขึ้นแล้ว จะปฏิเสธว่าไม่จริงก็ไม่ได้อะนะ
มนุษย์เราจะอยู่รอด เมื่อเดินตามความจริง
ด้วยความรัก

ใช่ไหมคะพระเจ้า

13.11.51

Singapore

T_T
เสียใจ
พิมพ์ไปตั้งเยอะแยะ
กดผิดทีเดียวหายหมดเลย
แง้ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ

11.11.51

จงมีความสุข

เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา
ไปโบสถ์ที่คลองเตย อย่างที่ไปสม่ำเสมอ
มีการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย เพราะห้องประชุมใหญ่ไฟดับ
ก็เลยมานมัสการที่ชั้น 3 กัน
คนแน่นเชียว

ได้ดู Hope TV หลังจากที่ไม่ได้ดูมานาน
หลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ติดภารกิจหลายประการ เลยทำให้ไม่ได้อยู่ที่โบสถ์เช้าจดเย็นอย่างเคย
น้องผู้หญิงคนหนึ่ง เล่าเรื่องที่พระเจ้าเปลี่ยนแปลงชีวิต และอวยพรเรื่องการเรียนผ่าน Hope TV
เป็นการอวยพรในรูปแบบที่ไม่ได้ฟังมานาน
น้ำตาแอบซึม

ระหว่างที่โลกกำลังวุ่นวาย
มีอะไร อะไร อะไรมากมายเยอะแยะเต็มไปหมด (อีกแล้ว เยอะตลอดเวลา)
พระเจ้าก็ยังคงทรงพระชนม์อยู่
และอวยพรคนที่รักพระเจ้าในทุกหนแห่งบนโลกอย่างสัตย์ซื่อ

ไม่ว่าอะไรจะเข้ามาทำให้เราบ่นต่อว่าโลกนี้มากน้อยแค่ไหน
แต่ก็จะมีอีกหลายๆ มุมบนโลกใบนี้
ที่ยังมีเสียงขอบคุณพระเจ้าให้ได้ยินเสมอ

ถ้าหากว่าเรา บ่น
คนรอบข้างเราก็คงอยากบ่นไปด้วย
ถ้าหากว่าเรา เหนื่อย
คนที่เห็นเราเหนื่อย ก็คงจะพลอยหมดแรง
ถ้าหากว่าเรา ยิ้ม
คนรอบข้างอาจจะยิ้มไปกับเรา
ถ้าหากว่าเราขอบคุณพระเจ้า
คนรอบข้างก็จะรู้ว่าพระเจ้าอยู่กับเรา
และถ้าหากว่าเรา มีความสุข
คนข้างๆ และคนรอบข้าง ก็อาจจะมีความสุขไปกับเรา

น้ำตาสามารถไหลออกมาได้ง่ายๆ ในบางช่วงของชีวิต
แต่รอยยิ้มและเสียงหัวเราะมาได้ง่ายกว่า

เพราะมนุษย์ถูกสร้างมาเพื่อให้มีความสุข
จงมีความสุข

พรุ่งนี้จะตื่นไหวไหมคะเนี่ย
พระเจ้าปลุกหมี่ด้วยนะคะ
Good Night
หลับไปเลยคืนนี้...
ด้วยรอยยิ้ม

2.11.51

They are Thai Stackers!!

ถ้าวันนี้ไม่ได้มาเขียนบล๊อก คงจะนอนไม่หลับแน่ๆ
เพิ่งสิ้นสุดการแข่งขันกีฬาสแต็คครั้งแรกในประเทศไทย จัดโดยสมาคมกีฬาสแต็ค
เป็นเหมือนการรวมตัวคนเล่นกีฬาสแต็คกลุ่มแรกของประเทศ

เพิ่งรู้วันนี้นี่แหละ ว่าการแข่งขันกีฬา มันน่าตื่นเต้นยังไง
เป็นกรรมการผู้ตัดสินวันนี้... เหนื่อยมาก ทั้งที่นั่งตัดสินด้วยซ้ำ
หมดพลังไปกับการลุ้นน้องๆ
น้องแต่ละคน ก็ลุ้นของตัวเองคนเดียว
แต่กรรมการนี่สิ ลุ้นมันไปซะทุกแมช
น้องบางคนก็สอนมากับมือ น้องบางคนก็มาเล่นกีฬาที่ Club จนสนิท
น้องคนไหนพลาดยังไง เล่นเร็วช้าแค่ไหน
ก็ลุ้นหัวใจจะวายไปกับทุกๆ คน

ผลรางวัลในวันนี้ค่อนข้างกระจาย มีน้องได้รางวัลที่หนึ่งหลายคน
ไม่ใช่คนเดียวได้รวดทุกรางวัลอย่างที่เก็งกันไว้
แล้วก็มีน้องๆ มือใหม่ที่เป็นม้ามืด คว้ารางวัลงามๆ ไปหลายรางวัล
หลายคนที่ซ้อมมาอย่างดี แต่ถึงเวลาแข่งกลับทำพลาดด้วยความตื่นเต้น
หลายคนเล่นเร็วมาก แต่ทำแก้วสแต็คหล่น
ร้องไห้เสียใจกันไปเป็นแถบ
กรรมการเห็นน้องร้องไห้ ก็ปวดใจ T_T

น้องที่ไปแข่งมีตั้งแต่เด็กอายุ 9 ขวบ จนถึง 18 ปี
เจอกันไม่ถึง 2 วัน ก็เป็นเพื่อนกัน เล่นด้วยกันได้สนุกสนาน
เวลาแข่ง ถ้าทำคะแนนได้ดี ก็จะมีเสียงปรบมือดังๆ ส่งมาให้จากผู้ชม
และแม้ทำคะแนนได้ไม่ดี ก็จะมีเสียงปรบมือให้กำลังใจตลอด
ตอนที่มอบเหรียญ และตอนที่ท่านผู้แทนปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา มอบถ้วยรางวัลให้ผู้ชนะเลิศ
แม้จะเป็นห้องเล็กๆ แต่ว่าเสียงปรบมือดังเชียว

เป็นความอบอุ่นที่เกิดขึ้นในการแข่งขันวันนี้
ดีใจที่ทุกอย่างเป็นไปอย่างราบรื่น
มีความสุขที่ได้เห็นน้องๆ หลายคนได้รางวัลอย่างที่คาดหวังตั้งใจ
แล้วก็เสียใจไปกับน้องๆ ที่เล่นเก่ง แต่ไม่มีโอกาสได้รางวัล ไม่ว่าด้วยเหตุใดก็ตาม
ใจหายทุกครั้งที่เห็นน้องๆ ทำพลาดในการแข่งขัน
มีน้องที่ผ่านเข้ารอบสุดท้ายที่เราติดต่อน้องไม่ได้ ทำให้น้องไม่ได้มาแข่ง ทั้งที่ตั้งใจมาก
เสียใจและรู้สึกผิดอย่างแก้ไม่หาย
ชีวิตนี่มันมีหลายความรู้สึกจริงๆ
(รวมไปถึงความรู้สึกเหนื่อยกาย เหนื่อยใจในบางที)

ขอบคุณพระเจ้าอีกครั้งนะคะ
แบบว่าขอบคุณอย่างสุดใจเลยที่ได้ทำงานนี้
ทำงานกับเด็กๆ ชีวิตมันก็สดชื่นใปอีกแบบนะ
อิอิ

แล้วคนอื่นจะได้รู้จักน้องๆ Thai Stacker รุ่น 1 มากขึ้นแน่นอนค่ะ

31.10.51

นักแก้ปัญหา

นั่งรถกลับบ้านด้วยความเหนื่อยอ่อนหมดพลัง

เมื่อวานนี้นอนตี 2 ครึ่ง
เพื่อจัดการกับสรุปแผนและข้อมูลต่างๆ ในหัวลงมาเป็น paper
และเขียนใบโครงการที่ต้องส่งในตอนเช้าวันต่อมา (วันนี้นั่นแหละ)

ตอนเช้าไปพารากอนเพื่อดูเรื่องพื้นที่จัดการแข่งขัน
ตอนบ่ายทำจดหมายกว่า 20 ฉบับให้น้องๆ ที่เข้ารอบ แล้วก็โทรแจ้งและโทรแจ้ง
และทำเอกสารใบเบิกอภิมหาโปรเจ็คอีกหลายๆ ใบ
สรุปโปรแกรมและรายละเอียดงานต่างๆ
แล้วก็ประชุมงานวันเสาร์
แล้วก็ประชุมงาน 27th Hope Anniversary

ชีวิตเรานี้มันทำอะไรได้เยอะดีเหมือนกันนะ
แต่ว่าเห็นเยอะๆ ขนาดนี้ ยังจะทำไม่ค่อยทันงานที่วิ่งๆ เข้ามาเอาซะเลย

ระหว่างทางกลับบ้าน (ที่เหนื่อยอ่อนหมดพลัง)
อีฟก็พูดถึงการประชุมรายการให้ฟัง
รายการนิยมกล้อง ที่ต้องหาวิธีการประคับประคองให้สูงขึ้นทางเดียวไปตลอด
ท่ามกลางความจำกัดต่างๆ นานา ทั้งภาคเศรษฐกิจ เรื่องเวลา และทรัพยากรบุคคล

ฟังมาหลายที ตกลงไอ้ปัญหาที่ต้องแก้มันอยู่ตรงไหนกันแน่นะ
งาน Creative ซึ่งเป็นงานของนักคิด วางทิศทาง
งาน Production เรื่องของ Specialist ในการสื่อสาร Visual ออกมาให้เจริญหูเจริญตา
หรือว่าอยู่ที่ MC งานเบื้องหน้าสุดๆ ที่เป็นเหมือนสัญลักษณ์และตราประทับของรายการ
ฟังๆ ดูทุกที ก็เหมือนทุกอย่างมีปัญหา
แล้วอย่างนี้จะแก้ยังไง แก้ทำไม คิดใหม่ ทำใหม่มันให้หมดไปเลยดีไหม

เรียนรู้ว่า การแก้ปัญหาอะไรก็ตาม ต้องแก้ให้ตรงจุด แยกแยะให้เจอ
ปัญหาอยู่ที่คน หรือการคิดของคน หรือความสามารถ หรืออุปกรณ์ หรือเวลา
หาให้เจอ
รายการอาจจะมีหลายช่วง แต่ละช่วงก็เจอแต่ละปัญหา ต่างกันไป
เราต้องการให้เป็นแบบไหน เป็นไม่ได้เพราะอะไร ก็ต้องแก้ให้ถูกจุด ถูกที่
ปัญหาหลายที่ก็อาจจะหลายวิธีแก้
เยอะหน่อย แต่ว่าได้ผลกว่าใช้วิธีการเดียวกับทุกเรื่องแน่นอน

ขอบคุณพระเจ้าที่ทุกวันนี้รู้สึกเหมือนทำงานได้มากขึ้น
แยกหมวกและจัดลำดับความสำคัญได้ชัดเจน
อาจจะไม่ได้คิดถูก จัดถูกไปซะทุกอย่าง
พลาดอยู่เรื่อยๆ เหมือนเคย
แต่ว่าความวุ่นวายสับสน (กับงานและกับตัวเอง) ลดน้อยลง
เคยมีคนบอกว่า การทำงานคือการแก้ปัญหา
และก็เคยมีคนบอกว่า หมี่ต้องเป็นนักแก้ปัญหา

คำนี้ช่วยให้สู้ยิบตามาหลายครั้งและ
ไม่มีอะไรยากเกินไปที่จะเกิดขึ้นได้บนโลกใบนี้

26.10.51

ไม่เครียดแล้ว -_-"

สัปดาห์ที่ผ่านมา
อะไรก็ไม่รู้เยอะแยะเต็มไปหมด
กระโดดเข้ามาใส่
บางอันก็มาแบบเงียบๆ เรื่อยๆ
บางอันก็มาแบบ Shock cinema
ที่จริง ชีวิตปกติธรรมดา ก็เยอะแยะพออยู่แล้ว -_-

ทำให้เรียนรู้ว่า
ตลอดเวลายาวนาน ที่เครียดกับงานมากๆ
(จนแสดงอาการปวดหัว เป็นไมเกรน ไม่สบาย วิตกจริต)
เราเครียดอยู่กับเรื่องอะไรที่เล็กน้อยเหลือเกิน
มีเหตุการณ์บางอย่าง ที่นำเอาความ shock มาให้
อาการไม่สบายใจกับงาน... หายไปทันที

เพราะว่ายังมีอะไรอีกเยอะๆๆๆ ที่ใหญ่โตมากๆๆๆ
ที่เราไม่สามารถควบคุมได้เลย
แม้ว่าเราจะเป็นห่วงหรืออยากจะเข้าไปเปลี่ยนแปลงมากแค่ไหนก็ตาม

เรื่องงานกลายเป็นเรื่องนิดเดียวของโลกใบนี้ที่เราแบกอยู่

มีข่าวน่าหดหู่ใจอีกอย่าง
คุณป้าที่อยู่ต่างประเทศเสียชีวิตด้วยโรคที่เป็นมานาน
เราไม่ได้ผูกพันมาก แต่ก็รู้สึกใจหายแปลกๆ ผสมกับความรู้สึกเป็นห่วงครอบครัวของป้าด้วย
ยังไม่เคยได้ไปเยี่ยมเลย บอกไว้ตั้งนานแล้ว
เสียดายจัง

มีคำกล่าวว่า สิ่งใดที่เกิดขึ้นในโลกใบนี้แล้ว...
สิ่งนั้นย่อมเป็นสิ่งดี

ทุกอย่างมีเหตุและมีผลของมัน
เราเองควบคุมอะไรไม่ได้
แต่ก็คงจะต้องเรียนรู้ และเติบโตขึ้นไปกับทุกเหตุการณ์ที่เข้ามา

หลังจากที่ฝึกเล่น Rubik มาได้ 5 วัน
วันนี้ก็เล่นได้จบ ครบ 6 สีสักที
(ใช้เวลาหัดเล่นตั้ง 6 วัน น้องๆ มันหัดกันแค่วันเดียวเองนะเนี่ย ไม่ไหวๆ)
ถึงแม้จะยากไปหน่อย แค่ก็สนุกดี
แล้วก็คงจะเล่นอีกหลายๆ ที
เพราะว่าเล่น Rubik แล้วมันทำให้ลืมโลกได้จริงๆ

23.10.51

2-1=0

เป็นเพลงที่ดังมากอยู่ระยะหนึ่ง (แอบน้ำเน่าเล็กน้อย)
หลักการ 2 - 1 = 0 เป็นความจริงในเรื่องความสัมพันธ์
2 - 1 ไม่ได้เท่ากับ 1 แต่ว่าเท่ากับ 0 คือไม่เหลืออะไรเลย

คน 2 คน จบความสัมพันธ์กัน ทุกสิ่งทุกอย่างที่ผ่านมา ถือว่าเท่ากับ 0
อย่างมากก็เป็นความทรงจำ ที่ไม่ได้สานต่ออะไร

คนหนึ่งคนมีหลายส่วนในชีวิต
สิ่งที่หล่อเลี้ยงให้ชีวิตอยู่อย่างมีความสุขและมีคุณค่าได้
ก็คือความสัมพันธ์ที่ดี มีความรักต่อกันและกัน
ถ้าบางส่วนของชีวิตมีปัญหาเรื่องความสัมพันธ์
มันจะกระทบๆ ไปหมด
เคยเป็นไหม เวลาไม่เข้าใจกับคนใกล้ตัว
ห่อเหี่ยว ไม่เป็นอันทำอะไร

เรื่องความสัมพันธ์เป็นเรื่องใหญ่
คนเป็นแฟนกัน เลิกกัน ก็ยังสัมพันธ์เป็นเพื่อนได้
คนคิดไม่เหมือนกัน ก็สามารถดำเนินชีวิตไปในจุดยืนเดียวกันได้


ถ้ารักกันมากพอ..............
เราก็จะพร้อมให้อภัยและรักษาความสัมพันธ์ไม่ให้เท่ากับศูนย์จนได้นั่นแหละ

18.10.51

The man who can't be move

วันนี้ได้ฟังเพลงนี้
ที่จริงก็ฟังมาหลายวันแล้วล่ะ
เป็นช่วงที่เพลงกำลังฮิต
ตอนที่ฟังครั้งแรก น้องชายบอกชื่อเพลงให้ฟัง
The man who can't be move

วันนี้ก็เลยลอง search หาเนื้อเพลง
เพลงต่างประเทศหลายๆ เพลง ความหมายละเอียดอ่อนมาก
ทั้งสร้างสรรค์ และละเอียดอ่อน

เป็นความจรรโลงให้ชีวิต เวลาได้ฟังหรือได้ค้นพบอะไรแบบนี้
มนุษย์มีอะไรให้เรียนรู้มากกว่า งาน เงิน กิน หรือ...นอน

People talk about the guy, thats waiting in on a girl
There are no holes in his shoes,
But a big hole in his world
Maybe I'll get famous as the man who can't be moved,
and maybe you wont mean to but you'll see me on the news,
and you'd come running to the corner,
Cause' you know its just to move you
I'm the man who cant be moved

Cause' if one day you wake up,
and find that your missing me,
and your heart starts to wonder where on this earth I could be,
Thinking maybe you'd come back here
to the place that we'd meet and you'd see me
waiting for you on the corner of the street
so I'm not moving

เพลงนี้ คงไม่ได้ตั้งใจจะบอกตรงๆ ว่า....
ซื่อสัตย์กับหัวใจ โดยที่วันๆ ไม่ต้องทำอะไร
นั่งรออยู่ที่เดิมอย่างเดียวเท่านั้น

แต่ว่าแอบเห็นความมั่นคงและรอคอย
ไม่หมดหวัง

ดูเนื้อหาแล้วที่จริงก็เศร้าอยู่
วันที่รออะไรสักอย่าง หรือใครสักคน
เมื่อยังไม่เห็นอะไร ก็คงจะมีความเศร้าอยู่บ้าง
แต่ว่าถ้ายังมีความหวัง
ก็คงจะมั่นคง
รอไปเรื่อยๆ
แบบว่า ถอยไม่ได้ เพราะว่าสิ่งที่หวังกำลังจะมา
ถ้าหยุดรอไปซะก่อน แล้วเธอดันกลับมา เสียดายแย่

so I'm not moving

10.10.51

สแต็ค...

