22.6.55

ดราม่ากะจุดยืน


ไม่น่าเชื่อเลยว่า ละครหนุ่มบ้านไร่หวานใจไฮโซอะไรนี่จะทำเราน้ำตาเล็ดได้
ช่วงนี้ไม่รู้เป็นอะไร เจอแต่เรื่องดราม่าของคนอื่น
แม่งการเสพเฟสบุ๊คและการดูละครหลังข่าวนี่ กระตุ้นต่อมเซนส์ซิทีฟมากกว่าที่คิดเยอะนะ 

วิเคราะห์ตัวเองแล้ว หมี่เป็นคนไม่มีจุดยืนในเรื่องที่่ตัวเองไม่ได้เกี่ยวข้อง
คิอมาถามว่ากูคิดยังไง เลือกอะไรนี่ ตอบไม่ได้ เป็นนกหลายหัวมาก
หลายๆ อย่างก็ทำไปโดยที่ไม่ได้เกิดจากความตั้งมั่นหรืออุดมการณ์อะไรในจิตใจ
คงอารมณ์ชนชั้นกลางทั่วไป
ไหลตามกระแสไปเรื่อยๆ และเรื่อยๆ 
คิดบ้าง อินบ้างในบางเรื่อง และก็ไม่สนใจเหี้ยไรเลยในบางเรื่อง

ดูไร้สาระไปวันๆ
แต่บางทีก็อยากจะรู้จริงๆ ว่าคนเราแม่งต้องมีจุดยืนอะไรในชีวิตด้วยเหรอ
ไม่มีแล้วเป็นอะไรมั้ย

เพราะเท่าที่ดูจากชีวิตของตัวเองแล้ว
แม้จะไม่รู้ว่ามีอุดมการณ์อะไร แต่ทุกการกระทำก็มีเหตุผลที่เป็น "กู" เสมอ
คือกูเชื่อแบบนั้นอะแหละ มันเลยทำแบบนั้น ณ ตอนนั้น 
ไม่ได้มีอุดมการณ์อะไร ไม่ได้มีจุดยืน 
แต่ก็รู้สึกว่าชีวิตไม่ได้มีปัญหาอะไรนะเว้ย

เรื่องนึงที่หมี่เชื่อนะ หมี่คิดว่า ชีวิตของคนเรามันน่าจะเป็นไปตามทางที่ตัวเองเชื่อ
คือบางทีแม่งตัวมันเองก็ไม่รู้หรอกว่าจริงๆ แล้วเชื่อหรือยึดมั่นในวิถีทางแบบไหน
แต่สิ่งเหล่านั้นบอกได้ด้วยชีวิตที่เห็นนั่นแหละ
คนที่ไม่ได้ทำในสิ่งที่ตัวเองเชื่อ ก็แปลว่าไม่ได้เชื่ออย่างนั้นรึเปล่าวะ
ปากพูดยังไงก็ได้ แต่ใจกับความรู้สึกมันส่งผลออกมามากกว่าอยู่แล้วนะ

ทีนี้ปัญหามันเกิด แล้วคำถามก็เกิด 
คนที่เชื่อไม่เหมือนกัน หรือคิดว่าเรากับเขาเชื่อไม่เหมือนกัน
มันควรจะอยู่ด้วยกันได้มั้ย เดินร่วมทางกันได้มั้ย 

ข้อหนึ่ง ตามทฤษฎีของหมี่ ถ้า ชีวิตมันวิ่งมาป๊ะ ปะทะกันแล้ว มันแปลว่าต้องมีอะไรที่ร่วมกันมาอยู่บ้าง
เรื่องที่เชื่อไม่เหมือนกันก็มี แต่เรื่องที่เชื่อเหมือนกันก็น่าจะมี เอายังไงต่อ?

ข้อสอง แน่ใจแล้วเหรอ ว่าอุดมการณ์และจุดยืนของเราที่คิดว่าอะไรใช่หรือไม่ใช่ มันถูกต้องจริง
สำคัญจริง มันจะเปลี่ยนไปอีกมั้ยในวันข้างหน้า ถ้าหลายๆ อย่างพังไปเพราะเรื่องพวกนี้แล้ววันนึงเกิดค้นพบว่าไม่ใช่ว่ะ จะหน้าแตกจะเสียใจมั้ยวะ?

