28.5.52

ปกป้อง...ตัวเอง

เวลาที่เรารักใคร เราก็มักจะอยากปกป้องเขา
เช่นเดียวกัน เมื่อเรารักตัวเรา เราก็จะปกป้องตัวเราให้พ้นจากอันตรา่ย

เรื่องมันมีอยู่ว่า...
บางทีเราก็ปกป้องตัวเองจากอันตรายทางความรู้สึกของเรามากเกินไป
ไม่ยอมให้เกิดอาการเจ็บปวดในจิตใจ ไม่ยอมให้ตัวเองเสียใจ

เคยได้ยินเรื่องเม่นหลายตัวที่เบียดกันเพื่อให้อุ่นในหน้าหนาวไหมคะ
เวลาที่เม่นมันเบียดกัน ขนแหลมๆ ของมันก็จะทิ่มแทงกันและกัน
แล้วก็จะเจ็บ...
ทั้งทำให้ตัวอื่นเจ็บ และทำให้ตัวมันเองเจ็บ
แต่ถ้าไม่เบียดกับเม่นตัวอื่น
ก็จะหนาวตาย...

ก็คงต้องเลือก ว่าอยู่ตัวเดียว และตายด้วยความหนาว
หรือเบียดเสียดกับตัวอื่นๆ ให้อุ่น แต่เต็มไปด้วยการทิ่มแทงที่เจ็บปวด

ขั้น advance ที่ทำให้ไม่ต้องหนาวตายและไม่ต้องเจ็บปวดนี่แหละ...
ที่เราเรียกว่าปกป้องตัวเอง

เคยเห็นบางคน ที่สร้างสัมพันธ์กับคนทุกคนได้อย่างดี ไม่มีปัญหา
เขาจะมีคำพูดที่ทำให้ทุกคนสบายใจ ไม่ว่ามันจะดีหรือไม่ดี จริงหรือไม่จริงอย่างไร
และเมื่อเขาเองไม่สบายใจ เขาก็จะมีคำพูดที่ทำให้ตนเองสบายใจ
ไม่ว่ามันจะกระทบกับใคร จริงไม่จริงอย่างไร

เนื่องจากว่าความสัมพันธ์ที่เขามีกับทุกคน เป็นความสัมพันธ์ที่ดี
และตัวเขาเองก็มีเหตุผลที่ดีให้กับตัวเองเสมอ
ทำให้คนรอบข้างก็ไม่อยากจะไปเตือนหรือพูดให้ขัดหู
เดี๋ยวจะเสียความสัมพันธ์

วิธีการนี้ก็ดี ปกป้องตัวเองจากอันตรายทางความรู้สึกได้ดี
.
.
.

มีบางคน เลือกที่จะอยู่ร่วมกับคนอื่นด้วยการไม่แคร์ในสิ่งที่คนอื่นทำ
เลือกที่จะไม่โดนกระทบความรู้สึก ด้วยการไม่ใส่ใจคนอื่น
ส่งผลให้ตัวเอง ทำในสิ่งที่ไม่แคร์คนอื่นด้วยเช่นกัน
เมื่อเกิดความผิดพลาดบางอย่าง
ก็จะไม่มีใครเข้าไปหาเขา เพราะความห่างที่เขาสร้างขึ้น

เป็นอีกหนึ่งวิธี ที่ช่วยสร้างกำแพงกั้นความเจ็บปวดในจิตใจ
.
.

การค้นพบว่าตัวเองล้มเหลว ผิดพลาด ไม่ดีพอที่คนอื่นจะรัก
ไม่ได้รับการยอมรับ ไม่ได้เป็นอย่างที่อยากเป็น...
มันเจ็บปวดอย่างนั้นเลยเหรอคะ

เม่นที่พองขนออก เพื่อป้องกันขนเม่นตัวอื่นมาทิ่มแทงตัวเอง
มันก็ทำให้เม่นตัวอื่นเจ็บมากขึ้นอีกนะ

และถ้าเม่นตัวอื่นเจ็บปวดมากเข้า ทนไม่ไหว
ขอถอยออกไป แล้วทิ้งมันไว้อยู่ตัวเดียว
วันหนึ่ง มันก็จะหนาวตายอยู่ดี...


ความสัมพันธ์ของมนุษย์เป็นเรื่องเลวร้ายอย่่างนั้นเลยเหรอคะ
หมี่ไม่เชื่อนะ...