ลองเขียนบล๊อกแบบใหม่
ชิดขอบซ้่าย
แอบผิดวิสัยการเขียนปกติของตัวเอง
แต่ว่าก็น่าจะแปลกตาดี



ที่จริงสมองของมนุษย์เหมือนถูกสร้างมาให้ใช้งานได้อย่างไม่จำกัด
เพราะไอ้ที่ใช้กันเยอะๆ นี่ก็ไม่กี่เปอร์เซ็นต์เอง
แต่ก็คงเป็นเรื่องธรรมดาของความเป็นมนุษย์...ที่เต็มไปด้วยความจำกัด
บางทีก็รู้สึกเหนื่อยสมอง

เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ไปจัดกิจกรรมสอนกีฬาสแต็คให้กับน้องๆ
ที่งาน Kids of the World 2008
ได้รับการตอบรับอย่างดีเยี่ยม
จะเด็ก จะผู้ปกครอง ม.ต้น ม.ปลาย ประถม มหาลัย
ร้อยทั้งร้อย เข้ามา้เล่นแล้วต้องติดใจ
เพราะว่าเป็นกีฬาที่สนุก ตอนแรกที่่เห็นก็ไม่คิดว่าจะสนุกขนาดนี้
แปลกตรงที่ กำเนิดมาตั้ง 25 ปีแล้ว แต่คนไทยเพิ่งจะรู้จัก
หรือที่จริง เราเพิ่งจะรู้จัก (แล้วค่อยเอาเข้ามาให้คนไทยรู้จัก)

มีเด็กผู้ชายหนึ่งคน ที่เป็นเด็กอารมณ์ร้อนมาก
คุณพ่อพาเข้ามาเล่นกีฬาสแต็คกับเรา
แล้วกีฬาสแต็คก็เปลี่ยนน้องให้เย็นลง มุ่งมั่น มีสมาธิมากขึ้น
คุณพ่อก็คงดีใจมาก เอาข้าวกล่องใส่กระเป๋าให้น้องมากินที่บูธ
ปล่อยน้องเอาไว้ แล้วก็ไปทำงาน

เด็กผู้ชา่ยคนนี้ เป็นเด็กถนัดซ้าย เอ็นนิ้วก้อยขาด
แต่เขาเล่นกีฬาชนิดนี้ เล่นดีซะด้วย ลงแข่งบันทึกสถิติกับเราทุกวัน
ถ้าเราเป็นคุณพ่อของน้อง เราก็คงดีใจมาก
และถ้าคุณพ่อของน้องเป็นเรา ก็คงรู้ว่าเรามีความสุขขนาดไหน

เด็กผู้ชายอีกหนึ่งคน บ้านไม่น่าจะมีฐานะอะไรมาก
มาเล่นกีฬาสแต็คกับเรา แล้วก็ซื้อแก้วกลับบ้าน
ปรากฏว่าวันต่อมา แก้วหายระหว่างเดินทางมาเก็บสถิติที่บูธ
น่าสงสารมาก

แต่ก็ยังมีน้ำใจนักกีฬา มาแข่งอย่างต่อเนื่อง แม้ไม่มีแก้วซ้อม

วันสุดท้าย เขาแข่งได้คะแนนเป็นอันดับที่ 2
และมีสิทธิได้ไปแข่งรอบสุดท้ายที่พารากอน
เพราะว่า ที่หนึ่งได้รางวัลจากประเภทอื่นไปแล้ว
คุณแม่โทรมา จะซื้อแก้วใหม่ให้ไปซ้อมก่อนแข่งจริง

เสียดายแก้วสแต็คอันเก่า แต่ก็มีความสุขกับน้อง ที่ได้แก้วสแต็คอันใหม่ไว้ซ้อม

คนที่มาเล่นกับเรา 2-3 วันแรก เริ่มเป็นรุ่นพี่สอนุร่นน้อง
เริ่มช่วยเก็บของ ช่วยจัดของในบูธ

..........................

บางทีก็รู้สึกว่าตัวเองเห็นแก่ตัวจัง
ไม่อยากทำในสิ่งที่ควรทำ
เวลาเห็นคนอื่นเหนื่อยๆ ก็ไม่รู้จะเข้าไปช่วยยังไง
ช่วยอะไรใครไม่ค่อยได้

บางที...ได้มีความสุขกับชีวิตของคนอื่น
ก็ช่วยต่ออายุกำลังใจของตัวเองได้เยอะเหมือนกันนะ

ขอให้เป็นกีฬาที่มีผลอย่างอัศจรรย์ต่อร่างกายและจิตใจของคนไทย
ทั้งเด็กไทยและผู้ใหญ่ไทยเลยนะคะ พระเจ้า

มันย่ำแย่แบบรุนแรงเกินไปแล้วล่ะ
บ้านเมืองนี้
หดหู่จริง

8.10.51

เอาแล้ว!!

ตอนนี้ปวดหัวข้างเดียวแล้ว
เริ่มปวดที่เบ้าตา

โอ้ นี่เหรอ อาการของไมเกรน......


รออาการดีขึ้นนิดนึง
เดี๋ยวจะมาเล่าให้ฟังถึง Sport Stacking at Kids of the World 2008
สนุกสนาน ตื่นเต้น อัศจรรย์มาก

โอ้ ปวดหัว

29.9.51

ว่าจะไม่...

ว่าจะไม่บ่นแล้วเชียว
แต่ก็อดไม่ได้ ขนาดที่ว่า
เหนื่อยน้ำตาไหล ยังจะต้องมาเขียนบล็อกสักหน่อย

วันนี้ไปขายผลิตภัณฑ์ Speed Stacks ที่พารากอน
ตั้งบูธขายเพื่อลองตลาดเล็กๆ ปรากฏว่าได้รับความสนใจค่อนข้างดี

เรื่องมันเกิดตอนกลับบ้านครับท่าน
การขนของกลับ ต้องใช้รถของออฟฟิศ Horizon เป็นกระบะหลังคาสูง
เพราะว่ามีที่แขวนสินค้าไม้ หนักๆ ใหญ่ๆ ต้องแบกกลับไปด้วย

ที่นี้รถใหญ่ๆ ขับยากๆ คนที่ขับเป็นมันก็มีน้อย
ตอนหาคนขับเอาของไปส่งก็ยากอยู่แล้ว
ตอนกลับยิ่งยากกว่า เพราะเป็นวันอาทิตย์ คนมากมายติดภารกิจ

งานหนักเลยมาลงที่น้องปืน
ซึ่งก็ไม่ใช่จะขับรถคันนี้ได้เก่งแม่นยำ
อาศัยที่ความกล้า

แถมยังไม่เคยมาสถานที่นี้ จอดรถชั้นไหนไม่รู้
โทรศัพท์ก็ไม่มี ใบขับขี่ก็ไม่มี

ณ เวลา 3 ทุ่มครึ่ง ทีมขาย 3 คนก็เตรียมตัวเก็บของ
หญิงสอง ชายหนึ่ง แบกอุปกรณ์นับรวม 4 กล่อง กับแท่นหนักๆ อีก 2 ลงไปข้างล่างรอรถ
รอตรงโซนที่เป็นด้านหลัง Supermarket
รอไปจน 4 ทุ่ม ไม่มีวี่แววกระบะ Horizon

4 ทุ่มกว่าเกือบ 5 ทุ่ม น้องปืนโทรมาบอกว่า มาถึงตั้งนานแล้ว แต่ยามไม่ให้เข้า
เอ๊า แล้วทำไมเพิ่งจะโทรล่ะคะ
พอเข้าไม่ได้เลยไปจอดรถฝั่งตรงข้าม
ก็เลยให้พี่หนุ่ม สุดยอดแม่ยกของเรา วิ่งไปรับ
หายไปอีกครึ่งชั่วโมง โทรกลับมาบอกว่า
.
.
.
.
.

บัตรจอดรถหาย T_T


รอต่อไปจนประตูด้านหลัง Supermarket ปิด
ต้องมานั่งรอในที่จอดรถ
ส่วนที่มีขยะของทั้งห้างขนมากองๆ เต็มไปหมด

บะหมี่กับโอเปิ้ล ผู้ร่วมชะตากรรม นั่งรอตรงนั้นอยู่ 2 ชั่วโมงค่ะ
เล่นกับเด็กทั้งวันจนร่างกายจะแตก
วุ่นวายกับแคชเชียร์อีกพอประมาณ มี Peak เล็กน้อย
แล้วเจอแบบนี้ จมูกก็จะพังเอา

รอคอยด้วยความอดทนและหวังใจ
คล้ายลูกหมารอเจ้านายเป็นอย่างมาก
สักพัก คุณปืนก็ขับรถลงพร้อมคุณหนุ่ม (จ่ายไปแล้ว 200 ค่าเอารถออก -_-")
ยังดี ที่มีไส้กรอกอีสานเจ้าโปรดมาฝากเรา

ขึ้นรถ เตรียมตัวออกจากพารากอน
.
.
.
.
.
.
แบตหมด....
รถไม่ติดซะอย่างนั้น

ใช้เวลาไปสองรอบ (ดับ 2 ครั้ง)
รอบละ 10 นาทีเพื่อกระตุกรถ
(ได้ยินแล้วก็งง กระตุกรถอะไรสักอย่าง ศัพท์เฉพาะมั้งคะ)

โอ้ พูดไม่ออก

แทบจะขอบคุณพระเจ้าไม่ลง


...................

พยายามหาสิ่งดีจากการเรียนรู้ในวันนี้
เริ่มต้นเลย ได้เห็นวิถีชีวิตอีกแบบหนึ่งของคน

คนเก็บขยะ ที่หมี่สงสัยมากว่า เขาจะเป็นโรคได้ง่ายกว่าคนอื่นไหม
พนักงานห้าง แต่งตัว แต่งหน้า ทำผม บุคลิก แต่ละคนทำไมเหมือนกันอะไรเยี่ยงนี้
คนทำงานกลางคืน แบก ขน สร้าง เฝ้า อะไรต่อมิอะไรในช่วงเวลาไม่ทำการของห้าง
ยามที่จอดรถ ที่มีสายชาร์ตพร้อมแบต Stand by ให้ลูกค้า น่าประทับใจ

มีความรู้สึกของการร่วมทุกข์ร่วมสุข

โกรธมันจะตาย ไอ้เจ้าปืน
แต่พอเจอหน้า ทำได้แค่สั่งให้มายกของ
เฮ้ออออออออออ
อยากจะกลับบ้านไปทำงานต่อ ไปนอนพักผ่อน
แต่ทิ้งกันไม่ลง
แทบจะไปช่วยเข็นรถ ถ้ามีแรง

เห็นความเป็นผู้นำที่เอื้อเฟื้อมากของพี่หนุ่ม

ผู้ชายร่างบาง แต่งตัวอย่างเรียบร้อย ดูดี
พี่แกยกของแบบไม่ห่วงหล่อเลย
วิ่งไปวิ่งมา ตามหาปืนตลอดเวลา
ตอนกลับบ้าน นั่งหลังกระบะช่วยจับของไม่ให้คว่ำอีกต่างหาก

........................


ก็ไม่รู้หรอกว่าจะต้องเจออะไรอีก
บางทีชีวิตไปเจออะไรที่แย่ๆ ที่มันไม่เคยเจอ ไม่คาดคิดซะบ้าง
ก็เป็นสีสันและเรื่องราวที่จำได้ง่ายกว่าหลายเรื่อง

หงุดหงิดและอารมณ์พุ่งปรี๊ดตลอดเวลา
ปล่อยให้เราเหม็นกับขยะเป็นชั่วโมงๆ
กะใส่เต็มที่ ตอนรถมารับแล้ว

สุดท้าย ก็ได้แต่อธิษฐานเผื่อ


ขอบคุณพระเจ้า
ชีวิตก็เป็นแบบนี้แหละ ใช่ไหมคะ

26.9.51

หนึ่งคนและคนหนึ่ง

งานแถลงข่าวอันน่าตื่นเต้นของกีฬาสแต็ค
จบไปแล้ว อีกครั้งหนึ่งสำหรับงานแถลงข่าวของเรา
ลาจากงานนี้ด้วยอาการโล่ง โปร่ง หายปวดหัวอย่างอัศจรรย์
(ทั้งที่ก็รู้ดีอยู่แล้ว ว่ามันไม่ได้จบแค่นี้อะนะ)


ช่วงเวลาสั้นๆ ช่วงหนึ่งที่เพิ่งผ่านมา

ความรู้สึกว่า ตัวเองเป็นคนเล็กน้อย
ไม่มีอะไรดีเลย
และผิดพลาดไปหมดทุกอย่าง...

เริ่มกลับมาอีกครั้ง

เป็นความรู้สึกที่อันตรายมาก
เป็นอาการที่อยากร้องไห้ตลอดเวลา
ถ้าเริ่ม peak ก็จะเริ่มหดหู่ เศร้ามากขึ้นเรื่อยๆ และเรื่อยๆ

จากที่เคยเป็น ค้นพบว่าอาการนี้เกิดมาจากความรู้สึกว่าตัวเองล้มเหลว
เพราะทำในสิ่งที่คาดหวังตั้งใจได้ไม่ดี
แล้วก็สร้างความวุ่นวายให้คนอื่นรอบข้างเต็มไปหมด

ต้องคอยเตือนตัวเองตลอดเวลา ว่าความเป็นจริงแล้ว
เราไม่สามารถทำทุกสิ่งได้ perfect
ยิ่งไอ้สิ่งที่ทำมันก็เกินตัวซะขนาดนี้
ก็ต้องรับรู้เสมอ ว่าเราเป็นมนุษย์คนหนึ่งเท่านั้นเอง

เมื่อวานนี้ มีหนึ่งคนร้องไห้เพราะเรา (เขียนให้แล้วนะเม ^_^)
เพราะไม่เข้าใจกันบางอย่าง
แต่เขาเป็นหนึ่งคนที่สำคัญ ไม่ใช่แค่ใครคนหนึ่ง
ก็เลยแคร์ จนต้องเคลียร์กันให้จบ

หลายครั้ง บางเวลา
เราก็ต้องรู้ว่า เราเป็นแค่คนคนหนึ่ง เล็กน้อยมาก บนโลกใบนี้
ไม่สามารถควบคุมทุกอย่างได้
และไม่สามารถรู้ได้ ว่าอะไรคือสิ่งที่ดีที่สุด

หลายครั้ง บางเวลา
เราต้องรู้ว่า เราเป็นหนึ่งคน ที่ใครบางคนรักและใส่ใจมากเพียงพอ

ความสุขในการใช้ชีวิต
คงไม่ขึ้นอยู่กับว่า เราเป็นใคร
ไม่ขึ้นอยู่ว่า เราทำอะไร
แต่ขึ้นอยู่กับว่า เราเป็นหนึ่งคน ของใครบางคนหรือไม่


เพราะว่าการเห็นคุณค่าของใครบางคน ว่าเราเป็นหนึ่งคนที่สำคัญในชีวิตของเขา
ก็ช่วยลดความเศร้าที่มีอยู่ไปได้หลายเท่าแล้วล่ะ

ขอบคุณทุกคนและขอบคุณพระเจ้า
ที่ให้โอกาสหมี่ได้ดูแลงานนี้ค่ะ

20.9.51

กล้ามเนื้อคิ้ว >_<

ใครทราบบ้างคะ ว่าคิ้วมีกล้ามเนื้อ...

ที่จริง เท่าที่เคยเรียนมา
ร่างกายมนุษย์มีกล้ามเนื้ออยู่ทั่วทั้งนั้นแหละ
แต่วันนี้อยากจะพูดถึงกล้ามเนื้อเล็กๆ ที่อยู่ตรงขนๆ เหนือตา
ที่เรียกว่า...คิ้ว

สัมผัสได้อย่างชัดเจนเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา
ว่ากล้ามเนื้อคิ้วมีการทำงานที่เจาะจง
แล้วก็สามารถปวดเมื่อยเกร็งได้เหมือนกล้ามเนื้ออื่นๆ

อยู่ดีๆ วันหนึ่งก็ปวดตา ก็เอามือไปกด
ปรากฏว่ากดตรงคิ้วแล้วเจ็บมาก เส้นแข็ง
ลักษณะอาการเจ็บจะเหมือนตอนปวดไหล่
กดแล้วมันๆ
ก็บีบๆ กดๆ เส้นคิ้ว มาตลอดสัปดาห์
นี่ดีขึ้นมาแล้วเล็กน้อย

เหมือนคิ้วเกร็ง อยู่ในท่านานๆ มากเกิน (-_-")
ตลกดี

วันนี้คุยกับพี่คนหนึ่ง ชื่อพี่ต่อ
เขาบอกว่า ก็หมี่น่ะ ชอบขมวดคิ้ว
เวลาคิด เวลาพูด หมี่จะขมวดคิ้วบ่อย

เป็นช่วงเวลาแห่งความกดดัน (ตัวเอง)
เครียดไม่ทราบสาเหตุ
แต่ที่แน่ๆ...

คิ้วมีกล้ามเนื้อ
อย่าเครียด อย่าขมวดคิ้วมาก
ปวดคิ้วเนี่ย มันทรมานมากอยู่ค่ะ

13.9.51

next and next and next and........

ผ่านวันครบรอบ 1 ปี Gsus7 (จีซัสเซเว่น) ไป 3 วันแล้ว
เป็นงานวันเกิดบริษัทที่สนุกสนาน เหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า วุ่นวายโหวกเหวก อบอุ่นอิ่ม (อ้วน)
กินเยอะกันจนตื่นสายเป็นแถบ
หรือไม่ก็โดนฝนกันจนเป็นไข้ ต้องนอนพักนานหน่อย

หนึ่งปีผ่านไป
รู้สึกได้ว่าทุ่มเทให้กับงานที่นี่มากกว่าครึ่งเวลาของชีวิต
ทั้งที่วันแรกที่ก้าวเข้ามา ก็มาแบบไม่คิดไม่ฝัน ไม่รู้อะไรเลย

เป็นอารมณ์แบบว่า ต้องพูดใส่หัวตัวเอง

"แกต้องทำแล้วววววววววววว ไอ้หมี่"

ซึ่งวันนี้ก็รู้ดีแล้วว่า ค่อนข้างคุ้มค่ากับเวลาที่เสียไป (ไม่นับว่าเข้าข่าย "เสียเวลา")
แต่ก็ยังไม่รู้อยู่ดีว่า วันข้างหน้าจะเป็นยังไง

ประมาณเดือนที่แล้ว บอกตัวเอง น่าจะเริ่มเขียนเป้าหมายชีวิตแล้วนะ
ว่าจะเป็นอะไรในอีก 5 หรือ 10 ปีข้างหน้า
ไม่ได้เขียนซะที งานชุก ชีวิตรวน... มาก

เวลาที่เราเริ่มลงตัวกับระบบพื้นฐานของชีวิต
ก็มันจะมีอะไรเข้ามาเพิ่ม ให้เรารวนๆ อีก
แล้วเราก็จะจัดใหม่
เพื่อที่เราจะได้เก่งขึ้น ทำอะไรได้มากขึ้น

ตอนนี้จะต้องจัดใหม่อีกครั้ง เพื่อให้มีเวลาในการทำสิ่งที่ต้องทำสักที

อีก 5 ปีชีวิตจะเป็นยังไง
ถ้ายังทำงานใน Gsus7 อยู่ จะทำตำแหน่งอะไร โตไปถึงไหน
ถ้าไม่ได้ทำแล้ว จะทำอะไร

อีก 10 ปี จะอยู่ตรงไหนของโลกใบนี้...

มีพี่ 2 คนที่เล่าให้ฟังว่า เขาลองเขียนแผนชีวิตตัวเอง 5 ปี 10 ปี ข้างหน้า
(เมื่อหลายๆๆๆ ปีที่แล้วแน่ะ)
แล้วย้อนกลับไปดู
สิ่งที่เขียนไว้เป็นจริงด้วย
แม้ ณ เวลานั้น เป้าหมายมันดูจะยิ่งใหญ่
ตอนเขียนก็ไม่รู้ว่าทิศทางจะไปยังไงกันแน่

ขอให้ลองได้เขียน
มันก็มีความหวัง
และเมื่อมีความหวัง...

อะไรก็เป็นไปได้

ปีที่ 2 ของ Gsus7 อะไรก็เกิดขึ้นได้

แต่ที่แน่ๆ แผนผังชีวิตจนถึงปี 2020 ต้องเกิดแล้วแล้วล่ะ หมี่เอ๋ย
จัดเวลาเขียนซะ

3.9.51

เหมือนจะ...