ข้อสาม รู้ได้ยังไงว่าจริงๆ แล้วไอ้คนที่จุดยืนไม่เหมือนเรา มันไม่เหมือนจริงรึเปล่า ไม่แน่ว่ามันอาจจะไม่รู้ตัวก็ได้นะว่ามันเชื่ออะไรอยู่ ทุกอย่างแม่งอาจจะเป็นการเข้าใจผิด แม้แต่เราเองก็อาจจะยังไม่ชัวร์ก็ได้ว่าอะไรคือจุดยืนของกูในเรื่องนั้นเรื่องนี้กันแน่วะ แล้วบางทีมันก็เป็นแค่จุดยืนในเรื่องเล็กๆ เรื่องนึงที่เข้ามาเกี่ยวข้องในชีวิต แล้วตัดสินกันไป ทะเลาะกันไป ลากมาเชื่อให้เหมือนกันไป แล้วไง? 

ข้อสี่ ไม่เห็นสนุกเลย เจอแต่คนที่คุยเรื่องเดียวกับตัวเอง สนับสนุนความเชื่อเดิมๆ พูดเรื่องอุดมการณ์ของตัวเองกันไปเรื่อยๆ ไม่ตื่นเต้นอะ ไม่สร้างสรรค์ ไม่เปิดโลก ยังกะลัทธิ โลกไม่กว้าง

คิดไปเรื่อย ตั้งคำถามไปเรื่อย แต่คิดอีกทีแล้วเรื่องพวกนี้มันไม่ใช่ประเด็นนะ  
การคุยกันด้วยคนละความเชื่อคนละจุดยืนไม่ใช่เรื่องเสียหายซะหน่อย
ถามก็ตอบกันไป ไม่เห็นด้วยก็หาเหตุผลมา ยอมรับรึเปล่าก็เรื่องของแต่ละคน
จะไปหงุดหงิดหรือคับแค้นใจกับความแตกต่างอะไรพวกนี้ มันก็ช่วยอะไรไม่ได้เลยนะ
ใครจะยอมรับหรือไม่ ถ้าหากสิ่งที่เราเชื่อมันถูกต้อง เดี๋ยวชีวิตมันก็ส่งผลออกมาเอง
คนอื่นเห็นก็รู้เองว่าเรามีความสุขกับทางที่เราเดิน
แค่นี้ก็จบแล้ว ไม่เห็นยากเลย

ดราม่ากับละครอย่างมากก็น้ำตาไหล
แต่ดราม่าเรื่องอื่น เห็นแล้วมันปวดใจนะ 




11.6.55

ท่องทะลุเมฆ



     ขณะที่เรานั่งอยู่บนเครื่องบินแล้วก็ตื่นเต้นกับทะเลหมอกและช่วงเวลาแห่งการทะลุเมฆหมอกเพื่อแลนดิ้งลงสู่ลอสแองเจอลิส เราก็บังเกิดความคิดว่า ปกติ (แม่ง) ไม่ค่อยมีเรื่องอะไรจะเล่า ก็อยากจะเขียนบล็อกเขียนโน้ตซะเหลือเกิน แล้วการเดินทางครั้งนี้ที่ได้เจอกับความรู้สึกเจ๋งๆ หรือเรื่องประหลาดๆ ในชีวิตทั้งที่ ก็ต้องเขียนมันออกมาสิ (วะ)

     หลังจากที่รู้ข่าวว่าเราหาเรื่องเดินทางไปใช้ชีวิตหาประสบการณ์ที่ซานดิเอโก ประเทศสหรัฐอเมริกาจนได้ เพื่อนเราคนหนึ่งเอาเรื่องนี้ไปเล่าให้แฟนฟัง แฟนหนุ่มของชีกล่าวว่า “ผู้หญิงคนนี้ไม่เคยหยุดจริงๆ” 