ถ้าเราหยุดกลัวที่จะเจ็บ กล้าหาญที่จะรู้จักกัน
และเปลี่ยนแปลงกันและกันอย่างจริงใจ

ขนแหลมๆ ของเม่น น่าจะกลายมาเป็นขนนุ่มๆ ได้นะ
ทีนี้ยิ่งเบียดกันก็ยิ่งนุ่ม ยิ่งอบอุ่น

20.5.52

ฺBamee's Belief

1. พระเยซูเป็นพระเจ้า และเรารอดพ้นจากการพิพากษาได้โดยการเชื่อวางใจ รับการไถ่ของพระเยซู
2. การใช้ชีวิต คือ การมีความสุข
3. ชีวิตคือการค้นหา เรียนรู้ และค้นพบ
4. มนุษย์ต้องการเสรีภาพ เพื่อการเติบโต
5. กฏหลักของทุกการกระทำ คือทำให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้
6. ไม่มีอะไรในโลกนี้ที่เป็นของเรา นอกจากคนนั้นที่พระเจ้าสร้างมาเพื่อเรา
7. จิตวิญญาณของมนุษย์ คือสิ่งที่สำคัญที่สุดในโลก
8. เราไม่ได้เกิดมาเพื่อทุกคนบนโลก
9. เราไม่มีทางอยู่เพื่อสิ่งที่เราไม่ได้ให้ความสนใจ
10. สิ่งต่างๆ เกิดขึ้นจาก 3 ปัจจัย ได้แก่
สิ่งที่เราทำ
สิ่งที่คนอื่นทำ
และสิ่งเหนือธรรมชาติที่ควบคุมไม่ได้
11. ทุกคนมีที่และทางของตัวเอง และเขาเพียงแค่หาให้เจอ
(ปัจจัยอื่นๆ อาจทำให้ทุกอย่างยากขึ้น แต่ถ้าเขาพยายาม ก็จะหาที่นั้นเจอ)

ความเชื่อกำหนดสิ่งที่เราจะทำ
มาดูกันต่อไปค่ะ ชีวิตของหมี่
^^

19.5.52

สี...ฟ้า

ไม่เคยไปจังหวัดสงขลา
วันนี้เป็นครั้งแรกที่ได้นั่งรถ เลียบทะเลสงขลา
มองไปเห็นเกาะยอ ท้องฟ้า ดวงอาทิตย์สีส้มๆ
แอบเปรยๆ ด้วยความตื่นเต้นว่า "สวยจัง"

พี่โปรดิวเซอร์ถามพี่ดุลย์ คนสงขลาที่ขับรถมารับเราว่า
"ขับรถเลียบทะเลทุกวันแบบนี้ ก็ไม่ตื่นเต้นกับทะเลแล้วสิ"
ก็อาจจะจริงนะ
.
.
.
แต่หมี่ก็พูดกับพี่ๆ เขาว่า
"แต่ท้องฟ้ามันก็ไม่เคยเหมือนกันสักวันเลยนะพี่"

รูปร่างของเมฆก็ไม่้เคยเหมือนกัน
สีของท้องฟ้าก็เปลี่ยนไปตามสีของดวงอาทิตย์
แสงสะท้อนของทะเล
แสงสะท้อนจากก้อนเมฆ

น่าค้นหาและประทับใจทุกครั้งที่ได้มอง

วันนี้ได้ไปคุยกับน้องๆ ในสถานพินิจจังหวัดสงขลา
เป็นน้องกลุ่มหนึ่งที่ได้รับการคัดเลือกมาเข้าร่วมโครงการที่ชื่อว่าสะพานชีวิต
อยู่ในกระบวนการ Media Education
เพื่อฝึกคิด วิเคราะห์ ประเมิน และผลิตสื่อ

สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ
น้องคิดวิเคราะห์ได้แล้ว
แต่ประเด็นที่ถูกนำมาใช้ผลิตสื่อ
ยังคงเป็นประเด็นที่เดิมๆ เรื่องการทะเลาะวิวาท
เรื่องการสัก เรื่องที่วนเวียนอยู่ในที่ๆ ที่เขาอยู่

ความฝัน แรงบันดาลใจของเด็กแต่ละคนหายไปไหน
สิ่งที่ผู้ใหญ่มองเขา บอกเขา ด่าเขา สร้างเขาโดยไม่รู้ตัว
สร้างกรอบและกำแพงอะไรให้เขาบ้าง
ตัวตนและัความเป็นมนุษย์ที่ดีงาม ที่ถูกใส่ไว้ในทุกคน
มันหายไปไหน

แววตาของเขามันดูเศร้า แข็ง พร้อมที่จะกลัวและต่อต้าน
พร้อมที่หยุดฉายแสง...