ถ้ากลับไปดูประวัติของ Gsus7
เหมือนจะล้มมาหลายที แต่ก็ไม่ล้ม
เหมือนจะหยุด แต่ก็ไม่หยุด

ความท้อใจกับความล้มเหลว
รวมถึงคำวิพากษ์วิจารณ์มากมาย...
ไม่ได้ทำให้เราหยุดทำในสิ่งที่เราควรทำ
ทำมาตลอดเวลากว่า 1 ปีที่ผ่านมา
(จนใครๆ ก็มองว่าคนใน Gsus7 บ้าทำงาน)

ช่วงนี้ร้อนในขึ้นปากอย่างต่อเนื่อง
ถอนหายใจบ่อย เพราะว่าหายใจไม่ค่อยลึก
แล้วก็แอบมีอารมณ์ท้องผูกนิดหน่อย แต่ท้องอืดซะเยอะ
ยังดีตรงที่ไม่ถึงขั้นนอนไม่หลับ

เป็นช่วง peak อีกหนึ่งช่วงของบริษัท
อันมีผลต่อเนื่องมาจากสถานการณ์บ้านเมืองด้วย

จะจัดกิจกรรมกับโรงเรียน
โรงเรียนดันปิดทำการ
จะโทรถาม feedback ลูกค้า

ลูกค้าไปร่วมกลุ่มพันธมิตรซะงั้น
-_-"


อีกหลายหลายหลายประการ อันเป็นต้นตอของความเครียด
ความกดดัน ไม่ทันการของงาน
เรื่องส่วนตัวต่างๆ ที่ไม่ค่อยได้จัดการให้เรียบร้อย
ผิดนัดเพื่อนมา 2 อาทิตย์แล้วนี่

ถ้าหากว่าอยู่ดีๆ ประเทศไทยระเบิดขึ้นมา
บริษัทถูกปิด เพราะอยู่ดีๆ มีคนหมั่นไส้ที่มันมีอุดมการณ์กันนัก
น้ำท่วมกรุงเทพไปครึ่งเมือง (มีข่าวมาเรื่อยๆ อยู่แล้วนี่ เป็นไปได้สิ)
พันธมิตรกับนปก.จะตีกันตายไปอีกกี่คน

เราอาจจะหยุดอะไรไม่ได้เลย
และเราก็อาจจะช่วยอะไรไม่ได้
เราควบคุมอะไรไม่ได้ทั้งสิ้น

ความเครียดของเรา ที่เครียดแล้วเครียดอีกทั้งที่ทำอะไรไม่ได้
ก็ดูไร้ประโยชน์จริงๆ

ขนาดคนที่ไม่รู้จักพระเจ้า ยังรู้เลยว่ามีฝนตกแล้วก็ต้องมีฟ้าใส

เราเอง รู้ทั้งรู้ว่าพระเจ้าควบคุมอยู่ทุกสถานการณ์
แล้วจะกลัวอะไร

เพราะทุกครั้งที่เหมือนจะล้ม พระเจ้าก็พยุงไว้ตลอด
เหมือนจะแพ้ แต่สุดท้ายก็มั่นใจว่าชนะ

แล้วหลายทีที่เหมือนจะไม่ไหว พระเจ้าก็ไม่เคยมาสายเลยสักครั้ง

10-11 กันยายนนี้ บริษัทจะพาไปพักผ่อนที่รีสอร์ท แถวนครนายก
ไม่ได้ไปเพื่อช่วยกันร้องไห้ ระบายอารมณ์
ไม่ได้ไปเพื่อหนีปัญหาหรือสภาพวุ่นวายในเมือง
ไม่ได้ไปเพื่อประกาศ หยุดรบ

แต่ไปเพื่อรับกำลังใจ และวางแผนสู้ใหม่
ไปเพื่อขอบคุณพระเจ้า

ก็ผ่านมาได้ตั้งปีนึงแล้วนี่ ต่อจากนี้ไป สบายมาก!

30.8.51

4 ตัว -_-

มีเรื่องน่าตื่นเต้นเกิดขึ้นในครอบครัวเราอีกแล้ว
(ระหว่างที่มีความน่าตื่นเต้นเกิดขึ้นในบ้านเมืองด้วยเช่นกัน)
เมื่อวานนี้ วันศุกร์ที่ 29 สิงหาคม กลับบ้านมาเจอแม่
แม่เล่าให้ฟังว่า...
"วันนี้ไปติดคุกมา 2 ชั่วโมง"
-_-" ตกใจเลย ไปไงมาไง

หลังจากที่ฟังแม่เล่าด้วยอารมณ์โมโห ถึง 3 รอบ
(ย้ำมาก เพราะแค้นหนัก)
ได้ความว่า
ตอนที่แม่กำลังขายของให้ลูกค้าหลายเจ้า
มีผู้ชายตัวใหญ่ 4 คน เดินมาทำทีดูกางเกงที่ร้าน
แล้วก็บอกให้ลูกน้องแม่ไปเอากางเกงยี่ห้อหนึ่งมาสัก 50 ตัว
จะซื้อ ว่างั้น

คุยไปคุยมา ก็จะหากางเกง Levi's Wrangler ซะให้ได้
ก็ที่ร้านมันไม่มี จะหาให้ได้ยังไง
จนสุดท้าย หลุดออกมาว่าเป็นตำรวจ จะมาจับของ Brand name Copy
แม่เราก็เลยไม่พอใจ โวยวายไปซะเต็มที่
เป็นตำรวจ ก็หัดรู้จักเข้ามาพูดจาดีๆ
แสดงหมายค้น แสดงบัตรตำรวจให้เหมาะกับอาชีพหน่อย
ไม่ใช่มาแอบๆ พอหาไม่เจอก็หาเรื่องแบบนี้

เอาแล้วครับ ที่ร้านมันไม่มีของ copy ก็จริง แต่มันดันมีเสื้อแจ็กเก็ตอยู่ 4 ตัว
ที่แม่ซื้อมาตั้งนานแล้ว (สีซีดมาก) ก็เอามาแขวนขายไว้

กลายเป็นเครื่องมือของตำรวจไปจนได้ ติดคุกเพราะเสื้อ adidas 4 ตัว
(ตำรวจในโรงพักยังพูดเลยว่า 4 ตัวยังจับมาอีกเรอะ)

แม่ถูกสั่งไปให้ไปโรงพักพร้อมตำรวจร่างยักษ์ 4 คนนั้น
ตอนแรกก็จะไม่ไปด้วย ยอมขี่มอเตอร์ไซค์ไปเองดีกว่า ไม่ไว้ใจ
พี่แกดันไม่ยอม

สุดท้ายก็ต้องไปโรงพัก พาเด็กแถวนั้นไปเป็นเพื่อน 1 คน
เจ๊ถูกล่อลวงให้ยัดเงินเพื่อความรวดเร็วในการดำเนินการตลอดเวลา
ดีนะ เจ๊ไม่ยอม
บอกว่า
"เอาเงินให้พวกนี้กิน สู้เสียแพงให้รัฐดีกว่า"
จ่าหน้าห้องขังก็จะเอาด้วย
พอแม่ไม่ให้ จ่าก็ให้แม่อยู่นานๆ ไม่ยอมให้คนมาทำสำนวนให้
ไม่ยอมปล่อย

เป็น 2 ชั่วโมงที่แค้นมาก
แม่หลงทางกลับบ้านเลยทีเดียว
สุดท้าย เสียค่าประกันไป 5 หมื่น
แล้ววันที่ 26 กันยายน ไปดูผลว่า ศาลจะรับฟ้องหรือไม่
ถ้าไม่รับ ก็ได้เงินคืน
(เสื้อ 4 ตัว ถ้าจะให้ขึ้นศาลจริงๆ ก็คงช่างศีรษะกฏหมายไทยแล้วล่ะค่ะท่าน)

เมื่อกลางวัน เพิ่งดูฉากตอนตำรวจตีพันธมิตรมาหยกๆ
แหม...
ประทับใจตำรวจไทยจริงๆ

ดีใจที่แม่ไม่ให้เงินใต้โต๊ะไป
คนที่ไม่ยอม มันก็มีนะเฟ้ยยย
อย่าคิดว่าใครๆ ก็จะเอาด้วยหมด
ความชอบธรรมและความยุติธรรมยังมีอยู่บนโลกใบนี้

คุณตำรวจที่ปฏิบัติหน้าที่ดีๆ อย่าเพิ่งรู้สึกแย่นะคะ
สู้ต่อไป วันหนึ่งต้องมีคนเห็นค่ะ

24.8.51

คนเราเกิดมาเพื่อ.....

ความรักคืออะไร
คนเราตายแล้วไปไหน
คนเราเกิดมาเพื่ออะไร

คำถามคลาสสิคของโลกใบนี้ ที่คนขยันหาคำตอบกันเหลือเกิน
แต่ไม่ค่อยเจอนัก หรือบางทีเจอแล้วก็ไม่ค่อยมั่นใจ

อยากลองตอบคำถามสุดท้ายให้ลองอ่านเล่นๆ
วันก่อนอ่านหนังสือ A Day ที่สัมภาษณ์พี่จิก ประภาส ชลศรานนท์

พี่จิกบอกว่า เราเกิดมาเพื่อรักคนอื่น
-- คำตอบนี้ทำให้ชีวิตของคนอื่นช่างดูมีคุณค่า
..............................................
บางคนบอกว่า เราเกิดมาเพื่อชดใช้กรรม
-- การใช้ชีวิตคงเหนื่อยเกินไป
ถ้าเราเกิดมาเพื่อเกิดมา เป็นไปตามกลไกธรรมชาติ ไม่มีความลึกซึ้งอะไร
-- สิ่งที่เราทำไปทุกอย่าง ก็ไร้สาระสิ้นดี

ลึกๆ เราเชื่อว่า...มนุษย์เกิดมาเพื่อมีความสุข
ต้องสร้างความสุขกับตัวเอง
และสร้างความสุขให้กับคนอื่น

จริงไหมนะ...

19.8.51

20 สิงหาคม 2008

วันนี้ของปีนี้ดูแตกต่างไปจากปีอื่นๆ
เพราะสมาชิกในบ้านหายไปหนึ่งคน
ถือว่าเป็นเรื่องดี เพราะว่าหายไปได้ดีที่ London นู่นแน่ะ
ไม่รู้ว่าจะฉลองวันเกิดกับใคร
เพราะไม่ได้เป่าเค้กกับที่บ้านแล้ว

อยู่กันไกลมาก
ก็เลยไม่ได้ซื้อหรือฝากอะไรไปให้
เปลืองตัง เปลืองค่าส่ง
ขอเขียน blog ให้หนึ่งวันก็แล้วกัน

เพราะว่าอยู่กันไกลมาก ก็เลยทำให้เรารู้สึกเหมือนว่าอยู่ใกล้
ความคิดถึงทำให้เราโทรคุยกันบ่อยๆ
Comment Hi5 กันบ่อยๆ
แล้วก็ทัก MSN กันเสมอ
(แต่นี่เริ่มน้อยลงแล้วนะเธอ งานหนักสิ)

วันเดินทาง
เครื่องออกตอนประมาณตี 1 มั้ง เรากับแม่กลับบ้านก่อนเครื่องออก
เหมือนในหนังที่เคยดู...
เรากอดกันร้องไห้...
ตลกดี
แต่มันก็เศร้าสุดๆ จริงๆ นะ
ร้องไห้ตลอดทางกลับบ้านเลยล่ะ

ก่อนหน้านั้นไม่เท่าไหร่
ประมาณปีกว่าๆ
ยัยคนนี้ ชอบทำตัวเป็นเด็กไม่รู้จักโต
ทำอะไรไม่ค่อยแคร์ที่บ้าน
อยากกลับบ้านตอนไหนมันก็กลับ
อยากไม่กลับ หรือกลับแล้วออกไปอีก ก็ไปซะงั้น
เป็นความปวดหัวจนชินชาของแม่อย่างมาก
กระทบใจเราด้วยในหลายครั้ง
กัดฟันเตือนอยู่เรื่อยๆ

ประมาณช่วงมหาวิทยาลัย แล้วก็ม.ปลาย
ช่วงแย่งกันใช้รถ ช่วงขี้บ่นเรื่องจัดห้องนอน...
ช่วงที่เรายังเป็นเด็กน้อยอยู่เหมือนกัน
ทะเลาะกันบ่อยมาก
กลับไปคิดแล้ว ยังรู้สึกตัวเองเป็นพี่สาวที่โหลยโท่ยจริงๆ

นิสัยหนีออกไปเที่ยวตอนดึก...
เราก็เป็นให้เห็นก่อน
มีแฟนตั้งแต่เด็ก...
เราก็เป็นให้เห็นก่อน
เที่ยวบ่อยทั้งไกลใกล้ ติดเพื่อน กินเหล้า...
เราก็เป็นให้เห็นก่อน
แอบเอารถไปซิ่งไกลๆ...
เราก็เป็นให้เห็นก่อน

ไม่ไหวเลย

ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น
ไม่ว่าความประพฤติบางเรื่องจะเลวร้ายแค่ไหน
(จำได้ไหม ที่เธอไม่กลับบ้าน แล้วชั้นกับแม่ขับรถตามทั้งคืน)
(จำได้ไหม ที่เธอเคยโดนพ่อตี ตอนคุยโทรศัพท์)
(จำได้ไหม ที่เธอ......)

แต่ว่าก็ทำให้เราภูมิใจในตัวเธอได้เสมอ
เรื่องการเรียน
เรื่องความสำเร็จในงาน
ได้เงินเดือนเยอะกว่าพี่สาวตั้งแต่ปีแรกเลยนะ
ขนาดขยันลาออกขนาดนี้ ยังมีแต่คนอยากได้ไปทำงานด้วย
เรื่องความตั้งใจที่จะไปเรียนต่อ คนแรกของบ้าน

เอาจนได้
มันไปจนได้

คิดถึงมาก
แล้วก็เป็นห่วงมาก
ตอนที่อยู่ที่สิงคโปร์ ที่เธอเจออุบัติเหตุ
หรือตอนที่เธอมาปรึกษาทุกครั้ง ทุกเรื่อง
ชั้นดีใจมาก ที่เธอไว้ใจ
แม้จะพึ่งไม่ค่อยได้ก็เหอะ

ขอโทษด้วย ที่แต่ก่อนเห็นแก่ตัวไปหน่อย
จำได้ เคยโกรธเธอ แล้วก็เบียดเธอตกมอเตอร์ไซค์ด้วย แสบมาก 555

ไม่ต้องเหงานะ
อดทนหน่อย

วันเกิดปีนี้ โอ๊กฝากบอกว่า
"รักเสมอ จบ"
แม่ฝากบอกว่า
"ตั้งใจเรียน แค่นี้แหละ"

บ้านเราพูดกันไม่เยอะหรอก
เอะอะก็ไม่คุยด้วย เอะอะก็บึ้งใส่กัน
แต่ว่าแต่ละคนก็โตขึ้นเยอะแหละ เธอว่าไหม
แม่ก็ไม่เหมือนเดิมแล้วล่ะนะ

แล้วจะรอดูความสำเร็จของน้องสาวคนนี้นะ
Happy Birthday
ขอให้เป็นอายุ 24 ที่ทำให้เธอโตขึ้นมากๆ
อธิษฐานเผื่อเธอเสมอ ขอให้พระเจ้าดูแล
ชั้นจะพยายามดูแลแม่ให้ดีที่สุด
คงไม่ดีมากหรอก
แต่ก็จะพยายามที่สุดนะ

ซึ้งหน่อย
รักเธอมาก มาก มาก

20 สิงหาคม 2551
เหมี่ยว ปวีณา เหมทัศน์
ครบรอบอายุ 24 ปี
ที่ London

17.8.51

Yes, I can!!

สืบเนื่องจากเรื่องเมื่อวานนี้
มนุษย์ทำได้ทุกอย่างที่เขาอยากจะทำ

สัปดาห์ที่ผ่านมา...
เรียกว่า 2 สัปดาห์จะดีกว่า
ได้ทำอะไรมากมายหลายอย่าง
เป็นความมหัศจรรย์ของชีวิต
แล้วก็เป็นความประทับใจที่อยากจะขอบคุณพระเจ้า

เริ่มมาจับโปรเจ็ค Sport Stacking
งานใหม่ที่ไม่เคยทำมาก่อน เป็นสมาคมส่งเสริมการเล่นกีฬาชนิดใหม่
กำลังเข้ามาประเทศไทย
เริ่มต้นทุกอย่างจากเกือบๆ ศูนย์ จนมาช่วย Boss ดูภาพรวมของงาน
Event วันที่ 12 สิงหาคมก็เปิดตัวไปได้สวยงามดี
โปรเจ็คนี้ทำให้ได้ค้างออฟฟิศ 1 คืน

นิตยสาร "สายใย" ประจำคณะนิเทศศาสตร์
ดีใจที่ได้เป็นบก.
ความใฝ่ฝันที่เคยทำมาแล้วหลายครั้ง แต่ยังฝันอยู่ ก็คือเป็นบก.นิตยสาร
เป็นความสุขที่ได้เห็นตั้งแต่ตอนช่วยกันคิด ช่วยกันทำ
จนมาเป็นคอลัมน์ที่สวยงามขึ้นมา
โปรเจ็คนี้ทำให้ได้ค้างบ้านเพื่อน 1 คืน
และกลับบ้านตี 4 อีก 1 คืน

โปรเจ็คนิยมกล้อง
รายการท็อปฮิตติดดาวของบริษัท
ลูกรักที่รักไม่น้อยกว่าใคร
มีจัดงาน "รอยยิ้มของแม่" วันเสาร์ที่ 9
และแบบไม่ได้ตั้งตัว ต้องไปช่วยดูภาพรวมงาน
ทำให้ได้ค้างออฟฟิศ 1 คืน
ตัวรายการเอง ที่อยู่ในความดูแลของอีฟ
เพื่อนรัก...
รักเพื่อน ก็เลยไปนั่งรอ จนนอนรอเพื่อนดูงานเสร็จ
ค้างไปอีก 1 คืน

การประชุมที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกวัน ไม่เคยต่ำกว่า 3 ทุ่มครึ่ง
และรายละเอียดงานและการประสานงานหลายอย่าง ที่ต้องคอยตาม (มากกว่าที่บอกไป)
การจัดการกับความรู้สึกที่เกิดขึ้นในความสัมพันธ์กับคนรอบข้าง
การอ่านหนังสือเล่มที่อยากจะอ่านกับเล่มที่ควรอ่าน

แล้วมันก็ผ่านมาจนได้
ทุกผ่านที่ผ่านไปทำให้เกิดความสุข
นิตยสารวันที่มันเสร็จ แม้จะไม่ได้ช่วยทำ Artwork ใดๆ ทั้งสิ้น
ก็ดีใจมาก มีความสุข
รวมถึงกิจกรรม Sport Stacking ในงานวันที่ 12 สิงหาคม
พอมันผ่านไป เห็นการตอบรับที่ดีแล้วก็มีความสุข

คนรอบข้างหลายๆ คนกำลังจะดีขึ้น และดีขึ้น
ความสัมพันธ์กับแม่ที่อยู่ในช่วงวิกฤติ
ก็กำลังจะผ่านพ้นไปด้วยดี

ไม่มีเหตุการณ์ไหนเลยที่ไม่มีวันผ่านไป
การรอคอยต้องมีวันสิ้นสุด
ปัญหาย่อมมีวันคลี่คลาย

มนุษย์สามารถผ่านทุกอย่างได้ แม้เขาไม่ต้องทำอะไรเลย
และมนุษย์ก็สามารถที่จะเลือกผ่านทุกอย่างในชีวิตได้ อย่างดีที่สุดด้วยเช่นกัน

ไปฟังเพลง a day ของ monotone ก็จะอินมาก

16.8.51

How far you can see!