      ฟังๆ แล้วรู้สึกว่านั่นเป็นสำเนียงที่ออกจะไม่ค่อยไว้วางใจในตัวเราสักเท่าไหร่ แต่ทบทวนเส้นทางชีวิตตัวเองแล้ว มันก็เป็นคำพูดที่ถูก (ต้องบอกว่าอธิบายได้เป๊ะมาก) ที่จริงนอกจากไม่หยุดแล้วยังเปลี่ยนที่เดินบ่อยซะด้วย เราเรียนจบมาแล้วประมาณ 7 ปี เปลี่ยนที่ทำงานมาแล้ว 6 แห่ง ย้ายที่อยู่จากกรุงเทพฯ ไปเชียงใหม่ (ด้วยความอยากล้วนๆ) ได้ 1 กับอีกไม่ถึงครึ่งปีดี นี่ก็ย้ายตัวเองมาอยู่ที่ซานดิเอโกอีกแล้ว

     ตามแผนที่วางไว้ ชีวิตในซานดิเอโกจะมีระยะเวลาประมาณ 1 ปีครึ่ง แต่ว่าถามไปถามมา ดูเหมือนว่าปีครึ่งจะไม่เพียงพอต่อการเรียน เที่ยว ทำงาน เก็บเกี่ยวประสบการณ์ในแบบที่ตั้งใจไว้ซะแล้วแฮะ แต่ก็นะ เราไม่รู้หรอกว่าวันข้างหน้าจะเกิดอะไรขึ้น เอาเป็นว่าเดินไปเรื่อยๆ จนกว่าจะไม่อยากเดินก็แล้วกัน

       อารัมภบทเยอะแล้ว ขอเริ่มต้นเรื่องทุกอย่างที่สนามบินสุวรรณภูมิ...
       เครื่องบินออกเดินทางเวลา 5 ทุ่ม 50 ญาติเราทุกคน ทั้งแม่ อา น้องสาว บอกให้เราเข้าเกทตั้งแต่ 4 ทุ่ม เพราะตม. ต่อคิวยาวมาก (ตามข่าวและความเชื่อของหลายๆ คน) แต่เรามีภารกิจต้องพบปะร่ำลากลุ่มเพื่อนสาวที่ลงเครื่องจากสมุยมาตอน 4 ทุ่มพอดิบพอดีก่อนที่จะไม่ได้เจอกันปีกว่า ตัดสินใจสักพักก็โทรหาเพื่อนสาวเพื่อจะร่ำลา เพื่อนสาวบอกว่า “โอ๊ย ตม. กลัวทำไม” เอาล่ะสิ กลัวที่ไหน ท้ากันอย่างนี้มีหรือจะยอม รอก็ได้ (ไม่กลัวแต่ยืนอยู่หน้าเกท ดูวี่แววตลอดเวลา)     สุดท้ายก็เลยได้กอดเพื่อนสาวก่อนขึ้นเครื่อง แล้ววิ่งเข้าเกทด้วยความตื่นเต้นมาก ปรากฏว่า... คนโหรงเหรง เจ้าหน้าที่เปิดเดินเครื่องตรวจอัตโนมัติ ใช้เวลาไม่ถึง 5 นาที... หึหึ ความนอยด์กับความจริงช่างต่างกันยิ่งนัก

       นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ได้เดินทางออกนอกประเทศที่ไกลกว่าเวียดนาม ครั้งแรกในชีวิตที่นั่งเครื่องบินนานกว่า 3 ชม.  ขอบคุณพระเจ้าที่สามารถจองไฟลท์ของการบินไทยได้ในราคาไม่แพงนัก (ใช่สิ รอต่อเครื่อง 7 ชั่วโมงนี่) และขอบคุณมากขึ้นไปอีกที่ได้นั่งตรงกลางแบบ 4 ที่นั่งโดยที่ไม่มีใครนั่งด้วยเลย ดีนะที่น้องสาวเราแนะนำไว้ก่อนว่า ถ้าเจอเบาะว่างยาวก็ขอนอนได้ เราเลยเหยียดตัวนอนโดยไม่ต้องอายใคร (ไม่งั้นอาจจะไม่กล้า) แต่เอาเข้าจริงก็หลับๆ ตื่นๆ กินๆ ไม่ได้นอนยาวเท่าไหร่ คิดว่าคงเป็นธรรมชาติของการนั่งเครื่อง