ทำยังไงนะ
ให้แววตาของเราเป็นเหมือนท้องฟ้า
ที่มีสีสันและรูปแบบไม่เหมือนกันเลยในแต่ละวัน

บางวันที่เรามองท้องฟ้า ทำให้เรารู้สึกสดใส
วันที่ฟ้าหม่น ฝนกำลังจะตก เราก็รู้สึกกลัวบ้าง
และบางวัน สีของท้องฟ้าก็ทำให้เราเศร้า

แต่ไม่ว่าอย่างไร การมองท้องฟ้าทำให้เราฝัน
ทำให้เรารู้สึกว่า ตัวเราเล็กนิดเดียว
โลกนี้กว้างใหญ่ และมีอะไรให้ค้นหา
มองท้องฟ้าแล้วมีความสุข...

ทำยังไงให้ในแต่ละวัน เป็นวันที่นับได้ชีวิต
เมื่อมองเข้าไปในแววตาของตัวเอง
เป็นแววตาที่มีประกาย
ทุกๆ วันเต็มไปด้วยความรู้สึก
เต็มไปด้วยความทรงจำใหม่ที่ไม่เหมือนเดิม
ทำทุกสิ่งให้ตอบโจทย์ในหัวใจได้
และใช้ทุกสิ่งที่มีอย่างคุ้มค่่า มีคุณค่า

กำลังตามหาทั่วฟ้า
ที่นั้น วันเวลานั้น
ที่ทำให้ได้แววตาแบบท้องฟ้า

พอไปถึงแล้วจะได้ไปช่วยคนแบบน้องๆ บ้านพินิจ
ให้ได้แววตาแบบท้องฟ้ากลับคืนมาด้วยกัน...

โอย... เจ็บหัวใจ
เศร้าจัง

12.5.52

New World: โลกแบน

เมือวันก่อนได้อ่านหนังสือ The World is Flat
"ใครบอกว่าโลกกลม"

ไม่ใช่หนังสือต่อต้านการทรงสร้างของพระเจ้าหรือล้มล้างข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ใดๆ
แต่หนังสือเล่มนี้อัพเดทให้เราฟัง ว่าเทคโนโลยีและความก้าวหน้าของโลกนั้นไปถึงไหนแล้ว
กำแพงชนชั้นวรรณะ การเมือง ศาสนา ความห่างไกลของพื้นที่ ถูกทำลายไปมากมายเหลือเกิน
โลกถูกต่อเชื่อมกันอย่างทั่วถึง

ปัจจุบันมีการขยายและกระจายงานจากประเทศชั้นนำ ไปสู่ประเทศที่กำลังพัฒนา
มีการร่วมงานกันของบริษัทเล็กใหญ่ สร้างเป็นระบบเครือข่าย หากำไรจากทั่วโลก
เด็กอายุไม่เกิน 20 ปี สามารถสร้างพลังแห่งความคิดเห็นที่กระทบไปยังผู้นำสูงสุดของใดๆ ในโลกได้
ระบบถูกสร้างขึ้น เพื่อ support องค์กรหลายๆ องค์กร ให้ได้ประโยชน์สูงสุดพร้อมๆ กัน จากธุรกิจเดียวกัน

มีอะไรที่ไม่น่าเป็นไปได้เกิดขึ้นบนโลกกลมๆ ใบนี้อย่างต่อเนื่อง

สิ่งที่หมี่ค้นพบและเชื่อก็คือว่า...
มนุษย์กำลังใช้สติปัญญาของตัวเองอย่างมีคุณภาพและกว้างมากขึ้น
กรอบต่างๆ ที่เคยมี ถูกปรับ เปลี่ยน ขยายออกไปจนแทบไม่มีขอบเขต

และตัวแปรสำคัญ คือคนอื่น องค์กรอื่น
ที่เมื่อนำมาวางอย่างถูกตำแหน่งในงานธุรกิจของเรา
จะเกิดประโยชน์ได้อย่างมหาศาล ต่อเรา และต่อเขา
ก็จะทำให้เกิดประโยชน์ต่อชุมชนได้ในมุมมองที่ไม่น่าเชื่อ