ช่วงนี้เป็นช่วงแห่งการแข่งขันโอลิมปิก
เป็นคนไม่ค่อยชอบดูกีฬาสักเท่าไหร่
ไม่รู้กฏ ไม่รู้กติกาแข่งขัน
ดูแล้วลุ้นไม่ออก

แต่ว่าวันนี้ได้พักผ่อนอยู่ที่บ้าน
ก็เลยเปิดทีวีไป อ่านหนังสือไป
ทิ้งเสียงทีวีไว้ให้เข้าหู
เจอกับข่าวกีฬา ที่นักกีฬาว่ายน้ำทำสถิติใหม่ของโลกได้อีกแล้ว

การแข่งขันมีมาเป็นร้อยๆ ปี
การทำสถิติใหม่ๆ ก็เกิดขึ้นได้ทุกปี

หนังสือเล่มที่อ่านวันนี้คือ a day
หน้าปกเป็นรูปพี่จิก ประภาส ชลศรานนท์
(คนแห่งแรงบันดาลใจของเรานี่เอง)
เนื้อหาข้างในก็คุ้มมาก สำหรับคนที่ซื้อหนังสือเล่มนี้เพราะหน้าปก
(เรายืมอีฟมา ไม่ได้เห็นแม้แผงหนังสือ ไม่รู้จะไปซื้อได้ตอนไหน)
มีเรื่องราวที่สะท้อนถึงแนวคิดดีๆ ของพี่จิกไว้เยอะมาก
หนึ่งในนั้นก็คือหลักการคิดเกี่ยวกับความคิดสร้างสรรค์

มีคำถามหนึ่งที่ถามว่า
"ทุกอย่างบนโลกนี้ มีคนคิดคนทำไปหมดแล้ว ยังจะเหลืออะไรให้เราคิดสร้างสรรค์ได้อีกหรือ"
พี่จิกตอบไว้ประมาณนี้ว่า
ความคิดสร้างสรรคฺไม่มีออริจินัล และความคิดสร้างสรรค์ไม่มีวันหมดสิ้น
มีอะไรให้เราทำ ให้เราคิด ให้เราได้ต่อยอดอีกเยอะมาก

ผู้ชายคนนี้ ทำอะไรไว้กับวงการบันเทิงไทย กับแรงบันดาลใจของคนเสพ
และกับความรู้สึกของเราเอง เยอะมาก

มนุษย์ไม่เคยหมดสิ้นพลังที่จะทำอะไรใหม่ๆ
ไอ้ที่ว่าเร็วมากอยู่แล้ว
ที่สุดในโลกไปแล้ว
ก็ยังมีคนเร็วกว่า เกิดขึ้นมาใหม่ได้เรื่อยๆ

ไอ้ที่ดูเหมือนจะหมดทางแล้ว
ไม่มีอะไรเหลือแล้ว
ก็ยังมีหนทางใหม่ๆ ให้ได้เลือกได้เห็นอยู่เรื่อยๆ

พระเจ้าบอกว่า
มนุษย์เหล่านี้ ถ้าเขาจะทำอะไรเขาก็ทำได้

ทัศนคติกับศรัทธาเป็นตัวกำหนดความสำเร็จของเรา

เราเชื่อในอะไร เชื่อมากพอไหม
และเรามองสิ่งต่างๆ ได้กว้างและไกลแค่ไหน

ดีใจจังที่ได้อ่านหนังสือของผู้ชายคนนี้

14.8.51

เปลี่ยนโหมด ---

อาทิตย์ที่ผ่านมา ใช้ชีวิตอยู่ในโหมดของเด็กเสเพล
แต่เป็นเด็กเสเพล เพราะทำงานหนักไปหน่อย
ก็เลยไม่ค่อยได้กลับบ้านเหมือนปกติ

กลับบ้าน 4 วัน
นอนออฟฟิศแบบไม่ได้ตั้งใจ 2 วัน
นอนบ้านเพื่อนแบบไม่ได้ตั้งใจอีก 1 วัน

เป็นช่วงสัปดาห์ที่อึมครึมอย่างถึงที่สุด
แม่ไม่พูดด้วย เพราะว่าโกรธตั้งแต่อาทิตย์ที่แล้ว ที่ไม่ไปช่วยขายของ
งานก็กำลัง peak
ทั้งงานที่ออฟฟิศ งานราษฎร์ และงานหลวง

มี event แบบไม่ได้ตั้งตัว 1 งาน
และ event แบบตั้งตัวแล้วแต่ยังวุ่นวาย 1 งาน
แล้วก็งานวารสารสายใย ของนิเทศจุฬา
ที่รับหน้าที่เป็น บก. ประจำเล่ม...
ได้วาระปิดเล่มช่วงนี้พอดี ทั้งที่ทำมาตั้ง 2 เดือนแล้ว
นอกจากนี้ยังมีอื่นๆ และอื่นๆ อีกจุกจิกวุ่นวายมากมาย

ผ่านวันแม่ไปเฉยๆ
ไม่ได้ซื้อหรือเตรียมอะไรให้แม่เลย
ผิดกับ 2-3 ปีที่ผ่านมา

แต่ก่อนนี้ เคยดุน้องสาวไปว่า
ไม่กลับบ้านไม่เคยโทรบอกแม่...
รู้ไหมว่าแม่จะรู้สึกยังไง


เปลี่ยนโหมดเป็นเด็กเสเพลของคุณแม่ไปซะแล้ว
เรื่องที่เคยดุน้องไป ก็เป็นไปเองซะแล้ว
ทำแม่ร้องไห้ในวันแม่ด้วย

เด็กเสเพลกลับใจแล้วนะแม่นะ
หายโกรธหมี่นะ
จะเปลี่ยนโหมดเป็นเด็กดีที่แม่พึ่งได้แล้ว

เชื่อสิ

7.8.51

กาแฟ addicted -_-

>> เป็นความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าตลอดการเดินทางมาทำงาน <<

ไม่รู้ว่าเป็นอะไร เดี๋ยวนี้พยายามตื่นให้เช้ากว่าเดิม เพราะอยากจะมาให้ทันเวลาเข้างาน
และก็พยายามนอนเร็วกว่าเดิมแล้วด้วย
ประมาณวันละ 6 ชม. เป็นอย่างน้อย
(จะว่าไป มันก็ไม่น้อย)

ตื่นไม่เคยจะได้ตามเป้าเลย
แถมสลึมสลือ หลับบนรถเมล์ตลอดเวลา
(ข่าวล่า อัพเดท มีรถเมล์ฟรี บริการประชาชนแล้วนะคะ ตื่นเต้น)

เป็นอาการที่เหนื่อยมากอยู่
ทรมาน และใช้เวลาไม่เกิดประโยชน์

จำได้ว่าการอ่านหนังสือบนรถเมล์เป็นอะไรที่ดีและคุ้มค่ามาก
เคยทำได้ด้วย อ่านติดกันทุกวัน

T_T
แต่ตอนนี้เป็นอะไรไม่รู้
ร่างกายอ่อนเพลีย
มีคนบอกว่า อาจจะเป็นเพราะนอนกรน หายใจไม่เต็มที่
อีกหนึ่งทฤษฎีคือ กินอาหารดึก ร่างกายทำงานหนักแม้เวลานอน
เพราะแบกอาหารเอาไว้ (เหยย)
หรือเครียดกับงานมากเกินไป

ไม่รู้จะแก้ยังไง
การที่ร่างกายถูกใช้อย่างไม่เต็มประสิทธิภาพแบบนี้...
แอบทำให้ตัวเองรู้สึกไม่ดี อยากเปลี่ยนแปลง
อยากแข็งแรง

การที่ร่างกายไม่ fresh ก็เป็นเหตุให้หาเรื่องกินกาแฟได้ตลอดเวลา
แล้วก็อุปาทานไปว่ากาแฟช่วยได้

เฮ้ออออออ
เข้าสู่วังวนเดิมอีกแล้วคับท่าน

28.7.51

... Bird eye view ...

เป็นชื่อบริษัทรับผลิตงาน production แห่งหนึ่ง
และเป็นชื่อมุมมองชนิดหนึ่งที่ใช้เรียกกันในแวดวงการถ่ายภาพและถ่ายวีดีโอ

เวลาที่นกกำลังบิน แล้วมองลงมาจากฟ้า
มันคงจะเห็นถนนที่ต่อยาวเชื่อมกันหมดทั้งเมือง
เห็นทางตัน ที่แอบมีทางออกอยู่ซอกหลืบเล็กๆ สักแห่ง

มันอาจจะเห็นคนกำลังมุ่งตรงไปทางไหนสักทาง
และกำลังจะชนกับอีกคน ตรงมุมตึก

มันอาจจะเห็นคนที่กำลังยืนรอคน และเห็นคนที่ถูกรอกำลังขับรถมาอย่างเร็ว

มันอาจจะเห็นที่สุดปลายทางถนน ที่ใครๆ ก็มุ่งหน้าไป
เป็นปลายทางที่นำไปสู่ความมรณา
ทั้งที่บรรดาคนที่กำลังมุ่งหน้าไป ไม่เฉลียวใจสักนิด

ถ้าใครเคยอ่าน Harry Potter ลองนึกภาพตาม
เวลาที่เรามองแผนที่ตัวกวน ก็คงจะเหมือนกับที่นกมองเรา
มีคนมากมายในฮอกวอตส์เดินไปเดินมา
แต่ละคนที่เดินอยู่ ก็ไม่รู้ว่าจะเจออะไรบ้าง
แต่สำหรับเราที่มองแบบ bird eye view
เห็นทะลุหมดทุกอย่าง

เวลาที่เราต้องเป็นผู้นำ ต้องดูแลคนมากมาย มีงานอยู่ในมือหลายอย่าง
สิ่งที่เราต้อง Care และต้อง Focus ก็มีหลายๆ ชิ้น
ถ้าหากเราเดินไปเรื่อยๆ มองแค่เส้นทางที่ไปข้างหน้า
ก็คงยาก ที่จะดูแลสิ่งอื่นๆ ได้ไหว
เพราะแค่เดินคนเดียวให้ถูกทาง ยังยากเลย สำหรับ Sight seeing แบบนั้น

เรียนรู้ที่จะมองมุมสูงเข้าไว้

เพื่อให้มองเห็นเวลาที่ใครจะเดินชนใคร
เห็นว่าคนภายใต้จะเดินถูกหรือผิดทางยังไง
มองให้เห็นว่าถ้าเราและทีมเดินทางนี้ไปเรื่อยๆ แล้วจะไปเจออะไร

เราจะได้ตัดสินใจได้ถูก
ปรับแผนได้ทัน
ป้องกันได้ครบถ้วน

บางทีคนที่อยู่ข้างบน ก็ต้องทำอะไรบางอย่างที่เราไม่เข้าใจ
เพื่อการดูแลและปกป้องคนภายใต้อย่างครบถ้วน
หากเราเองมองแค่ข้างหน้า ทางของตัวเราคนเดียว ไม่ได้เห็นคนอื่นที่อยู่ในถนนสายเดียวกัน
ไม่ได้เห็นว่าอีก 1 กิโลเมตรจะเป็นอะไร
แล้วยังเชื่อตัวเองมากกว่าเชื่อคนที่มองอยู่ข้างบน
อย่างนี้จะไปรอดไหมล่ะเนี่ย

ใครอยากเป็นนก คงยังไม่ต้องหัดบิน
หัดมองมุมเดียวกับนกให้ได้ก่อน
ค่อยเป็นค่อยไปดีกว่านะ
นางนวลเอ๋ย

24.7.51

.... Thanks for Your blessing and sorry for my silly ....

-_-

อย่างที่บอกไว้ว่า
มีเรื่องกลับใจเพียบ!!

ตลอดเวลาที่เห็นสิ่งดี ดี ดี ดี และ ดี มากมายในชีวิต
ก็เป็นตลอดเวลาที่ต้องเปลี่ยน เปลี่ยน และเปลี่ยนอะไรมากมายในชีวิตเช่นกัน

ช่วงนี้เป็นช่วงที่เกิดเรื่องเล็กๆ น้อยๆ แต่น่ารำคาญใจได้ตลอดเวลา
ไม่ได้รำคาญคนอื่น
แต่รำคาญตัวเอง

ที่หลายๆ ทีก็พูดในสิ่งที่ไม่ควรพูด
หลายๆ ที คิดในสิ่งที่ไม่ควรคิด
มีงานหลุดตั้งหลายอย่าง (ที่ไม่มีใครรู้ว่าหลุด ทำและรู้อยู่คนเดียว)
หลายๆ ครั้งก็ไม่รอบคอบ
คิดช้าและคิดน้อย
ไม่คิดเผื่อคนอื่น
ไม่ดูแลความเรียบร้อยของหลายๆ อย่างที่ต้องดู

เอ่อ.......

อะไรก็ไม่รู้ เยอะแยะไปหมดเลย

รู้สึกไม่ค่อยดี...
เล็กๆ...



ก็รู้สึกไม่ดีเยอะเหมือนกันแหละ T_T


แต่ก็นะ
คนที่รู้ตัวว่าป่วย... ก็จะไปหาหมอให้รักษา
คนที่รู้ตัวว่าตัวเองผิดพลาดเรื่องอะไร...
ก็จะหาวิธีการเปลี่ยนแปลงตัวเองให้ไม่ผิดพลาดเรื่องเดิมๆ

อาจจะดีก็ได้
เราอาจจะไม่ได้แย่มากขึ้นเรื่อยๆ
แต่เราอาจจะกำลังรู้ตัวมากขึ้นเรื่อยๆ ว่าเราแย่เรื่องอะไร
เพื่อที่เราจะได้ดีขึ้นเรื่อยๆ
เป็นที่พึ่ง ดูแลช่วยเหลือคนอื่นได้มากขึ้นเรื่อยๆ

ถ้าหากว่าเรามีชีวิตเล็กๆ ที่รองรับได้แค่บางเรื่อง
เพราะเราไม่ยอมเปลี่ยนนิสัยบางอย่างเพื่อคนอื่น...

สิ่งมหัศจรรย์บางอย่างก็จะไม่เกิดขึ้นในชีวิตของเรา
(ถ้าไม่รู้ สิ่งมหัศจรรย์เกิดขึ้นเสมอบนโลกใบนี้ ขึ้นอยู่กับว่าคุณมองเห็นมันไหม)

ขนาดเป็นแบบนี้ -_-"
ยังมีอะไรดีๆ เกิดขึ้นกับชีวิตตั้งเยอะ มาก มาก มาก

โอย เป็นลูกพระเจ้านี่มันดีจริงๆ
(วงเล็บอีกครั้ง แม้ว่าไอ้ลูกคนนี้จะไม่ค่อยดีเท่าไหร่ก็เหอะ)

ขอบคุณพระเจ้าสำหรับการอวยพรทุกอย่างค่ะ

แล้วคราวหน้าจะมาเล่าเรื่องอาหารมื้อที่แพงที่สุดในชีวิตนะ
เป็นอีกหนึ่งสิ่งมหัศจรรย์

17.7.51

ดี......

วันนี้เป็นวันดีๆ อีกหนึ่งวัน
หลังจากที่ไม่ได้อัพเดทชีวิตใน blog มายาวนาน
(ปล่อยระเบิดเน่าๆ ทิ้งไว้หนึ่งข้อความตามอารมณ์)

ที่จริงวันดีๆ วันนี้ก็มีเรื่องที่ไม่ดีอยู่บ้าง
มาทำงานสาย
คุยงานกันไม่ลงตัว

.....
(พยายามนึกอยู่)
รอรถนาน
หิว


เอาเถอะ เรื่องแย่ๆ ถ้ามันจะหาให้มี มันก็มีอยู่แล้วล่ะ
เหมือนกับเวลาที่มองคนบางคน
ถ้าจะหากันแต่จุดเสีย หาเจอได้ไม่ยากแน่นอน
เพราะไม่มีใครสมบูรณ์ 100%

มาเล่าเรื่องดีๆ ของวันนี้ดีกว่า
ตอนเช้า ได้นอนยาวๆ เพราะวันหยุด รถไม่ติด
มีกับข้าวของมะวานให้กินก่อนออกจากบ้าน
ขึ้นรถมาก็ไม่ง่วงเลย ได้อ่านหนังสือและฟังเพลงตามต้องการ
ก็เลยไม่ต้องซื้ออะไรรองท้อง กินกาแฟตามใจปากสักมื้อ
...อร่อยมาก

เข้ามาที่ออฟฟิศ ได้พบปะพูดคุยเสวนา และนมัสการพระเจ้าสั้นๆ
พระเจ้าพูดด้วย...
ก็มีกำลังใจทำงานมากกว่าเดิมอีก 7 เท่า

ได้การ์ดวันเกิดคืนมา หลังจากที่หายและหลงลืมไปอยู่กะพี่นิกกว่าเดือน
อ่านแล้วก็มีกำลังใจ

รายการใหม่ที่ทำแล้วส่งให้พี่น้อง comment ก็มี feedback ที่ดี
งานต่างๆ ตาม list เสร็จเกือบครบ

สำคัญและดีมาก เรื่องนี้
รถของพี่เอ๋และพี่เพ็ญ กลับคืนมาได้อย่างปาฏิหาริย์
หลังจากที่โดนขโมยหายไปจากหน้าออฟฟิศเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว
หายไปพร้อมเทปรายการนิยมกล้อง ณ Trip ปักกิ่ง ที่มี connection และ sponsor เพียบ!!
....
กลับมาแล้ววววว
ดีใจกันทั้งออฟฟิศ

นั่งรถกลับบ้าน ผ่าน Oishi Express สาขาใหม่ เมเจอร์รัชโยธิน
(บอกพระเจ้าไปว่า อยากกินจัง อิอิ)
ถึงบ้านมีของเหลือจาก Pizza ให้กิน
แล้วก็มีคำชวนจากแม่ว่า
"พรุ่งนี้ไปกินโออิชิไหม"

ฟังแล้วอยากจะกรี๊ดออกมาด้วยความดีใจ
แม่น่ารักมาก และพระเจ้าก็น่ารักมากๆๆๆ

นี่เป็นเรื่องดีๆ ที่จับต้องได้
มีเรื่องดีๆ ที่เป็นเรื่องของความรู้สึก จับต้องไม่ได้ อีกเพียบ!!

ดีๆๆๆ

กลับมาดูรายการนิยมกล้องสัปดาห์นี้
ก็เห็นการพัฒนาที่ดี
ดูแล้วสนุกและภูมิใจไปด้วยเลย

ดีๆๆๆๆๆ

มีความสุขจังเลย
ขอบคุณพระเจ้าค่ะ

(blog ถัดไปจากนี้จะเขียนเรื่องกลับใจ T_T เป็นเหตุการณ์ก่อนเรื่องดีๆ นี่ล่ะค่ะ)

13.7.51

-- นาน ช้า ยาว ไกล เยอะ มากมาย -- มึน

2 วันที่ผ่านมา
เหมือนเป็นเวลาที่ยาวนานมากกก
ระยะทางยาวไกล กับอะไรมากมายเหลือเกิน

กลับมาสู่โลกแห่งความเป็นจริงเถอะท่าน
มีอีกมากมายคอยอยู่นะ

อยู่ดีๆ ก็เฉื่อยเหอะ
งง!!