       การต่อไฟลท์ 7 ชั่วโมงที่นาริตะไม่ใช่เรื่องโหดร้ายเกินไปนัก เพราะสนามบินนาริตะมีอินเตอร์เน็ตไวไฟให้ใช้ฟรี มีโซนให้เดินเล่นหลายที่ หรูหราไฮโซกว่าไทยและแอลเอซะที แถมยังมีหลายตึก ลงมาจากเครื่องตึกหนึ่ง นั่งรถบัสไปเช็คอินตึกสอง นั่งรถรางไปขึ้นเครื่องอีกตึก ดีแล้วล่ะที่ไม่ได้ขอวีซ่าออกไปข้างนอกสนามบิน ดูซีรีย์ 3 ตอน อัพรูป เมาท์มอย เดินไปเดินมา กินอาหารหนึ่งมื้อ หมดเวลาพอดี

       เราพกเงินสดไปเป็นแสนบาทเลยทีเดียว แต่แลกเป็นดอลล่าร์ก็เหลือไม่กี่พัน เพื่อนเตือนแล้วว่ามันอันตราย ให้แลกไปเป็นเช็ค แต่แลกไม่ทัน ถ้าหายนี่ถึงขั้นสิ้นชีวิต ทีนี้ไปถึงญี่ปุ่น หาของกินต้องคิดราคาเป็นเยน 100 เยนเท่ากับ 39 บาท 31 บาทเท่ากับ 1 เหรียญ งงไม่รู้จะงงยังไง อาศัยจ่ายๆ ไป บอกจำนวนอะไรมากูเชื่อมึง  

       ตั้งใจว่าถึงญี่ปุ่นทั้งที่ ต้องลองกินซูซิของแท้ซะหน่อย ไม่น่าเชื่อว่าตัวเองจะกระแดะได้ถึงขั้นนี้ เพราะคิดกี่ทีก็รู้ว่าอาหารในสนามบินไม่อร่อยและแพง ซัดไป 1300 เยน จ่าย 17 เหรียญทอนมานิดหน่อย ได้ซูชิมาแปดชิ้น ซุปหนึ่งถ้วย เป็นซูชิมะเขือม่วงที่กินไม่เป็นแต่ต้องกินไปซะหนึ่งชิ้น ดีนะที่เป็นคนลิ้นจระเข้ เลยไม่ต้องพยายามมากเท่าไหร่ในการหลอกตัวเองว่าอร่อย   

     ต่อเครื่องจากนาริตะไปแอลเอด้วยสายการบิน American Airlines หรือ AA ที่หลายคนไม่เคยได้ยินชื่อ เกิดการเปรียบเทียบในสมองทันที มิน่าล่ะ การบินไทยถึงดังไปทั่วโลก แค่แอร์โฮสเตสกับสจ๊วตก็กินขาดแล้วอ่ะ ไหนจะความสะอาดสวยงามของห้องโดยสาร ภาพยนตร์ในจอส่วนตัว ความเป๊ะในการบริการ (เช่น การบินไทยต้องเอาแก้วใส่ถาดก่อน แล้วค่อยเอาถาดยื่นแก้วให้ผู้โดยสาร) เรียกได้ว่าการบินไทยชนะเลิศ แต่ที่น่าสลดใจที่สุดคือ AA มีคนนั่งเต็ม เราไม่สามารถเหยียดยาวอะไรได้เลย แม้จะไม่ใช่ความผิดของสายการบิน แต่ก็แอบเคืองอยู่เบาๆ  

     เคยได้ยินความยุ่งยากเข้มงวดของการเข้าประเทศสหรัฐอเมริกามาเหมือนกัน มาอินจัดเอาจริงๆ ก็ตอนกรอก I-94 นี่แหละ ท่านละเอียดยุบยิบมาก เอาของอะไรมาบ้าง เนื้อหมูเนื้อวัวมีมั้ย ไปเข้าฟาร์มมารึเปล่า มีของฝากคนอื่นหรือเอามาขายต่อมั้ย รวมกันเป็นเงินเท่าไหร่

       แอร์ของ AA แนะนำว่า ไม่ควรกรอกค่าของฝากเป็นจำนวนมากกว่า 200 เหรียญ เพราะจะถูกเรียกเก็บภาษีกันเลยทีเดียว เราก็เลยต้องมานั่งคำนวนว่ามีของฝากประมาณกี่บาท คิดเป็นเหรียญได้เท่าไหร่ จะไม่เขียนจำนวนเงินเลยก็กลัวพี่เค้ารื้อกระเป๋าเจอแล้วโดนข้อหาโกหกเจ้าหน้าที่ 