เป็นปรากฏการณ์แบบ Win Win คือได้ประโยชน์ทุกฝ่าย
ถามว่าดีไหม "ดี"
แต่ถามว่ายากไหม ก็ตอบว่า "ยาก"

ขณะที่โลกกำลังหมุนไปเรื่อยๆ
ความแบนของมัน ก็ทำให้คนต่างก็ต้องการจะเสนอความคิดเห็นของตนเองให้มีผลต่อสังคม
เรียกร้องพื้นที่ เรียกร้องประโยชน์และสิทธิ
บริษัทและองค์กรต่างๆ ต่างก็ต้องการการขับเคลื่อนที่มากขึ้น ผลกำไรที่มากขึ้น
ชื่อเสียง การมีอิทธิพลต่อสังคม

สำหรับคนที่อยู่ในโลกเดิมๆ คนเหล่านี้ดูจะก้าวร้าวและใช้เสรีภาพเกินขอบเขต
บริษัทต่างๆ ดูจะเริ่มหาประโยชน์จนไม่สนใจความเป็น "มนุษย์" อีกต่อไป
(อันนี้ลองวัดความรู้สึกของคนในโลกเก่าอย่างประเทศไทย กับบริษัทแนวใหม่ที่ชื่อว่า Amway)

จุดเสี่ยงของคนและบริษัทในโลกใหม่ คือ คุณไม่สามารถที่จะไม่มีความมุ่งมั่นแนวแน่
คมชัด ฉลาดเฉลียว และความเป็นตัวจริงของคุณที่อยู่เพื่อคนอื่น
การอยู่เพื่อคนอื่นสร้างความกล้าหาญ...
เพราะไม่ต้องปกป้องตัวเองหรือผลประโยชน์ของตัวเองเป็นอันดับหนึ่ง
ความฉลาดเฉลียวและคมชัด ทำให้คุณรู้จักสิ่งที่คุณจะทำ
จุดเด่นขององค์กรที่คุณจะร่วมงานด้วย คนที่คุณจะสัมพันธ์
รวมไปถึงเนื้อหาที่คุณจะสื่อสาร
ความมุ่งมั่นแน่วแน่ ทำให้คุณไม่หันหลังกลับไปจากทางใหม่ที่คุณกำลังฝ่าดงเดินไป จนกว่าจะถึงเป้าหมาย

จุดเสี่ยงของคนและบริษัทในโลกเก่า คือ ถ้าคุณไม่เปิดใจยอมรับกรอบที่คุณไม่เคยเชื่อ และไม่ค้นหา ไม่เปิดใจเรียนรู้และยอมรับตัวตนของคนและความเป็นไปของโลกอย่างที่มันเป็นจริงๆ คุณจะเป็นผู้แพ้
ต้องอาศัยความใจกว้างเป็นอย่างมากทีเดียว ที่จะรับฟังคำวิจารณ์ในเรื่องที่เราเป็นจากคนอื่นที่เราไม่ได้รู้จัก
แต่มันก็เป็นการดีทีเดียวที่จะช่วยให้เราได้พัฒนา
และต้องอาศัยความไว้เนื้อเชื่อใจอย่างมากเช่นกัน ที่จะยอมให้บริษัทใดมาร่วมอยู่ใน Function ที่องค์กรของเราไม่มีวันทำได้
อาจทำได้เพียงแค่เลือกที่จะเชื่อจากข้อมูลและการเจรจาที่พยายามทำให้เราได้รู้จักกันมากที่สุด และจากความรู้สึกในสัญชาติญาณมนุษย์

คนในโลกเก่าที่ถูกสอนให้ระวังคนรอบข้าง กลัวการเปลี่ยนแปลง และ Play Save ตลอดเวลา จะกล้าทำอะไรแบบนี้ได้อย่างไร
แล้วคุณจะไปสู้พลังของหลายๆ บริษัท ที่เอาจุดแข็งมาช่วยกันทำงานได้อย่างไร

หมี่เคยเขียนไว้ใน review ของ multiply
ตัวจริงเท่านั้นที่จะอยู่รอด
ตัวจริงในโลกใหม่ คุณจะอยู่ได้คงทน และโตขึ้นเรื่อยๆ
ส่วนตัวจริงในโลกเก่า
หมี่เชื่อว่า ถ้าคุณเป็นตัวจริง
คุณจะหลุดกรอบ "เก่าๆ" นั้นออกมาได้ในวันหนึ่งค่ะ

สู้เพื่ออยู่รอดกับกระแสโลกต่อไปนะคะ ชาวโลก