11.7.51

-- นักบัญชี --

เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ได้คุยกับนัก (และนักเรียน) บัญชี
ไม่ได้คุยเรื่องเงิน แต่คุยเรื่องการคิด

......................................................................

ระบบการทำงานบัญชี เป็นระบบที่เต็มไปด้วยตรรกะตัวเลข
ผิดหนึ่งจุด ทำให้ผิดทั้งกระบวนการ
เวลาตรวจสอบ ต้องตรวจสอบเป็นจุดๆ

เป็นการทำงานที่ต้องการความถูกต้อง 100%

คนที่จัดการบัญชีต้องเป็นคนที่ละเอียด ชัดเจน ตรงไปตรงมา

เรียกว่าเป็นระบบที่ดีและเป็นคนทีสุดยอดทีเดียว

...................................................................

สำหรับการจัดการเรื่องอื่นๆ ของชีวิต
ที่ดูเผินๆ เหมือนจะละเอียดน้อยกว่า ยุ่งยากน้อยกว่า

กลับใช้ระบบการคิดแบบนักบัญชีมาจัดการไม่ได้

เพราะมันมีเรื่องของคน, สภาพแวดล้อม, เวลา, accident และเหตุการณ์อื่นๆๆ
ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นปัจจัยที่กำหนดความผิดหรือถูก ใช่หรือไม่ใช่ ได้ยาก...มาก

ไม่ละเอียด ไม่ยุ่งยากจุกจิก...
แต่ละเอียดอ่อน

ทุมพร น้องสาวที่น่ารัก ถามว่า
"ทุมพรเรียนบัญชีมา ก็เป็นงานที่เป็นระบบ มันน่าจะทำให้คิดมีระบบนะ"

ระบบการทำงานบัญชี ถูกคิดมาเพื่อทำงานบัญชีอย่างเจาะจง
เหมือนระบบของการทำงานสายพานในโรงงานน้ำปลา
เป็นระบบแก้ปัญหาเฉพาะจุด ปัจจัยเงื่อนไขชัดเจน

...............................................................

ข่าวดี!!

มีระบบการคิดที่ดีที่สุดอยู่ในโลกใบนี้ ซึ่งใช้ควบคู่กับหลักคิดบางอย่างที่ชัดเจนแน่นอน
คิดได้ครอบคลุมทุกเรื่อง
แก้ไขได้ทุกปัญหา
จัดการได้ทั้งงานกว้างและงานแคบๆ
ปัจจัยเกี่ยวข้องจะมากจะน้อย ก็พอจะวิเคราะห์ได้

ก็ยังไม่รู้นะ ว่าจะคิดให้ได้เป็นระบบแบบนี้ ต้องทำยังไง

นึกได้แค่ 2 อย่าง

อย่างแรก อย่าเอาอารมณ์ความรู้สึกของตัวเองเป็นศูนย์กลางในการคิด
อย่างที่สอง เข้าใจ รู้จัก และเห็นคุณค่าทรัพยากรที่เกี่ยวข้องทุกชนิด

ต้องกลับบ้านแล้วล่ะ
สู้ๆ กับทุกเรื่องนะ
ชาวโลก

5.7.51

ด้าน >> มุม

ช่วงนี้เป็นช่วงที่พระเจ้ากำลังสอนให้เปิดมุมมองของตัวเองให้กว้างขึ้น

คำว่ามองต่างมุม
ถ้าหากเข้าใจและจัดการมันได้อย่างถูกต้อง
การมองต่างมุมจะเกิดประโยชน์ได้กว่า 8 เท่า
(เกณฑ์ในการวัดเป็นเรื่องของความรู้สึกค่ะ อิอิ)

เมื่อวันก่อน อ่านพระคัมภีร์ที่พูดถึงอิสราเอล 12 คน
ที่ไปสอดแนมเมืองคานาอัน...

10 คน บอกว่าเมืองนี้ดีมาก แต่น่ากลัวเกินไป
2 คน บอกว่าเมืองนี้น่ากลัว แต่ดีมาก น่าจะบุกไป

10 คนแรกไม่ได้เข้าเมือง (คิดแง่ลบ พระเจ้าไม่ยอม)
2 คนหลัง ได้ร้บการอวยพรมหาศาลถึงลูกหลาน

อันนี้เป็นเรื่องการมองแง่บวกหรือลบ
ซึ่งแต่ละคนที่ไป ก็ไปพร้อมกัน แต่ดันมองไม่เหมือนกันซะนี่

+++++++++++++++++++++++++++++++++++

วันใกล้ๆ กัน
คุยปรึกษากับพี่นิก พี่สาวคนสวย เรื่องการทำ agenda การประชุม
ประเด็นอยู่ที่ว่า พี่นิกอยากให้มีหัวข้อการประชุมแยกย่อยให้ครบ
ไอ้เราก็คิดว่า การมีหัวข้อมันไม่จำเป็น เพราะเรื่องที่คุยกันหนึ่งเรื่อง
มันก็คลุมประเด็นย่อยครบอยู่แล้ว

เถียงกันตั้งนาน
บทสรุปคือ จัดเรื่องที่คุยให้เป็นหมวดหมู่
ใส่หัวข้อเพื่อให้รู้ว่าเป็นงานหลักของด้านไหน

จบ

ความคิดตรงกัน แต่ดันคุยเหมือนคนละเรื่อง

++++++++++++++++++++++++

ล่าสุด ไปสอนพี่คนหนึ่งทำตารางเวลา
แล้วพี่แกไม่ยอมทำ เพราะไม่มีเวลา และคิดว่าไม่จำเป็น

เถียงกันอยู่ตั้งนาน หน้าดำคร่ำเครียดใส่กันไปซะเยอะ
เราก็พยายามอธิบายเหตุผลร้อยแปดพันประการที่คุณควรจะทำ
อยากให้เห็นประโยชน์

สุดท้าย คุยกันไม่รู้เรื่องก็เลิกคุย
ไปปรึกษาพี่ชายที่น่ารักหนึ่งคน ว่าจะทำยังไงดี

เขาบอกว่า "ก็บอกไปสิ ว่าเป็นกฏของบริษัททีต้องทำ
ถ้าไม่ทำ ก็ไปคุยกับฝ่ายบุคคลเอง"

-_-"

งงไปพักนึง วิธีการนี้ดีที่สุดแล้วเหรอ มันจะเหมือนบังคับเขาไหม

แต่จะว่าไป เพราะเรามองไม่เหมือนเขา ยืนคนละจุด
คุยเท่าไหร่ก็ไม่รู้เรื่องนี่หว่า...
จัดการแบบนี้ท่าทางจะดีกว่าจริงๆ

++++++++++++++++++

หลายต่อหลายครั้ง
การมองคนละมุม ทำให้เราเหมือนอยู่คนละด้าน
อยู่คนฝ่าย

เรื่องที่เล่ามาทั้งหมด ไม่มีใครเป็นศัตรูกัน เรามีเส้นทางเส้นเดียวกัน
และไปด้วยกัน
แต่ว่าเวลาที่คุยหรือเถียงกัน...

บางที มันก็มีอารมณ์ของความอยู่คนละด้านจริงๆ
แบบนี้มันก็เหมือนไปคนละทาง...
สวนทาง
(นึกภาพตาม จะเข้าใจได้ชัดเจนขึ้น)

ในฐานะที่เราทำงานกับคนเยอะ
คงต้องเป็นผู้ใหญ่
จะรอให้ชาวบ้านทุกคนมาเห็นมุมเดียวกับเราหมดคงไม่ได้

และความช่างพูด ช่างอธิบายของเรา
(ด้วยความมุ่งมั่น อยากให้ทุกคนเข้าใจเหมือนกัน)
อาจจะใช้ไม่ได้ดีเสมอไป

อาจเสียเวลา เมื่อยปาก
แต่ไม่เกิดความเข้าใจใดๆ เลย
แถมยังจะเกิดความรู้สึกคนละด้านอีกต่างหาก

ทั้งนี้ ไม่ใช่ว่าเราอยู่คนละด้าน
เพียงแต่เราอยู่คนละมุมเท่านั้นเอง

พระเจ้าคะ
ขอให้หมี่มองโลกและมองทุกอย่างได้ทุกมุมนะคะ

จะได้เข้าใจและช่วยคนอื่นๆ ที่มองในมุมอื่นๆ ได้มากขึ้น
ขอบคุณพระเจ้าสำหรับการเรียนรู้ค่ะ

>_< ยาวเหอะ

3.7.51

- - จังหวะ - -

จำไม่ได้ว่าเคยเห็น blog ของใครสักคน พูดถึงเรื่อง "จังหวะ"
จังหวะกลอง จังหวะหัวใจ
จังหวะชีวิต

ดูเหมือนอะไรอะไรก็ควรจะมีจังหวะ
จังหวะที่ว่า ไม่ใช่จะเป็นจังหวะอะไรก็ได้
แต่เป็นจังหวะที่สม่ำเสมอ มีทิศทาง ที่มาที่ไป

การมีจังหวะแบบนี้
...ทำให้ไม่เกิดความสับสนมึนงง
...ทำให้ไพเราะและน่าฟัง
...ทำให้รู้ว่าอะไรๆ ยังปกติดี
...ทำให้รู้ว่า สิ่งที่กำลังจะเข้ามา เป็นจังหวะเดียวกับเราไหม

จังหวะกลองแบบ R&B ก็ไม่เหมือนจังหวะกลองแบบ Rock...
คงแล้วแต่คนจะชอบ

จังหวะหัวใจของแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน
เรื่องนี้เป็นเรื่องควบคุมลำบาก...

แล้วแต่ละคนก็จะมีจังหวะชีวิตที่แตกต่างกัน

ซึ่งถ้าจูนจังหวะให้ตรงกันได้...
การเดินร่วมทางกันก็คงจะง่ายขึ้นเยอะ


บางเวลา จังหวะชีวิตของเราอาจจะช้า...down...deep
แต่ในเวลาเดียวกัน คนบางคน อาจจะมีจังหวะที่ตื่นเต้น สนุกสนาน

ถ้าได้มาคุยกันมันจะเข้าใจกันไหม -_-"

วันนี้
พี่นิยมสอนว่า เวลาขยับตัวหรือทำอะไรก็ตาม ต้องมีจังหวะ

(อันนี้เพิ่มเองค่ะ) เราจะได้รู้ว่า เราจะไปทางไหน ทำอะไรต่อ ได้อย่างไม่ติดขัด
มีจังหวะในการคิด มีการจังหวะในการพูด
มีจังหวะในการทำอะไรต่างๆ ที่เหมาะกับเรา...

ที่อาจจะต้องหาให้เจอโดยเร็ว

ถ้าไม่รู้จักจังหวะของตัวเอง คงจูนกับคนอื่นยาก

ถ้าไม่รู้ว่าพระเจ้าสร้างจังหวะแบบไหนให้กับเรา
เราจะเดินและทำสิ่งต่างๆ อย่างดีตามแผนการที่พระเจ้าวางไว้ได้ไหมละเนี่ย

ไม่รู้เหมือนกัน
แต่รู้ว่า ที่ผ่านมาเป็นคนแม่นจังหวะเพลงมาก
(อาจจะไม่แม่นคีย์ -_-")

ถ้าจังหวะชีวิตเราแม่นด้วยก็น่าจะดีนะ

พระเจ้าช่วยหมี่จูนด้วยนะคะ

29.6.51

กลับมา...

วันนี้ได้ไปโบสถ์แค่แป๊บเดียวเอง
ต้องไปขายของให้แม่ที่ร้าน

กลับมาบ้านแล้วได้ฟังข่าวดีหนึ่งอย่าง
ตอนอาบน้ำก็คิดถึงน้องสาวคนหนึ่ง
ที่เคยสนิทกันมาก รักมาก
ตอนนี้ไม่ค่อยได้เจอกัน
ชีวิตอยู่กันคนละที่

เขาไปผ่าตัด
ที่ต้องโดนเส้นประสาท
ทำให้เขาความจำเสื่อม

จำอะไรไม่ได้เลย
จำหมี่ไม่ได้ด้วย

ทำอะไรไม่ได้นอกจากพยายามโทรไปคุยและอธิษฐานเผื่อ

วันนี้ได้ยินข่าวดี ที่น่าดีใจมาก
น้องสาวคนนั้นมาโบสถ์ กับพี่ที่มหาวิทยาลัยคนหนึ่ง

เหมือนพระเจ้าพาเขากลับมา
กลับมาในที่ที่เป็นของเขาอีกครั้ง

หลายครั้ง
สิ่งที่เกิดก็เป็นสิ่งที่เราไม่เคยคิดไว้

สิ่งที่ดูไม่น่าจะเป็นไปได้ก็เกิดขึ้น

ทุกอย่างเป็นความจริง
ที่ล้วนแล้วแต่มีผลทางความรู้สึก

ไม่ว่าใครหนึ่งคนในชีวิตจะไปไหน
จะเป็นอย่างไร
อะไรจะเกิดขึ้นกับชีวิตของเขา

แต่วันหนึ่งเขาจะกลับมา
อยู่ในที่ที่เขาควรอยู่อีกครั้ง

รอคอยด้วยความรู้สึก
แต่เชื่อด้วยความจริง

You'll come back, when they call You.

It started out as a feeling
Which then grew into a hope

Which then turned into a quiet thought
Which then turned into a quiet word

And then that word grew louder and louder
Til it was a battle cry

I'll come back
When you call me
No need to say goodbye

Just because everything's changing
Doesn't mean it's never been this way before

All you can do is try to know
Who your friends are
As you head off to the war

Pick a star on the dark horizon
And follow the light

You'll come back
When it's over
No need to say good bye

You'll come back
When it's over
No need to say good bye..


Now we're back to the beginning
It's just a feeling and no one knows yet

But just because they can't feel it too
Doesn't mean that you have to forget

Let your memories grow stronger and stronger
Til they're before your eyes

You'll come back
When they call you
No need to say good bye

You'll come back
When they call you
No need to say good bye..

I love this song and I love this movie.
Love You, my Aslan...

27.6.51

อัสลาน...

ได้ไปดู นาร์เนีย ภาค 2 เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา
คราวนี้ เด็กๆ (ที่โตกันหมดแล้ว) ต้องต่อสู้กันอย่างแสนสาหัส
โดยปราศจากวี่แววของอัสลาน... ผู้นำที่ทุกคนวางใจ

หลายๆ ครั้ง ชีวิตเราก็ต้องเผชิญกับอะไรหลายๆ อย่างด้วยจิตใจที่หวั่นไหว
เพราะไม่มีคนหนึ่งคนที่เราพึ่งพาได้อยู่ข้างๆ

สิ่งที่เกิดขึ้นมีอยู่ 2 ตัวเลือก
สู้ต่อไป เหมือนมีที่ปรึกษาคนนั้นอยู่ใกล้ๆ
หรือตัดสินใจก้าวไปข้างหน้าตามใจตัวเอง

เวลาที่ตามใจตัวเอง หลายครั้งก็เกิดจากอาการโกรธ
คนทีอยากจะปรึกษา ไม่อยู่ให้ปรึกษา
ทำเองก็ได้ (วะ)

อัสลานยังคงเป็นผู้นำที่ยิ่งใหญ่
สาวกทุกคนสามารถเชื่อมั่นและพึ่งได้เสมอ
เพียงแต่การที่มองไม่เห็นอัสลาน... ทำให้ความวางใจลดน้อยลง
และสิ่งดีๆ ที่เคยมีในตัวของแต่ละคน เริ่มหายไป

วันที่เราตามหาอัสลานด้วยความเชื่อ
ด้วยใจที่ต้องการการช่วยเหลือจริงๆ.....


อัสลานจะมาทันเวลาเสมอ

เพราะอัสลานไม่เคยไปไหน




รู้อย่างนี้แล้ว...
ทุกครั้งที่สู้และเผชิญกับสิ่งใดๆ
ก็คงไม่จำเป็นต้องกลัวหรือหวั่นไหวอีกนะ

21.6.51

- - อบอุ่น และยังคงอบอุ่นอยู่ - -

วันนี้ ช่วงพักกลางวัน...
หลังจากมีการประสานงานมากมายนับล้านเกิดขึ้นในชีวิต
อยู่ดีๆ ก็นั่งนึกถึงวันเก่าๆ เมื่อปีที่แล้ว
...ไม่น่าเชื่อว่า เราจะผ่านปัญหาต่างๆ มาได้จนทุกวันนี้ ...
มี moment ที่รู้สึกเหมือนชีวิตมีแต่ความล้มเหลว
และสร้างปัญหาให้กับคนอื่นอยู่ตลอดเวลา
กลับไปนึกถึงตอนนั้นแล้วจำอารมณ์เศร้าสุดขีดของตัวเองได้

แบบว่า... ร้องไห้ไม่หยุด
ร้องไห้ต่อหน้าประชาชนมากมายในบริษัทด้วย
.....