       สิ่งที่ตื่นตาตื่นใจที่สุดระหว่างการเดินทางบนเครื่องบินคือ ตอนที่เครื่องกำลังมุ่งหน้าลงสู่ลอสแองเจอลิส ยิ่งกว่าตอนเห็นภูเขาไฟฟูจิที่ญี่ปุ่นซะอีก คือระหว่างที่บินเข้าแผ่นดินของอเมริกา เราก็เห็นภูเขาสีเหลืองๆ เป็นแนวเยอะมากที่ไม่เหมือนวิวของไทย แอบคิดในใจว่า “God is the best designer” (บนเครื่องพูดแต่ภาษาอังกฤษน่ะค่ะ ขอโทษที) บินต่อไปสักพักก็เห็นทะเลหมอก (หรือเมฆธรรมดาก็ไม่รู้) เป็นพื้นที่กว้างมาก บินอยู่เหนือทะเลหมอกนานแล้วก็ยังไม่เห็นแผ่นดินโผล่มาเลย เราก็อิมเมจิ้นในหัวทันทีว่า เครื่องบินจะพุ่งลงผ่านหมอกมั้ยนะ แล้วเครื่องบินก็หันหัวลงพุ่งเข้าทะเลหมอกผืนนั้นจริงๆ เราคอยนาทีที่เครื่องบินพุ่งเข้าหมอกอย่างตั้งใจมาก เครื่องบินค่อยๆ ค่อยๆ ค่อยๆ ดิ่งลงไป (นั่งลุ้นอยู่นานมาก หลายสิบนาที ดิ่งไม่ถึงซะที) จนถึงหมอก ภาพที่คิดไว้ในหัวคือ เครื่องบินผ่านอะไรขาวๆ แล้วก็ทะลุออกมา เหมือนผ่านดินแดนแห่งความฝัน ชะแว้บ ที่ไหนได้ เครื่องบินใช้เวลาทะลุนานกว่าที่คิด เมฆ (คงไม่ใช่หมอกแล้วล่ะ ทึบขนาดนั้น) หนามาก หน้าต่างเครื่องบินสองฝั่งมีสีขาวทึบอยู่เป็นนาที สมองเราตื่นตัวมาก คิดนั่นนี่แบบว่า “เฮ้ย นักบินเค้าจะเห็นทางมั้ยเนี่ย เฮ้ย นี่อยู่ท่ามกลางก้อนเมฆมหึมาเลยนะเรา เฮ้ย โผล่ออกมาก็เห็นเมืองแล้วป่ะ” จนรู้สึกตัวว่าตัวเองเว่อร์มาก สักพักก็เห็นปีกเครื่องบินจางๆ โผล่มา ชัดขึ้นๆ แล้วก็เห็นเมืองลอสแองเจอลิสอยู่ข้างล่าง

       ทิวทัศน์เมืองแอลเอมองจากมุมบนช่างเก๋ไก๋ แปลนดูมีการจัดวางอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย ถนนหนทางดูง่าย ชัดเจน รถขับเลนส์ขวา บ้านเป็นบล๊อกๆ เรียงๆ กัน มีสนามหญ้าเล็กๆ กับที่จอดรถอยู่หน้าบ้าน เห็นจากด้านบนก็จินตนาการภาพบ้านในหนังที่เคยเห็น ที่นี่ไม่ใช่นิวยอร์กหรือเพลินจิต เลยแทบจะไม่มีตึกสูงๆ ให้เห็น  

      ความเยอะของตม.ในสนามบินแอลเอก็เป็นอีกหนึ่งเสียงลือเสียงเล่าอ้าง อีกทั้งประสบการณ์ตรงของเพื่อนเราบอกว่า ที่นี่คนเยอะมาก ต่อคิวตรวจเอกสารกันนานนับหลายชั่วโมง จะไปต่อเครื่องมีตกเครื่อง โดนถามคำถามเคี่ยวๆ ด้วย ตอบไม่ได้ตอบไม่ดีส่งกลับประเทศก็มี อะไรจะขนาดนั้น

     ปรากฏว่าเหมือนตม.ที่ไทยอีกเช่นกัน สิ่งที่คิด ไม่จำเป็นต้องเป็นอย่างที่คิด แม้ตม.แอลเอจะไม่ใช่เครื่องตรวจอัตโนมัติ แต่ก็ใช้เวลาน้อยกว่าที่คิดไว้ และไม่ได้เคี่ยวอะไรเลยแม้แต่น้อย คิดดูว่าต้องนั่งรอเพื่อนมารับชั่วโมงกว่า เพราะว่ามันเผื่อเวลาผ่านตม.ไว้ให้ด้วย ขอบคุณมาก

10.6.55

แรงบันดาลใจ



แน่นอนว่าชีวิตนั้นเป็นเรื่องราวของความทุกข์และความสุข
ทุกๆ ชีวิต มีทั้งช่วงเวลาที่ดีและเลวร้าย

แต่ช่วงชีวิตของเราเอง
โดยเฉพาะช่วงนี้ มีเรื่องที่ดีเกิดขึ้นมากมายหลายเรื่อง
จนยากที่เชื่อว่า คนเราเกิดมาเพื่อชดใช้กรรม

เรากำลังจะเดินทางไปสหรัฐอเมริกาในอีกไม่กี่วัน 
ทุกสิ่งเกิดขึ้นจากการช่วยเหลือและสนับสนุนจากคนมากมายเหลือเกิน 
แม้เราจะยังทำตัวเป็นเด็กไม่รู้จักโต ยังไม่หยุดซะที
แต่ก็ยังได้รับความเข้าใจเสมอ 
ไม่รู้จะขอบคุณยังไงได้หมดครบทุกคน

กลับมากรุงเทพประมาณ 20 วัน
นอกจากจะเตรียมตัวเดินทางแล้วก็ยังอยากจะ meeting กับเพื่อนๆ ให้เยอะที่สุด
ถึงแม้ว่าตอนอยู่เชียงใหม่ก็ไม่ค่อยจะได้เจออยู่แล้วก็เหอะ
แต่ถ้ามีอะไร จะกลับมาเมื่อไหร่ก็ได้ 

วันที่อยู่ไกล ถ้าหากมีอะไรเกิดขึ้น อย่างน้อยก็ได้เจอกันเมื่อไม่นานนัก   
ยังเห็นหน้าและอัพเดทเรื่องราวในชีวิตแบบไม่ล้าหลัง 
เวลานึกถึงภาพจำ ก็จะได้ยังเป็นคนเดียวกันอยู่

แต่หนึ่งเรื่องที่ดีที่สุดของเราคือ
เจอเพจ facebook ของพี่จิก ประภาส ชลศรานนท์
พี่จิกเป็นแรงบันดาลใจคนสำคัญ 
หนังสือของพี่จิกเป็นหนังสือที่ทำให้เราลาออกจากงานเพื่อไปทำในสิ่งที่อยากทำ
พูดง่ายๆ คือเป็นหนังสือเล่มแรกที่จุดประกายให้เราเดินตามความฝัน
หนังสือเล่มนั้นมีชื่อว่า "เชือกกล้วยมัดต้นกล้วย"
งานเขียนของพี่จิกไม่ได้กล่อมเกลาให้คนมองโลกในแง่ดี
ไม่ได้เป็นหนังสือสร้างความบันเทิงให้ผู้อ่าน
แต่เป็นหนังสือสอนวิธีคิดที่ทำให้มองโลกหลายมุม
และอยู่บนโลกร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุข 

จริงๆ แล้วพี่จิกน่าจะเป็นแรงบันดาลใจให้กับคนไทยหลายแสนคน
การที่เค้าเปิดเพจ อัพเดทสเตตัสเอง เขียนเรื่องลงในโ้น้ต และตอบคำถามแฟนเพจด้วยตนเองแบบนี้
ทำให้เรารู้สึกเหมือนเข้าใกล้พี่จิกได้อีกนิด
อยากพูดคุยก็สามารถทำได้ อยากอ่านเรื่องของพี่จิกก็อ่านได้
ได้อ่านความคิดใหม่ๆ ของพี่จิกทุกวัน
น่าดีใจมากๆ

ว่าแล้วก็ย้อนกลับมามองตัวเอง
ชีวิตที่ขึ้นๆ ลงๆ ไม่เคยอยู่กับที่ ไม่เคยมีความมั่นคง ไม่เคยคาดเดาอะไรได้ 
จะเป็นแรงบันดาลใจให้ใครเค้าได้บ้าง