ผ่านวันนั้นมาได้จนถึงวันนี้
ปัญหามีมากขึ้น
แต่ผิดพลาดน้อยลง (อาจจะจำนวนมากขึ้น แต่สัดส่วนถือว่าน้อยกว่าเดิมน่า)
ความรับผิดชอบมีมากขึ้น
แต่ความเครียดมีน้อยลง
ความกดดันมีมากขึ้น
แต่ความทุกข์มีน้อยลง

ซึ่งกว่าจะผ่านมาได้เหอะ
เป็นความอัศจรรย์จริงๆ

ที่แน่ๆ มีหนึ่งอย่างที่ช่วยกู้ชีวิตในเวลาแบบนั้น
เช่น การที่มีคนร้องไห้อยู่ข้างๆ เวลาที่เราร้องไห้
มีความเข้าใจและเห็นใจอยู่ในทุกเวลา
มือที่พร้อมจะดูแลและช่วยเหลือประคับประคอง

อันนี้ก็เป็นความอัศจรรย์ที่มีคนแบบนั้นอยู่ข้างๆ เราเต็มไปหมด
และเป็นความอัศจรรย์ที่สิ่งเหล่านี้ทำให้เราก้าวข้ามผ่านปัญหาและความบ้าบอทุกอย่างมาได้

เชื่อไหมว่า ความรู้สึกอบอุ่นของวันนั้น ยังคงมีมาจนถึงวันนี้
และคนที่อยู่ข้างๆ เหล่านั้น ก็ยังไม่เคยห่างไปจากชีวิตอีกเลย

สิ่งที่มีคุณค่าที่สุดในชีวิต ตอนนี้นึกได้ 2 อย่าง
เวลาและความสัมพันธ์กับคนรอบข้าง
เวลา ต้องถูกจัดการให้ดี เพราะมีผลถึงอนาคต
และความสัมพันธ์ ต้องถูกดูแลอย่างดี เพราะเป็นสิ่งหล่อเลี้ยงชีวิตในแต่ละวัน

ขอบคุณพระเจ้าค่ะ ที่มีคนรอบข้าง

18.6.51

- - หมดวัน - -

ชีวิตของมนุษย์นี่ ขึ้นอยู่กับเวลาสักกี่เปอร์เซ็นต์นะ
เหมือนกับเวลาผ่านไปเร็วมาก
จนทำให้เครียดและกดดัน

แป๊บๆ ก็ตื่นนอน
และแป๊บๆ ก็หมดวัน

ที่พระเจ้าบอกว่าจะเร่งวันเร่งคืนนี่
ไม่ใช่คำเปรียบเทียบใช่ไหมคะ

อยากนัดเจอเพื่อนอีกตั้งหลายกลุ่มก่อนสิ้นเดือน
มีอีกหลายโปรเจ็คจะต้องทำภายในไม่กี่เดือนนี้
เดือนหน้าก็จะต้องทำอะไรใหม่ๆ อีกหลายอย่าง

เวลามันผ่านไปเร็วมากๆ เลย
แป๊บเดียวเอง
หมดวันซะแล้ว

ถ้าคนเราไม่ต้องนอนได้ก็ดีสินะ ... เอาเวลาไปปั่นงาน
แต่ก็อย่างว่า ... การนอนเป็นความสุขสุดยอดของมนุษย์นี่นา
พระเจ้าตั้งใจให้มาด้วย ... ควรใช้ให้คุ้ม
(แค่นี้ก็โดนประทับตรา "บ้างาน" จากหลายสถาบันไปแล้ว เฮ้ออออ)

ถ้า 100 เปอร์เซ็นต์ ของมนุษย์คือเรื่องของเวลา
ป่านนี้ต้องเครียดตายไปแล้วแน่ๆ
น่าดีใจที่ไม่ใช่แบบนั้น
หลายๆ ที ที่หมดวันไปกับความไม่ทันเวลาของการทำงาน
อาจจะได้ความสำเร็จกับความสัมพันธ์ของคนรอบข้าง
และได้การเรียนรู้ใหม่ๆ มาทดแทน

ขอบคุณพระเจ้าที่โลกนี้มีอะไรมากกว่างาน และการไหลผ่านไปของเวลา

16.6.51

เชื่อใจ และ ให้เกียรติ

วันนี้ไปงานแต่งงานของเพื่อน
ไม่ได้เข้าไปในงาน เพราะไปช้า
อุตส่าห์แต่งตัวซะสวยเลย

ก็เลยได้นั่งคุยกับเพื่อนอีกคนที่ไปด้วยกัน
คุยถึงชีวิตคู่ของเพื่อนคนนั้น คนนี้
รวมถึงความรักของเพื่อนสาวของเราด้วย
(ยังไม่มีใครแต่งงาน แต่คบกันเสมือนจะแต่งแล้ว)

ได้คำตอบมา 2 อย่าง
ความรักที่ไม่ให้เกียรติกัน ก็ไม่สามารถทำให้คนอีกฝ่ายอยู่อย่างมีความสุขได้
และความรักที่ไม่ได้มีความเชื่อใจ
ไม่สามารถทำให้เราอยู่อย่างมีความสุขได้เช่นกัน
โดยเฉพาะคนที่ไม่เชื่อใจคนอีกฝ่าย
หัวใจก็คงว้าวุ่นหวั่นไหว...
ตลอดเวลา

ยังคงยืนยันเหมือนเดิม
ชีวิตคู่ เป็นชีวิตที่อบอุ่น...
ถ้าคู่นั้น รัก ให้เกียรติ และเชื่อใจซึ่งกันและกัน

13.6.51

- - เมื่อโลกหมุนเร็วเกินใจ - -

เช้าวันพุธ ตื่นมาตอนหกโมงกว่าๆ
กับเรื่องมากมายในรายการสนุก 3 ดี วนเวียนอยู่ในหัว
มีอะไรเยอะเหลือเกินที่จะต้องทำให้เกิด แต่ยังไม่เกิด
ก็เลยทำให้เวลาชั่วโมงนึงที่หลับต่อ
หลับได้ไม่สนิทเท่าไหร่...
คิดอยู่แต่เรื่องเดิม

(คิดจนถึงขึ้นรถเมล์ แล้ว list งานในหัวออกมาได้ ถึงค่อยโล่งใจ)

ผ่านไป 2 วัน
เมื่อวานนอนตอนตี 3 ที่ออฟฟิศ
งานก็เสร็จอยู่
แต่ไม่เสร็จได้ครบเหมือนที่ตั้งใจ

แล้วก็มีอะไรอีกมากมาย
ที่รู้สึกว่าทำไมมันถึงยังไม่เสร็จซะที
นี่มันเดือนมิ.ย. ใกล้จะ ก.ค. แล้ว
มีอีกตั้งหลายอย่างยังไม่ได้ทำ

เริ่มกลัวอนาคต
หลอน... ว่า deadline จะผ่านไปโดยไม่มีอะไรสมบูรณ์
งานจะไม่ดีอย่างที่ตั้งใจไว้
แผนต่างๆ ที่ยังไม่ได้เริ่มวาง ก็กลัวจะช้าเกินไป
ปล่อยให้เวลาและโอกาสที่ดีๆ ผ่านไปเรื่อยๆ อย่างน่าเสียดาย
ไม่มีอะไรที่ทันเวลาได้ดั่งใจซะที

เหมือนเป็นเด็กเอาแต่ใจตัวเองไหม
การทำงานให้สำเร็จแต่ละอย่างได้ มันมีองค์ประกอบที่มากมายกว่านั้น
เทคโนโลยี เครื่องมือ เงิน ทีมงานที่ดี
ก็สำคัญและจำเป็นไม่แพ้ใจของเราเอง

การเดินไปคนเดียวอาจจะเร็วกว่า
แต่ว่าการไปกับเพื่อนรอบข้างมีความสุขและถึงเป้าหมายอย่างสมบูรณ์กว่า

สำหรับในเวลาที่ดูเหมือนเร่งด่วนอยู่ตลอดเวลา
เราคงทำได้แค่ ทำให้ 24 ชั่วโมงที่มีอยู่
เป็น 24 ชั่วโมงที่คุ้มค่า
กับคนอื่น
กับตัวเรา

แม้สำหรับหมี่ โลกหมุนเร็วเกินใจ แต่ว่าโลกคงไม่หมุนเร็วเกินไป

10.6.51

ที่ 100

บทความที่กำลังพิมพ์ตอนนี้ เป็นบทความที่ 101
ใครจะรู้ว่าบทความที่ 100 คือบทความที่เขียนในวันเกิดอายุ 25 ของเรา
5 มิ.ย. 2551

ก็ไม่ได้เชื่อเรื่องโชคลางตัวเลขใดๆ
แต่เชื่อเสมอว่า ไม่มีอะไรบังเอิญ
รวมถึงความเหมาะเจาะแบบนี้ด้วย
เลขสวยๆ มันก็ตื่นเต้นดี

ไม่ได้เขียน blog มาเกือบสัปดาห์
ไม่ได้ขี้เกียจเขียนแต่อย่างใด
แต่ว่ากลไกชีวิตมันวิ่งเร็วมาก
เร็วมากๆๆๆ
แล้วก็วุ่นวายไปหมด
เหลือเวลาสำหรับพักใจน้อยเกินไป
(ส่วนเวลาสำหรับพักกายไม่ต้องห่วง ถึงเวลา ปิดโหมดอัตโนมัติ)

วันนี้ได้คุยกับน้องคนหนึ่ง พูดถึงความขี้ลืมของคน
คนบางคน ขี้ลืมตั้งแต่เล็กแต่น้อย ขยันลืมบ่อยจนน่าแปลกใจ
และคนบางคน ยิ่งทำงานเยอะ ดูเหมือนเก่งขึ้น แต่กลับขี้ลืมได้มากกว่าเดิม
แบบนี้ก็น่าแปลกใจ ไม่รู้เพราะอะไร

วันเกิดตัวเอง ถามคนข้างๆ ไป 3 รอบ ว่าวันนี้วันที่เท่าไหร่
(เมื่อกี๊ก็เพิ่งถามพี่อีกคน ว่าปีนี้ปีอะไร)
checklist มีอยู่ 3 ชุด ก็ยังลืมตามงานบางเรื่องจนได้

ลงความเห็นกันว่า คงเป็นที่ระบบการคิด
ยิ่งเรามีอะไรเยอะ รับอะไรเยอะ
เรายิ่งต้องจัดระบบความคิดให้รองรับไหว
ช่วงเยอะๆ แรกๆ ก็อาจจะหลุดๆ ลืมๆ บ่อย
เพราะยังจัดระบบความคิดไม่ได้
พอจัดระบบลงตัว เก่งขึ้นพอกับงานแล้ว
ก็เป็นช่วงเวลาของงานใหม่...
ทีนี้ก็หลุดกันอีกรอบ ต้องมาจัดระบบความคิดกันใหม่อีกครั้ง เพื่อให้ทำอะไรได้มากกว่าเดิม

มนุษย์ก็เลยเก่งขึ้นเรื่อยๆ เมื่อผ่านช่วงเวลาสับสนและผิดพลาดในแต่ละระดับไปได้

ถ้าเป็นแนวคิดนี้
ไม่รู้ว่าจะเอาไปตอบได้ไหมว่า คนแก่ขี้ลืมเพราะมีความทรงจำเยอะจัด

เอ๊ หรือต้องเอาหลักการที่บอกว่ายิ่งอายุมากยิ่งขี้ลืม กลับไปตอบคำถามตอนแรกของตัวเอง
25 ปีที่ไม่เชื่อเรื่องเบญจเพส (คนทักเยอะเหลือเกิน) จะขี้ลืมมากกว่าเดิมไหมเนี่ย!!

5.6.51

- - BD - -

เพราะว่าอยากให้โตมากขึ้นในวันเกิดปีนี้
ก็เลยมีเรื่องให้เรียนรู้ 1 อย่าง

ปล่อยให้พี่ชายที่น่ารักนั่งรอคุยงานด้วย 1 ชม.
มัวแต่อยู่ในงาน HBD ตัวเอง
คิดว่าพี่เขาจะโทรมา

เด็กน้อยเป็นที่สุด
เราเป็นเด็ก มานั่งรอผู้ใหญ่โทรหาได้ยังไง
ถึงแม้โทรหรือไม่ ก็ไม่ควรทิ้งนัดไปแบบนั้น

หลายๆ คำชมและคำอวยพรตลอดทั้งวัน
เทียบกับความรู้สึกผิดในใจ (ที่ค้างอยู่เป็นชม.)
ก็ทำให้วันนี้ เป็นวันเกิดที่น่าอัศจรรย์ใจได้มากเหลือเกิน

ขอบคุณพระเจ้าสำหรับสิ่งดีมากมายในตัวของหมี่
ที่สามารถเอาไปใช้ทำให้เกิดสิ่งดีๆ ขึ้นได้เยอะแยะ
และขอบคุณพระเจ้าสำหรับสิ่งไม่ดีอีกหลายอย่าง
ที่กำลังจะดีขึ้นเรื่อยๆ
ยังไงก็ตาม
ก็จะเป็นหมี่แบบ Unique อย่างนี้ไปเรื่อยๆ แหละ
พระเจ้าสร้างมาดี
แม่สอนมาดี
และคนรอบข้างทุกคนก็ดูแลดีด้วยเช่นกัน

^_^
ดีใจๆ 25 แล้วววววววว

2.6.51

- - 4 place - - 4 feeling - -

เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา...
ได้ไปดูคอนเสิร์ต 4 แห่งและ 4 รูปแบบ
ทำให้ได้ความรู้สึกที่แตกต่างกันไป 4 อารมณ์...

10.30 น. ไปนั่งรอทีมนักดนตรีที่ Impact Arena
คนเดียว
ครั้งแรก
เกิดความรู้สึกแปลกๆ
แอบภูมิใจเล็กๆ ที่มีโอกาสเข้ามาทำงานในนี้
แม้จะเป็นแค่คนดูแลเนื้อเพลงให้ขึ้นได้ถูกต้อง
และเวลาที่ยืนดู Ctrl G เล่นดนตรี ตอน 13.00 น. ได้เห็นเนื้อเพลงที่ขึ้นอย่างถูกต้อง
ก็ดีใจ มาก ที่ได้อยู่ตรงนั้น

15.00 น. ไปที่ลาน Parc พารากอน
ไม่มีการ sound check ที่
ดูวง Eve & the Adams เล่น concert ในงาน Green Day
Sound Engineer เป็นทีมจาก Grammy
โอ้ แบบนี้เอง ที่เรียกว่า sound ดี
แล้วก็มีคนดูหลายคน
ที่ปรบมือให้ด้วยแววตาประทับใจ (คิดไปเองรึเปล่าไม่รู้)
และเราก็ประทับใจ

17.30 น. sound check ที่เอกมัย
วง Eve & the Adams เล่นคอนเสิร์ตอีกครั้ง
เป็นคอนเสิร์ตเล็กๆ มีคนดูที่เป็นคริสเตียนประมาณเกือบร้อย
sound อาจจะไม่ดี คนอาจจะไม่อลังการ
แต่ก็อบอุ่นดี

21.30 น. ไปดูคอนเสิร์ตของ ดา เอ็นโดรฟิน
ที่ Indoor Stadium หัวหมาก
กว้างใหญ่อลังการ เครื่องเสียงสุดยอด
พลังเสียงไม่ต้องพูดถึง
ที่ต้องพูดถึงคือคนใน Hall ที่นั่งกันเกือบเต็ม

วันหนึ่ง วงดนตรีจาก Gsus7 จะได้เป็นแบบนั้น
อยู่ในบรรยากาศแบบนั้น

ไม่ได้อยากรวย
ไม่ได้อยากดัง
แค่อยากให้สิ่งดีๆ ที่เกิดจากความตั้งใจของเรา
ได้ลงไปถึงใจของคนมากมายจริงๆ

เหนื่อยนะนั่น
แต่คุ้มซะ

ขอบคุณพระเจ้า

26.5.51

- - เป็นผู้ใหญ่ - -

คนที่เป็นเด็ก ก็คิดแบบเด็ก
เอาแต่ใจตัวเอง พูดไม่รู้เรื่อง

แต่คนที่เป็นผู้ใหญ่
มักจะมีเหตุผล ยอมรับและยอมรับฟังคนอื่นได้ง่าย
เพราะมีใจที่กว้างขวาง

บางทีหมี่เองก็เป็นเด็ก อยากทำตามใจตัวเอง
ไม่อยากจะเหนื่อย ไม่อยากจะสนใจคนอื่น
ว่าเขาทำอะไรกันขนาดไหน
โลกไปไกลแล้ว
ระเบิดนิวเคลียร์ฆ่าคนตกนรกไปตั้งเท่าไหร่
นากิสทำคนตายไปกี่แสน

บางทีก็ไม่ได้จะไปสนใจอะไร
แค่เรื่องของตัวเองก็พอแล้ว

แต่ถ้าคนที่เป็นผู้ใหญ่ก็จะรู้
การทำตัวให้เป็นที่พึ่งคนอื่นได้ มันน่าภูมิใจกว่าเยอะเลย
การให้ เป็นเหตุให้มีความสุขยิ่งกว่าการรับ
คำนี้เป็นจริงเสมอ
คนที่เป็นผู้ใหญ่จะรู้

บางทีหมี่ก็ไม่ชอบให้ใครมาเตือน
รู้สึกแย่ เสียใจ เซ็ง hurt
เราไม่ได้เป็น ไม่ได้คิดแบบนั้น
ทำไมต้องมาว่าด้วย เรามันแย่นักหรือไง

แต่คนที่เป็นผู้ใหญ่จะรู้
คนที่ประสบความสำเร็จ
น่าจะเคยผ่านช่วงชีวิตที่ล้มเหลวผิดพลาดมา ไม่มากก็น้อย
เวลาคนเตือนเรา ทำให้เราโตขึ้น เก่งขึ้น
และคนที่เตือนเรา บางทีก็เจ็บกว่าเราเสียอีก

บางทีหมี่ก็เป็นเด็ก คิดเล็กคิดน้อย
ใส่ใจกับเรื่องไร้สาระ
วุ่นวายกับความรู้สึกบางอย่าง ที่ไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้น
สงสัย ไม่เชื่อใจ กลัว
แวบมาเป็นระยะๆ

แต่คนที่เป็นผู้ใหญ่จะรู้
ความรู้สึกพวกนี้ จะมีมากวนใจบ้างก็ไม่ใช่เรื่องแปลก
แต่ว่าเราจะจัดการมันได้
แม้จะไม่ง่ายสักเท่าไหร่
เชื่อเถอะ เราจัดการมันได้
พอจัดการแล้วทุกอย่างก็จะราบรื่น และทางก็สว่างเองนั่นแหละ

บางเวลาก็โต บางเวลาก็เป็นเด็ก
แต่เปรียบเทียบกันจริงๆ แล้ว
เวลาที่เรารู้ว่าเราโตพอจะให้คนอื่นพึ่งพาได้
อย่างที่บอก...
ภูมิใจและมีความสุขกว่าเยอะเลยนะ

ขอบคุณพระเจ้า
ที่ทำให้หนูโตขึ้นเรื่อยๆ
(ไม่ได้พูดถึงส่วนสูง!!)

24.5.51

-- hard --

ยากเกินไป
กับการดูแลความรู้สึก
ให้คงที่ คงมั่น คงความรู้สึกดีๆ ไว้ได้
ในทุกสถานการณ์

กำลังพยายามอยู่นะคะพระเจ้า
ช่วยด้วยค่ะ

22.5.51

- - ระยะห่าง - -

เชื่อไหมว่า...
ระยะห่าง - -










- - ทำให้เกิดอะไรต่อมิอะไรในความรู้สึกคนได้มากมายเลยนะ
(ห่างลงมาไม่กี่บรรทัด รู้สึกอะไรบ้างหรือยัง หงุดหงิดไหม อิอิ)

- - ระยะห่าง - -
ทำให้คนไม่รู้จักกัน ในสิ่งที่แต่ละคนเป็นจริงๆ

- - ระยะห่าง - -
ทำให้เกิดความคาดหวังผิดๆ และการเข้าใจผิดที่ตามมาจากการผิดหวัง

- - ระยะห่าง - -
ทำให้เราไม่เห็นปัญหา และไม่รับรู้ความรู้สึกของกันและกัน

- - ระยะห่าง - -
ทำให้เราหวั่นไหว ไม่มั่นคง

- - ระยะห่าง - -
ทำให้เรา ...ห่าง... โดยวัดจากหัวใจ

แต่.......

- - ระยะห่าง - -
ทำให้เราคิดถึง และยิ่งรักมากกว่าเดิม

- - ระยะห่าง - -
ทำให้เราเชื่อใจกันและกันมากขึ้น

- - ระยะห่าง - -
ทำให้เรารู้จักกันมากกว่าที่เคยเป็น

- - ระยะห่าง - -
ทำให้หัวใจ ...ใกล้...