ถ้าชีวิตจะมีอุดมการณ์อะไรสักอย่าง
ก็คงจะเป็นเรื่องนี้ละมั้ง
คือการใช้ชีวิตให้เป็นแรงบันดาลใจของคนอื่น
ไม่รู้เหมือนกันว่าต้องทำยังไง
คงไม่มีสูตร ไม่มีตำรา 

ก็หวังว่า การเป็นตัวของตัวเองและรักในเส้นทางของตัวเอง น่าจะเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี

ขอบคุณเพื่อนร่วมทางที่ดียอดเยี่ยมทุกคน 
ขอบคุณพระเจ้าผู้เป็นเป้าหมาย
และขอบคุณ Mark Zuckerberg สำหรับ facebook
ดีใจด้วยนะคะ ที่ได้เป็นฝั่งเป็นฝาซะที
5555

เชียงใหม่ ตรัง กระบี่ อเมริกา...



ไม่ได้คิดจะไปอาบผิวให้แทนเพื่อความฮอตในการใช้ชีวิตที่อเมริกาแต่อย่างใด 
แต่เนื่องจากมีการจองตั๋วโปรข้ามปี ไปพักผ่อนท่องทะเลกระบี่ (และตรัง) ยาวนานเป็นเวลา 6 วัน 5 คืน
แล้วน้ำทะเลกระบี่ก็ช่างสุดยอด
มันขาวใสเนียนมากจนต้องกระโดดลงเล่นน้ำมันซะทุกจุดที่ทัวร์พาแวะ
เที่ยวคุ้มมาก ตัวแสบและดำมาก

ไม่น่าเชื่อว่าตลอดการเดินทาง ไม่ว่าจะด้วยรถทัวร์ เครื่องบิน รถตู้ เรือ
เรื่องที่แว่บคิดขึ้นมาในหัวบ่อยๆ คือ ถ้าเกิดอุบัติเหตุอะไรสักอย่างขึ้นมา จะเป็นยังไงวะ
คงจะเจ็บน่าดู หรือไม่ก็ตายไปเลย
ที่ดิ้นรนทำวีซ่า หาข้อมูลและหายืมตังสำหรับไปอเมริกาถือว่าเป็นศูนย์
ชีวิตจบ การเดินทางทุกอย่างจบ

เป็นการเปลี่ยนแปลงทางความคิดที่เป็นผู้ใหญ่ขึ้นหรือเปล่า ไม่แน่ใจ
เพราะดูเหมือนว่า วัยผู้ใหญ่จะมีความสามารถมากกว่าในการกลัวตาย หรือกังวลกับสิ่งต่างๆ รวมถึงการจินตนาการเรื่องร้ายๆ
นี่ก็เลยเป็นเหตุให้มีเพลง "พื้นที่เล็กๆ" ของบอย ตรัย ไว้ฟังเตือนตัวเองบ่อยๆ 

สัปดาห์ที่ไปเที่ยวกระบี่ เป็นสัปดาห์ที่ประเทศไทยอากาศร้อนที่สุดในรอบปี
ขณะที่รู้สึกร้อนมากกับแดดในกระบี่ พยากรณ์อากาศบอกว่า ภาคใต้ 36-38 องศา
ภาคเหนืออุณหภูมิสูงถึง 42 องศา
ดีหรือไม่ดีก็ไม่รู้ ที่ไม่ได้อยู่ที่เชียงใหม่ แต่มาดำผุดดำว่ายกลางแดดที่กระบี่
กลับมาไม่กี่วัน ก็มีข่าวปลาตายเกลื่อนหาดที่กระบี่ เหตุจากแผ่นดินไหว 
เสี่ยงสึนามิด้วย ช่วงนั้น 

ระหว่างที่เล่นน้ำ (จะใช้คำว่า ว่ายน้ำ อาการก็ไม่ใกล้เคียงนัก) ทุกอย่างทุกเรื่องราวที่กังวล มันวิ่งหนีไปไหนไม่รู้
ความสวยงามและสนุกสนาน คือของจริงตรงหน้าใช่ไหม
ตอนนี้ หลังจากเตรียมเช็คลิสต์อะไรมากมายและจัดการหลายสิ่งในชีวิต 
ดูเหมือนจะลืมกลิ่นและสีของท้องฟ้ากับน้ำทะเลไปซะแล้ว
ความสำคัญของชีวิตอยู่ตรงไหนกันแน่

อีก 31 วัน จะออกเดินทางไปประเทศหนึ่งที่ไกลที่สุดที่เคยไป
อาจจะตายก่อนเดินทาง
อาจจะไปแล้วไม่ได้กลับมา
หวังว่าจะเจอคำตอบก่อนถึงเวลานั้น

บันทึกการเดินทาง ครั้งที่ 5



"สงครามโลกครั้งที่ 2
แม้ว่าดูเหมือนโหดร้าย
แต่สำหรับคนไทยอย่างพวกฉัน 
สงครามคราวนี้
เป็นความรัก ความผูกพัน
ระหว่างทหารญี่ปุ่นกับคนไทย
ที่ฉันไม่เคยลืมเลือน"

วิชาสังคมสอนประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับสงครามโลกไว้แบบไหน จำไม่ได้
แต่จำได้ว่าไม่มีเรื่องแบบนี้ ไม่มีอะไรที่เกี่ยวข้องกับความรู้สึกรัก ผูกพัน ที่ถ่ายทอดออกมาแบบนี้
ถ้อยคำนี้เป็นถ้อยคำของหญิงคนหนึ่งในอำเภอขุนยวม แม่ฮ่องสอน
เธอรักกับทหารญี่ปุ่นที่เข้ามาอยู่ในไทย ช่วงสงครามโลก 

การเดินทางจากเชียงใหม่เข้าแม่ฮ่องสอนทางใต้ทะลุขึ้นมาเหนือ และวกกลับอีกครั้งเป็นวงกลม
ทำให้เราได้ผ่านเกือบทุกอำเภอของแม่ฮ่องสอน
แล้วก็ได้รู้เรื่องอะไรแบบนี้ ที่ไม่เคยเรียน (หรือเรียนแล้วจำไม่ได้) ในวิชาสังคม

พี่ชายคนอำเภอขุนยวมเล่าว่า คนแม่ฮ่องสอน เป็นคนไต หรือที่เราเคยเรียนว่าไทยใหญ่
แล้วก็มีไทยน้อย ลงไปอยู่ภาคกลาง เกิดการรวมชาติ เรียกตัวเองว่าไทย เพราะไม่อยากจะมีที่มาจากไต   
เป็นประวัติศาสตร์จากคนเมือง ฟังสนุกกว่าครูเล่าเยอะเลย

ยังไม่นับเรื่องราวของวัดอีกนับร้อย สถานที่ท่องเที่ยวแปลกตาอีกหลายสิบ
ถ้ำแก้วโกมล ที่มีแค่ 3 ที่ในโลกก็อยู่ที่นี่ 
28 ปีที่ผ่านมา มัวแต่ไปเที่ยวไหนบ้างนะ

นอกจากคนญี่ปุ่น
แม่ฮ่องสอนมีหมู่บ้านรักไทย ตั้งอยู่เขตแดนเหนือสุดของประเทศ ติดกับพม่า
เป็นหมู่บ้านคนจีนยูนาน อยู่บ้านดิน กินอาหารยูนาน ชอบจิบชา   
ที่อำเภอแม่สะเรียงก็มีคนอินเดียมาตั้งรกรากด้วย แต่ก่อนใช้เงินรูปีกันอะไรแบบนี้
ยังไม่นับชนเผ่าอีกนับสิบเผ่า 

เป็นเรื่องราวที่มากมาย หลากหลาย และสนุกสนาน 

ทริปนี้ทำให้มีเป้าหมายอะไรบางอย่างอีกแล้ว
ไม่ใช่เป้าหมายอะไรใหญ่โต
เพียงแต่คิดว่า ทุกปี เราน่าจะมีเวลาทำอะไรอย่างนี้สักปีละครั้ง ครั้งละสัก 10 วัน หรือหนึ่งอาทิตย์ก็ยังดี
ท่องเที่ยวตามเส้นทางเป็นวงกลม (ในฤดูไม่ท่องเที่ยว) อาจจะเริ่มในจังหวัดหนึ่งและจบอีกที่หนึ่ง
สักปีละหนึ่งเส้นทาง น่าจะกำลังดี

โลกกว้าง ควรจะรู้จักมันในมุมแคบๆ มุมอื่นๆ ซะบ้าง