ได้ฟังเรื่องราวของคนที่เห็นหน้ากันทุกวัน
แต่มีปัญหาเกิดขึ้น
เพราะไม่คุยกัน คิดไม่เหมือนกัน มองคนละจุดกัน

และวัดจากประสบการณ์ตัวเอง
ที่รู้ตัวว่าจะต้องกับห่างน้องสาวไปในระยะทางไกลมาก
ทำให้รู้สึกรักและให้ความสำคัญกันมากกว่าเดิม

กับบางเรื่อง บางคน ห่างแล้วกลัวทุกอย่างจะเปลี่ยนไป
ใจหาย
แต่กับบางเรื่อง บางคน ยิ่งห่างยิ่งรัก ยิ่งเชื่อใจ

มันคงไม่ใช่เรื่องของระยะทาง
แต่คงเป็นเรื่องของหัวใจ
เห็นใจกันแค่ไหน
พยายามเพื่อกันและกันมากแค่ไหน
เชื่อใจกันแค่ไหน
ยินดีที่จะเปิดใจและเรียนรู้จักกันมากแค่ไหน

ขอบคุณพระเจ้านะคะ
ที่ดูเหมือนห่าง
แต่อยู่ใกล้ ...ตลอดเวลา...

20.5.51

ง่วง

กลัวจะเป็นโรคอะไรสักอย่าง
ง่วงนอนตลอดเวลา
ตื่นเช้ามาก็ง่วง
ตอนบ่ายก็ง่วง
ตอนนี้ก็ง่วงแล้ว

ทำไงดีคะพระเจ้า
งานยังเหลืออีกเพียบเลยน้า

สมองมึน สติเมิน
สติมา ปัญญาเกิด

เพ้อเจ้อมากละ
ไปนอนดีกว่า

15.5.51

.........

ยังเศร้าอยู่เลย
ทำยังไงดี
ไม่บิวท์แล้วนะ
ไม่เอาแล้ว
อ่อนแออีกแล้ว

วันเวลาหมุนไป

กลับมาถึงบ้านได้ประมาณ 30 นาที
ออกมาจากสุวรรณภูมิด้วยความรู้สึก...
...ใจหาย...
น้ำตาไหลตลอดทาง

ก็แค่ส่งน้องสาวที่คลานตามกันมาไปเรียนที่อังกฤษ...
เป็นเวลา 2 ปี
แม้ว่าหลังๆ จะไม่ค่อยได้เจอหน้ากัน
น้องคนนี้มันไม่ชอบกลับบ้าน
ไอ้เราก็กลับบ้านดึกเหลือเกิน
...แต่ก็ใจหาย...
น้ำตาเพิ่งหยุดไหลไปเมื่อกี๊เอง
ใครจะรู้ว่า เมื่อถึงเวลาที่เส้นทางชีวิตแต่ละคนที่ห่างกันมันชัดเจนขึ้นแบบนี้แล้ว
...อะไรๆ ที่ต้องเปลี่ยนแปลง ไม่เหมือนเดิม มันก็ชัดเจนขึ้นเช่นกัน...

เมื่อหนึ่งเดือนที่แล้ว
บ้านที่เคยมีกัน 5 คน ก็ลดลงเหลือ 4
และวันนี้ บ้านที่เคยมี 4
ก็เหลือ 3 อย่างเป็นรูปธรรม
1 ในนั้นคือหมี่เอง ที่กลับบ้านดึก ทำงานหนัก
1 ในนั้นคือแม่ ที่รักและดูแลลูกอย่างดีที่สุด เท่าที่เขาจะทำได้
แม่หมี่เลี้ยงลูกไม่เหมือนแม่ที่ไหนในโลกทั้งสิ้น
และ 1 ในนั้นคือน้องชาย ที่ตัวกำลังโต แต่ความคิดโตเกินอายุไปแล้วหลายปี

เคยคิดว่าอยากแต่งงาน
แต่วันนี้มีอีกความคิดหนึ่ง
...ถ้าอยู่กับแม่แบบนี้ตลอดไปได้ก็ดี...
...เป็นห่วง...
โดยเฉพาะสภาพจิตใจและความรู้สึกมากมายของแม่
ที่ต้องเจอกับอะไรต่อมิอะไรมาตลอดกว่า 40 ปี
วันนี้...น้องสาวคนที่แม่เป็นห่วงที่สุด เดินทางไปอยู่ที่ไกล
แม่บอกว่า แม่ไม่อ่อนแอแล้ว
แต่แม่ต้องเข้มแข็ง
ถึงจะดูแลลูกๆ 3 คนแบบนี้ได้
...ยิ่งทำให้ไม่อยากไปไหน...

แต่เวลาก็ผ่านไปเรื่อยๆ
สิ่งใหม่ๆ ก็เข้ามาเรื่อยๆ
ความรู้สึกของวันนี้อาจจางหายไป
ความรู้สึกเศร้าๆ แบบนี้ อาจจะดีขึ้น
หลายต่อหลายความรู้สึกในใจ
ไม่รู้จะบรรยายออกมาแบบไหน
.........

รู้แต่ว่า เราตัวเล็กมาก
ตัวเล็กเหลือเกิน
เล็กจนอาจจะไม่สามารถไปดูแลคนที่เราเป็นห่วงทั้งหมดได้
เล็กจนไม่สามารถแบกรับความรู้สึกของทุกคน และเข้าไปเยียวยาได้ไหว

คำตอบก็คือ คงทำอะไรไปมากกว่านี้ไม่ได้
เพราะเท่าที่ทำอยู่ ก็ทำอย่างสุดหัวใจ
แต่มั่นใจเสมอว่า... วันเวลาที่ผ่านไป กับสิ่งที่รอคอยด้วยน้ำตา
ก็จะมาบรรจบกัน
วันเวลาที่เราเฝ้ารออยู่จะเกิดขึ้นให้เราได้เห็นจริงๆ

ขอบคุณพระเจ้าค่ะ
พระเจ้ารักหนูจัง
ขอบคุณพระเจ้าสำหรับแม่ด้วยนะคะ
แม่ก็รักหนูจังเหมือนกัน

14.5.51

...It's over, it's beginning...

จบแล้ว วันนี้
งานระดมพลคนนิยมกล้อง
ตลอด 5 วัน
ที่ผ่านมาด้วยความน่าเป็นห่วง และผ่านไปด้วยความภูมิใจ
เป็นประวัติศาสตร์หนึ่งหน้า 4 สี ที่งดงามมากของ Gsus7

กับเวลาเตรียมตัว จัดและรื้อโปรแกรมทั้งหมด รวมติดต่อประสานงานและขาย
ใช้เวลา ... 2 สัปดาห์ ...
นั่งหน้าคอมและโทรศัพท์ทั้งวันและคืน
นอนก็หลอนเป็นนิยมกล้อง
เอะอะประชุม
โปรแกรมอัพเดททุก 2 ชั่วโมง (สงสารชาวบ้านเหมือนกัน)
ปั้นความว่างเปล่าขึ้นมาเป็นตัวตนให้ได้เจ๋งที่สุด ที่ต้องมั่นใจว่าไม่แพ้ใคร

เวลา 2 อาทิตย์ เหมือนผ่านไป 2 เดือน เพราะทำอะไรมากมายเหลือเกิน
แทบจะจำภาพของงานบูธที่ขอนแก่นไม่ได้ซะแล้ว

นี่แหละ
ก็เลยโล่งใจ ที่งานมันจบไปเสียได้
ก่อนงานมีความกดดัน เหนื่อย ร้องไห้
ในงานมีขัดแย้ง วุ่นวายและโวยวาย ไม่เข้าใจ
แต่หลังงาน...
ก็จะเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
(วันนี้หัวเราะกันจนน้ำตาไหล)


กลับบ้านพักผ่อนเอาแรงกันเต็มที่
วันพรุ่งนี้ก็กลับมาเผชิญกับสิ่งใหม่ที่ยิ่งใหญ่ไม่แพ้สิ่งเดิมอีกครั้ง

ประวัติศาสตร์เรื่องงานระดมพลคนนิยมกล้องอาจจะเขียนเสร็จแล้ว
แต่คงมีหน้าอื่นๆ ที่รอการเติมให้เต็มจากประวัติศาสตร์เรื่องที่จะต้องเจอต่อๆไป
น้องฝึกงานชื่อ "ทน" ก็เป็นอีกประวัติศาสตร์หนึ่งของ Gsus7
วันนี้ก็ลาจากเราไป หลังจากช่วยงาน จนวินาทีสุดท้าย

เมื่อมีการจบและลาจาก
สิ่งดีๆ มากมายไม่ได้ลาจาก แต่ดำรงอยู่
และรอที่จะสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ต่อๆไป

และการเริ่มต้นใหม่ จะเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา

ขอบคุณพระเจ้า
ยิ่งใหญ่จริงๆ ค่ะ

6.5.51

"ระดมพล คนนิยมกล้อง"

หมดเรี่ยวแรงจะเล่าและอัพเดท
กว่าอาทิตย์นึงที่ผ่านมา
หลับตานอน ลืมตาตื่น
ความรู้สึกเดียว

ไปพบกันในงาน
แล้วมาเล่าเบื้องหลัง
แล้วคุณจะตื่นเต้นว่า
เราเจออะไรกันมาบ้าง

ขอบคุณค่ะ

29.4.51

3P...

ตอนที่เคยเรียนวิชา marketing
ก็รู้จักแต่ 4P

แต่การทำงานวันนี้ทำให้เรียนรู้จักอีก 3P
Point
Process
Priority

สำคัญเชียวล่ะ...
แก้ปัญหาตรงจุด
ทำงานตามขั้นตอน
จัดลำดับความสำคัญ
ชัดชัด เน้นเน้น

เริ่มมีโหมดจริงจัง
หลังจากผ่านโหมดอ่อนไหว
(เพราะร่างกายอ่อนแอ)
ได้เวลาฟิต กลับคืนชีวิตสู่มนุษย์เหล็กไหลอีกครั้ง

3P เพื่อการพัฒนา
ขอบคุณพระเจ้าค่ะ

26.4.51

...ผ่าน...

ระหว่างทางไปขอนแก่น
ตลอดจนการเดินทางกลับ
จำได้ว่ามีทฤษฎีใหม่ เกิดขึ้นในหัวอีกจำนวนหนึ่ง
แต่ว่าไม่ได้อัพในทันที
ทฤษฎีที่อุตส่าห์ค้นพบ
ก็อันตรธานหายไป

ผ่านไป 1 อาทิตย์
กับเรื่องราวมากมาย (อีกแล้ว)
มีเรื่องใหม่ๆ เกิดขึ้นตลอดเวลา
ทั้งน่าตื่นเต้น น่าเศร้า น่าใจหาย น่ายินดี
ตอนนี้เหมือนลืมไปหมด

ความทรงจำหายไป
แต่อาการไข้และน้ำมูกแวะมาทักทาย

น้ำมันขึ้นอีกแล้ว
อย่างต่อเนื่อง

ข้อมือที่บวมอยู่ของแม่ก็อาการกำเริบ
ต้องพันผ้า แล้วก็ไม่รู้ว่าจะต้องถึงขั้นผ่าตัดเมื่อไหร่

โปรเจ็คงานใหม่มากมายกำลังรัน
รันไปอย่างที่...
ดูแล้วก็ไม่รู้ว่าจะออกมาดีได้ยังไง
กับเรี่ยวแรงและจำนวนคนที่มีอยู่

เวลาเหนื่อย อะไรก็ดูเป็นไปไม่ได้

แต่ความจริง
คือ...ทุกสิ่งเป็นไปได้

บรรยายไม่ถูก

อนาคต คือสิ่งที่เรากำลังจะก้าวไป
ความฝัน ถูกสร้างมาให้ตรงกันข้ามกับความจริง

เหมือนกับถูกกำหนดแล้วว่า อนาคต น่าจะเป็นความฝันดีของเรา
ไม่อย่างนั้น การก้าวไปข้างหน้า
คงจะน่ากลัวเกินไป

เพี้ยนๆ แบบนี้ล่ะค่ะ
ไข้กำลังกำเริบน่ะ

แล้วก็... ลองไปฟังนะ... เพลง ผ่าน ของ slot machine
เคยฟังแล้วร้องไห้ด้วยล่ะ

18.4.51

ความหมายของการเรียนรู้ บทที่ 2

วันนี้ได้ไปฟังบรรยายของอาจารย์ท่านหนึ่ง
ท่านเป็นคนมีความสามารถมาก มากๆ
และมีจิตใจดี อยากทำงานเพื่อสร้างประโยชน์ให้แก่ส่วนรวม

ระหว่างที่ท่านบรรยาย ก็มีคนเดินเข้าออกในห้อง
สังเกตได้ว่า ทุกครั้ง สายตาของท่านจะจับไปที่คนเหล่านั้น
แต่... ยังพูดเรื่องเดิมได้ไม่หลุดเลย

ตอนเลิกงาน ท่านอยากจะแจกของด้วยตัวเอง
ระหว่างที่คนเดินต่อแถวกันไปรับของ
สายตาของท่านก็จะจับที่คนด้านหลังที่เดินเข้ามาอยู่เรื่อยๆ
เหมือนจะพยายามทำความรู้จักอย่างคร่าวก่อนจะแจกของกับมือ

ทึ่งกับการพูด การมอง การคิด ของอาจารย์ท่านนี้
แล้วก็รู้สึกว่า การใช้สายตาของท่าน คือการประเมินสถานการณ์
และเรียนรู้ เพื่อการตอบสนองในระยะเวลาอันใกล้
ซึ่งจะมีผลในระยะเวลาอันไกล

ที่ผ่านมา...
ได้ใช้เวลาในการเรียนรู้จักตัวเองไปพอสมควร
และกำลังอยู่ในช่วงเวลาเรียนรู้สิ่งรอบๆ ตัว
ทั้งคน ทั้งสถานการณ์

ไม่มีอะไรที่ไม่สำคัญสำหรับการเรียนรู้
ไม่มีใครที่รู้จักตัวเองดีพอ
ไม่มีใครที่จะเข้าใจคนอื่นได้หมด
ไม่มีใครที่รู้เรื่องราวบนโลกใบนี้
(ยกเว้นพระเจ้า)

--- แต่ความฉลาดของมนุษย์
อาจจะหมายถึง การรู้จักตัวเองอย่างถูกต้องและมากที่สุด
และการเรียนรู้จักเรื่องรอบตัวและคนรอบข้างที่ควรจะรู้จัก
ให้ลึกซึ้งและเข้าใจอย่างเพียงพอ ---

การคิดวิเคราะห์และวิพากษ์ เป็นสิ่งสำคัญ
...อย่างรุนแรง...
ที่ทำให้การเรียนรู้ เป็นการเรียนรู้ที่มีประสิทธิผล
เกิดความเข้าใจใหม่ๆ
เอามาใช้ได้จริง

วันนี้ทำงานข้าม process ไปหลายอย่าง
มีความไม่ professional ให้คนอื่นเห็นอยู่บ้าง (เรื่อยๆ)

แต่ก็เห็นสิ่งดีๆ เกิดขึ้นหลายอย่างเหมือนกัน
อาจเป็นสิ่งดีที่ช่วยรับรองว่า...
แม้ในกระบวนการที่ผิดพลาด
แต่การเรียนรู้ วิเคราะห์ พัฒนา
ทำให้ทุกอย่างเป็นกราฟที่ชันขึ้น
แกน x และแกน Y เป็นบวกมากขึ้นๆ (แม้จะยังอยู่ในฝั่งลบก็เหอะ)

ความหมายของการเรียนรู้

วันนี้อยู่ดีๆ ก็ตกลงไปในโหมดวุ่นวายใจอีกแล้ว
เนื่องจากหลายสาเหตุ
ประสานงานผิด...
หงุดหงิดเรื่องคน...
กังวลเรื่องงาน...
อะไรก็ว่ากันไป

แล้วก็ทำให้เรียนรู้ว่า
การแยกประสาทของตัวเอง ให้แยกงาน แยกปัญหาออกจากกัน
...
มันไม่ได้ง่ายนะคะ


เอ่อ......
มีงานใหม่ให้เรียนรู้อีกแล้ว

เดี๋ยวมาอัพเดทต่อวันหน้าค่ะ

14.4.51

... กินมันเข้าปายยยยย ...

ณ หนองคาย กับแม่ ยาย และญาติๆ ที่น่ารัก
โรคเดิมกลับมาอีกแล้ว

**************
โรคกินไม่หยุด

-_-"

ก็นานๆ จะได้กินอะไรแบบนี้สักที

ข้าวขาหมู (มื้อเช้า)

ปลาเผาจิ้มแจ่ว
ส้มตำ ไก่ทอด (มื้อสาย)

หอยขม ลูกชิ้นทอด (มื้อบ่าย)

ขนมปากหม้อ
ส้มตำ
ขนมปังสังขยา (มื้อเย็น)

ต้มยำปลาบึก
หมูทอด
สลัดปลาทอด
ผัดคะน้า (มื้อค่ำ)

นี่เป็นเมนูของหนึ่งวันสงกรานต์ที่ผ่านมา
(ยังไม่รวมขนม โค้ก กาแฟเย็น 2 แก้ว ชามะนาว 1 ถุง)


ปกติอยู่กรุงเทพ กินข้าววันละ 2 มื้อเอง

ไม่รู้จะทำยังไง
อาการกำเริบทุกทีเวลาไปต่างจังหวัด
ไม่เคยจะหิว (เพราะมีของกินอยู่ในกระเพาะตลอดเวลา)
แต่ก็กินได้ทุกครั้งที่มีอะไรใหม่ๆ
(ก็มันน่ากินซะขนาดนั้น)

************

เอาละสิ
ถึงเวลานอน เดือดร้อนทุกที
นอนอืดอยู่เกือบชั่วโมง

ย่อยไม่ทัน
อาหารที่เอาเข้าไป
ก็เลยไม่มีทางออก ทั้งบนและล่าง

ว่าแล้วว่าต้องเป็น

เจ็บท้องอย่างถึงที่สุด
ไม่อยากจะไปอ้วก

(ที่จริงหมี่เป็นคนตะกละนะเนี่ย
ไม่ค่อยมีใครเชื่อ
ทีนี้เชื่อรึยัง
5555)

ก็เลยขอพระเจ้าว่า
จะ (พยายาม) ไม่ตะกละอีกแล้ว
ขอให้คืนนี้ไม่ต้องอ้วกนะคะ

ขอบคุณพระเจ้า
หลังจากนั้นก็ไม่ปวดท้องแล้ว

...แต่ยังต้องนอนด้วยความท้องอืดต่อไป...

T_T

13.4.51

สุกสันวันสาด

อยากจะมาแนว happy new year ปีใหม่ไทยเหมือนกัน
แต่ว่ามันก็จะเชยไปหน่อย
(ไอ้คำขึ้นหัวข้อนี่ไม่เชยเลย?)

ตอนนี้กำลังเล่น internet ที่หนองคาย มาเยี่ยมคุณยายและน้องสาวสุดที่รัก
อากาศร้อนมาก สมกับการที่เป็นเวลาร้อนที่สุดของรอบปี -_-"
...กลางเดือนเมษายน...
(ที่ถ้าเป็นตอนเรียน ก็ปิดเทอมไปแว้ว)

สังเกตตัวเองในช่วงที่ผ่านมา
เป็น moment ที่ไม่ค่อยมี moment ในการเขียน blog
หรือสร้างความรื่นรมให้ชีวิตด้วยวิธีการต่างๆ ที่เคยทำ
เวลาอ่านหนังสือก็อ่านเร็วๆ กลัวจะเสียเวลา
จะดูหนังก็ไม่กล้า กลัวกลับดึกตื่นสาย
เพลงก็ไม่ได้ฟัง เพราะ mp4 ป่วย

สงสัยจะเครียดกับงาน

มะวานนั่งรถมาหนองคาย
ขึ้นรถยังไม่เท่าไหร่ ก็จะหลับอีกและ
เป็นโรคนิ่งแล้วก็หลับ (และถ้าขยับ ไม่กินก็พูดอะนะ)
คุณอาสะใภ้บอกว่า เนี่ยแหละ ทำงานหนัก
ใช้สมองเยอะ สมองต้องการออกซิเจน
แล้วสมองมันก็จะหาเรื่องพักได้ตลอดเวลา

อืม... ท่าจะจริง (หาวอีกแล้ว ตอน 9 โมงครึ่ง)

แต่เป็นการทำงานหนักที่ happy ดีไม่ใช่น้อยนะ
เห็นอะไรก้าวไปข้างหน้ามากขึ้น
แล้วก็เห็นอะไรที่ตามมามากขึ้นด้วย
(ทั้งเรื่องดีและไม่ดี)

สิ่งที่จะช่วยได้
...คงต้องช่วยสมองจัดระเบียบความคิดใหม่
คิดเป็นเวลา คิดให้คุ้มค่า
จะได้ไม่เหนื่อยเกินไปนะ

สงกรานต์นี้ ใครที่ทำงานหนักมานาน
ขอให้ได้พักผ่อนอย่างเต็มที่นะคะ

นอนให้พอ
กินให้พอ
สนุกให้พอ

(ตอนนี้แก่แล้ว ไม่เล่นน้ำแล้ว
ขอพักผ่อนด้วยการนอน, กิน และชิวนะจ๊ะ)

สุกสันวันสาดความเหนื่อยให้ไปห่างๆค่ะ

10.4.51

-- ผู้ปกครอง --

ได้อ่านเรื่องราวของพระราชา 2 องค์
ที่ปกครองในราชอาณาจักรเดียวกัน
แต่ต่างยุคสมัย

พระราชาองค์ที่มีจิตใจสูงส่ง รักประชาชน และดำเนินในทางที่ถูกต้อง
ก็มีอิทธิพลต่อคนทั้งประเทศ
ทำลายล้างสิ่งชั่วร้ายจนหมดเมือง ทำให้คนหันกลับมาอยู่ในความดีงาม

พระราชาอีกองค์หนึ่ง ทำตัวจมอยู่กับความเลวร้าย
ปล่อยปละละเลยประชาชน ให้หลงงมงายอยู่กับอะไรก็ไม่รู้
คนที่ดีในบ้านเมืองก็ท้อถอยใจ

ก็ได้เรียนรู้ว่า
ยิ่งสูง ยิ่งมีผลต่อคนอื่น
ยิ่งต้องมีความรับผิดชอบต่อการกระทำและความคิดของตน

เป็นเรื่องน่าอัศจรรย์
ที่คนคนหนึ่ง จะทำให้คนทั้งเมืองกลับตัวกลับใจมาทำสิ่งที่ถูกต้องได้
และคนเพียงหนึ่งคน ก็สามารถทำให้คนทั้งเมือง ดำเนินชีวิตอยู่กับความไม่ถูกต้องได้

และเป็นเรื่องที่ต้องระวัง เพราะชีวิตเล็กน้อยของเรา
มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงกระบวนการดำเนินไปของชีวิตคนอื่นได้

ใจกระทบใจ
ชีวิตกระทบชีวิต

sensitive นะเนี่ย

"บ้านเมืองน่าอยู่ปลอดภัย
ร่วมใจเลือกคนดีเข้าในสภา"
จำไว้ จำไว้ มีผล

Creative House

อยากให้รู้ว่ายังไม่ได้หายไปไหน
แต่ไม่รู้จะมาอัพตอนไหน
T_T


แล้วเจอกัน

4.4.51

04-04-08

ครบ 4 ปี
ก็เลยมานั่งเขียนบล๊อกนี้ ด้วยน้ำตาไหล (ง่วง)
4 ปีผ่านมา กับอีกหลายปีต่อๆ ไป
จะเรียนรู้คำว่า "สดใหม่" ในทุกวัน

บางช่วงปี ดูเป็นเวลายาวนาน
บางปี สถานการณ์ก็ดูเร่งกระชั้น
แต่ 1 ปีของ Gsus7 ที่ผ่านมาด้วยกัน
เป็นปีที่ ชีวิตของฉัน...
... ก้าวกระโดดอย่างมั่นคง


วันเกิดครบรอบ 4 ปี ของเรา
4 ปีทีรู้จักพระเจ้ามากขึ้นทุกปี
วันที่ 4 เมษายน 2004 (04-04-04) เหมือนเป็นวันเกิดใหม่
มีชีวิตแบบใหม่ๆ
มองโลกแบบใหม่ๆ
มีกลุ่มเพื่อนกลุ่มใหม่ๆ
รู้จักความรักแบบใหม่

ขอบคุณพระเจ้าสำหรับตลอดปีที่ผ่านมาค่ะ
จะเป็นไปได้ยังไง
คิดแล้วคิดอีก ก็ตอบได้แค่ว่าไม่มีทาง
แต่พระเจ้าทำแล้ว พาเราผ่านมาแล้ว
สอนเราขนาดนี้แล้ว
ไม่รู้ว่าเป็นไปได้ยังไง
แต่ก็เป็นไปแล้ว

ขอบคุณพระเจ้าค่ะ

30.3.51

-- ล้ม --

ถึงขั้นถลอกปอกเปิก ทั้ง 2 เข่า และ 2 แขน
หลังจากที่ไม่ได้ล้มจับกบแบบถึงไหนถึงกันขนาดนี้มาหลายปีเหลือเกิน

เมื่อวันเสาร์ ได้ไปดูหนังของรุ่นพี่นิเทศจุฬา
หนังรักวัยรุ่น ชวนอมยิ้ม
...ปิดเทอมใหญ่ หัวใจว้าวุ่น...
ดูแล้ว หัวใจว้าวุ่นเล็กๆ >_<
แอบคิดถึงความรู้สึกน่ารักๆ ในสมัยวัยเยาว์ขึ้นมาซะอย่างนั้น

เพลงที่ใช้ในเรื่อง ก็เป็นเพลงที่เคยอิน
บทของเรื่องบางตอน ก็ได้แรงบันดาลใจมาจากเรื่องจริงของเพื่อนในรุ่น
แถมพระเอกนางเอกคู่นึงในนั้น ก็เป็นเพื่อนรุ่นเดียวกับรุ่นน้องอีกตังหาก
เพื่อนรุ่นพี่รุ่นน้อง โผล่หน้ากันมาตลอดเรื่อง
คิดถึงจริงๆ เลยนะเนี่ย

กำลังเดินกลับบ้านด้วยอารมณ์แบบอินๆ อยู่ดีๆ
สองแถวที่กลับบ้านได้ก็วิ่งมา 1 คัน (ไกลๆ)
ไอ้เราก็ดีใจ จากหน้าห้าง รีบก้าวขาจะวิ่งไป
ที่ไหนได้ มันเป็นขั้นบันไดนี่!

ก็เลยหกล้มถากพื้นไปในระยะ 1 เมตร
น้ำตาแทบไหล เจ็บก็เจ็บ และท่าล้มก็ไม่มีความสวยงามใดๆ เหลืออยู่เลย

น้องชายที่ไปดูหนังด้วยกัน ก็ล้ออย่างเมามัน (ล้อจนถึงวันนี้)
แสบมาก อย่าให้มีมั่งแล้วกันเหอะ

คืนมะวาน ไปนั่งรอซื้อส้มตำกับน้องชายตัวแสบ
เขาก็พูดออกมาประมาณว่า
'นี่ มีคำคม ถ้ามัวแต่มองเป้าหมายไกลๆ ไม่ยอมมองทางเดินข้างหน้า
ก็ทำให้ล้มได้ คมไหมๆ'
5555

ก็จริงของมันอะนะ
ตัวแค่นี้ ทำมาเป็นสอน

หนังเรื่องที่ว่า ทำให้กลับไปนึกถึงวันเวลาของความเป็นวัยรุ่นอีกครั้ง
เหมือนทุกย่างก้าวที่ผ่านมา ก็จะมีล้มบ้าง มีกระโดดบ้าง

มุมมองความรักตอนนั้น ก็ต่างจากมุมมอง ณ เวลานี้อย่างสิ้นเชิง

ถ้าหากมองเห็นเป้าหมายในวันนี้ แล้วใส่ใจกับย่างเท้าในวันนั้นมากขึ้น
อะไรๆ ก็คงแตกต่างไปเยอะเหมือนกัน

แต่ก็อย่างว่า
ถ้าวันหนึ่งต้องล้มลง ได้ลองเจ็บสักครั้ง ต่อไปคงระวัง ^_^
ทุกเรื่องราวที่เข้ามามีความหมาย และทุกคืนวันที่ผ่าน...
มันทำให้ฉันได้พบกับเวลาที่ฉัน...เฝ้ารออยู่

นี่ โฆษณาเพลงอัลบั้ม Eve & the Adams ซะเลย

27.3.51

--- เต็มที่!! ---

...เป็นสัจธรรมอย่างแท้จริง...
เมื่อเวลาผ่านไป เวลาและความพยายามในการทุ่มเทให้กับ blog ก็มีน้อยลงเรื่อยๆ

ความถี่ของเดือนแรก 2 วันครั้ง กลายมาเป็น...
อาทิตย์ละครั้ง

ถ้าถึงขั้น 2 อาทิตย์ครั้ง
ถือว่าความพยายามและความตั้งใจ อยู่ในช่วง down อย่างถึงขีดสุด
ขอบคุณพระเจ้าที่เดือนมีนาคม ยังรักษาค่าเฉลี่ยอาทิตยละครั้งไว้ได้อยู่

... วันนี้สำนึกได้หนึ่งอย่าง ...
ชีวิตของมนุษย์ที่เหลือเวลาน้อยลงเรื่อยๆ ในแต่ละวัน
กับเป้าหมายที่ใหญ่ขึ้นและทางเดินที่ตื่นเต้นขึ้นเรื่อยๆ ในแต่ละช่วงเวลา

สิ่งที่จะทำให้วันสุดท้ายของชีวิต จบลงด้วยความภูมิใจ
(โดยเป้าหมายจะสำเร็จหรือไม่ก็ตาม)
ก็คือการเต็มที่ในทุกเวลา

นอนก็นอนอย่างเต็มที่ แบ่งใจไปกังวลเรื่องงานก็นอนหลับไม่สนิท
ทำงานก็ทำงานอย่างเต็มที่ ไปคิดเรื่องอื่นก็เสียเวลาทำงาน
กินก็กินอย่างเต็มที่
เที่ยวก็เที่ยวอย่างเต็มที่
ใช้เวลากับครอบครัว ก็ดูแลกันอย่างเต็มที่

แล้วจะไม่เสียดาย
ลองดูสิคะ

^_^

18.3.51

รอบตัว เรื่องราว โลก 2 ใบ ความสุข

เปิดหน้า blog มาดูแล้วตกใจ
เดือนมีนาคมผ่านไปครึ่งเดือนแล้ว
แต่เพิ่งจะอัพ blog ไป 3 ครั้งเท่านั้น

ครั้งล่าสุดของเดือนนี้คือวันที่ 10
และนี่ก็ผ่านไป 9 วัน
ทั้งที่เรื่องราว ก็มีมาทุกวัน
ไม่ซ้ำกันสักวัน
และน่าตื่นเต้นทุกวันด้วย
แต่ไม่ยอมมาอัพเดท น่าเสียดายจริงๆ

วันศุกร์ที่ผ่านมา อีฟและ the Adams ขึ้นคอนเสิร์ตครั้งแรก
กับเพลง 5 เพลง และความสนุกสนานมันหยด
ในสายตาของคนฟังดนตรีไม่ค่อยเป็น
และในสายตาคนที่เห็นวงนี้เล่นแต่ในห้องซ้อม
พอขึ้นเวทีจริง ถึงจะได้เห็นพลังของนักดนตรีเหล่านี้
มีแต่รอยยิ้มและความสุขกับเสียงดนตรีของตัวเอง

เท่จริงๆ จุดขายของวงนี้
วงนี้นิยมเครื่องดื่มบำรุงสุขภาพ
เช่น นม เป็นต้น

เห็นแล้วมีความสุข ปลาบปลื้ม
(ใช้คำได้เว่อร์ดีไหม)

วันเสาร์ อยู่บ้าน นั่งหน้าคอมทั้งวัน เพื่อเตรียมเอกสารเสนอผู้ใหญ่
ไม่ใช่ง่ายๆ คิดแล้วคิดอีก ทำแล้วทำอีก อ่านแล้วอ่านอีก
ปรากฏว่า "ช้าไป"
ไม่รีบทำให้เสร็จ เพื่อส่งเมลให้ผู้ใหญ่อ่านก่อนได้

วันอาทิตย์ ไปโบสถ์เสร็จ
ประชุมงานต่อ
หาที่ปริ๊นสีไม่ได้
ไปบ้านยายที่จรัญสนิทวงศ์ เพื่อปริ๊นงาน (ใครเคยไป จะรู้ว่าไกลไม่ใช่เล่น)
แต่เครื่องปริ๊นก็แอบป่วย ปริ๊นไม่ชัด

แต่เนื่องจากว่า วันอาทิตย์ ได้รับกำลังจากการนมัสการอย่างเต็มที่
เลยไม่มีอะไรที่น่าหงุดหงิดใจ


วันนี้หลายๆ คนในบริษัท ก็ออกเดินทางไปทำภารกิจที่ต่างจังหวัด
เพื่อถ่ายมิวสิควีดีโอ เพลง IF ของอีฟ

น้องสาวกำลังจะไปยุโรป เรียนต่อที่อังกฤษอีกไม่เกี่ดือน

ปุ๋ย เพื่อนสนิทจากนิเทศจุฬา กลับมาจากอังกฤษแล้ว
นัดเพื่อนในกลุ่ม กินข้าวพรุ่งนี้ ก่อนดูหนังเรื่อง ว้าวุ่น กับเด็กนิเทศทั้งคณะ
แต่เราไปไม่ได้

ขณะที่โปรเจ็คมากมายในบริษัทกำลังวิ่งไปข้างหน้าเรื่อยๆ โดยมีเราเป็นทีมงานในทุกโปรเจ็ค
โลกรอบตัวของเรา ก็หมุนไปตามเรื่องราวของมัน เวลาที่เป็นมาเป็นไป
เหมือนเป็นโลกคู่ขนาน
แต่ก็เหมือนเป็นโลกเดียวกัน
เหมือนไม่รับรู้และไม่มีส่วนร่วมกับโลกภายนอก
แต่ก็เห็นความเคลื่อนไหวที่รวดเร็วของมันอยู่ตลอด

ทำยังไงน้า
ให้โลก 2 ใบนี้เป็นโลกเดียวกัน

ทำยังไงน้า
ให้ความรู้สึกแตกต่างแบบนี้มันหายไป

ทั้งนี้ทั้งนั้น
ในโลกใบนี้ ก็มีความสุขและปลาบปลื้ม อยู่มากแล้วล่ะนะ
^_^

10.3.51

ผิด T_T

ปรากฏว่า มีคนมาทักจริงๆ ด้วย เรื่องความป่วยของภาษาอังกฤษของเรา
เสีย self ไปพอสมควร

(แต่คนที่มาเตือนไม่ต้องเสียใจนะคะ น้อมรับไว้ด้วยความขอบคุณเสมอ)

ถ้าไม่นับเรื่องใช้ภาษาอังกฤษผิด
แต่ละวัน แต่ละวัน เราทำอะไรผิดไปหลายต่อหลายอย่างจริงๆ
ผิดเวลา
ผิดกาละเทศะ
ผิดวิธีการ
ผิดถ้อยคำ
ผิดใจด้วย (ผิดใจนี่เป็นผลมาจากความผิดในบางครั้ง)

บางครั้งทำอะไรไม่ผิด แต่ก็ใจผิด
มีผลเหมือนกันนะนั่น

เคยคิดอยู่ช่วงหนึ่งว่า
ทำไมมาเชื่อพระเจ้าแล้วถึงไม่อยากทำผิด
หรือแม้ว่าทำผิด ก็ยินดีจะยอมรับผิด และแก้ไข

ความผิดทำให้เรารู้สึกโทษตัวเอง เป็น loser
ความผิดทำให้เรากลัวคนอื่นรังเกียจและไม่ยอมรับ
แต่เรารู้ว่า ในพระเจ้า แม้จะผิดแค่ไหน พระเจ้าก็เข้าใจและยอมรับ
รวมไปถึงพี่น้องรอบข้างเราด้วย
เราก็เลยกล้าที่จะรับผิดกับคนอื่น ยอมรับความรู้สึกแย่ๆ ของตัวเอง
เพื่อเปลี่ยนแปลงให้ในแต่ละวัน เราผิดได้น้อยกว่านี้

... ที่จริงคนเรา ถ้ารักกัน ไม่ว่าจะผิดแค่ไหนก็รัก ใช่ไหมล่ะ ...
แต่รักมาก ก็ไม่ได้หมายความว่า จะยอมให้ทำผิดอยู่เรื่อยไป
ยอมที่จะไม่ตักเตือน หรือทำโทษเพื่อให้เปลี่ยนแปลง
(กลัวคนที่เรารัก จะเกิดความรู้สึกเป็น loser)

ถ้าเวลาทำผิดแล้วมันรู้สึกไม่ดีน่ะ
ก็อย่าพยายามตั้งใจทำผิดอีกเลยนะ
จำไว้...จำไว้

(แต่ไอ้ที่ไม่ตั้งใจ ก็ต้องให้อภัยและตักเตือนกันไปนะคร้าบบบ)

6.3.51

I have to speak English -_-"

With 3 Singaporian (right spelling?)
Their name is Casy, Julia and Yoke Shing.

And P'Noi who is a very friendly girl.

เป็น 2 วันที่ได้ใช้พลังมากมายเหลือเกิน (อีกแล้ว)
พูดภาษาอังกฤษ และประชุม คิดๆๆๆ จนมึน

เป็นความ Amazing อย่างถึงที่สุด
ได้คุยกับคนที่ไม่เคยคิดว่าชีวิตนี้จะได้คุย

ได้คิดถึงโปรเจ็คยักษ์ใหญ่
ที่ไม่เคยคิดว่าชีวิตนี้จะได้แตะ
เป็นความฝัน ที่กำลังจะไม่ได้เป็นแค่ความฝัน

เพิ่งจะรู้ว่าภาษาอังกฤษเรา พอจะใช้การได้กับเขาเหมือนกัน
ผิดๆ ถูกๆ ก็พูดไปอย่างไร้แกรมม่า
แต่ว่าก็สื่อสารรู้เรื่อง

Casy ร้องเพลงเพราะมาก มาอัดเสียงเพลงอัลบั้มนมัสการภาษาอังกฤษ
ฟังแล้วน้ำตาจะไหล
เพราะเกินไป

ตอนนี้แลก Mail กันแล้วเรียบร้อย
ขอบคุณพระเจ้า


ได้เวลาก้าวไปข้างหน้าอย่างเต็มที่ สุดกำลัง
บางสิ่งบางเรื่อง ที่เป็นเหมือนเรื่องแทงใจ
(สะกิดมากกว่า ใช้คำว่าแทงจะ hardcore ไปนะ)
ต้องรีบสลัดทิ้งไปไกลๆ ให้เร็วที่สุด

need your help na ka
my dear Lord,
Jesus