30.8.51

4 ตัว -_-

มีเรื่องน่าตื่นเต้นเกิดขึ้นในครอบครัวเราอีกแล้ว
(ระหว่างที่มีความน่าตื่นเต้นเกิดขึ้นในบ้านเมืองด้วยเช่นกัน)
เมื่อวานนี้ วันศุกร์ที่ 29 สิงหาคม กลับบ้านมาเจอแม่
แม่เล่าให้ฟังว่า...
"วันนี้ไปติดคุกมา 2 ชั่วโมง"
-_-" ตกใจเลย ไปไงมาไง

หลังจากที่ฟังแม่เล่าด้วยอารมณ์โมโห ถึง 3 รอบ
(ย้ำมาก เพราะแค้นหนัก)
ได้ความว่า
ตอนที่แม่กำลังขายของให้ลูกค้าหลายเจ้า
มีผู้ชายตัวใหญ่ 4 คน เดินมาทำทีดูกางเกงที่ร้าน
แล้วก็บอกให้ลูกน้องแม่ไปเอากางเกงยี่ห้อหนึ่งมาสัก 50 ตัว
จะซื้อ ว่างั้น

คุยไปคุยมา ก็จะหากางเกง Levi's Wrangler ซะให้ได้
ก็ที่ร้านมันไม่มี จะหาให้ได้ยังไง
จนสุดท้าย หลุดออกมาว่าเป็นตำรวจ จะมาจับของ Brand name Copy
แม่เราก็เลยไม่พอใจ โวยวายไปซะเต็มที่
เป็นตำรวจ ก็หัดรู้จักเข้ามาพูดจาดีๆ
แสดงหมายค้น แสดงบัตรตำรวจให้เหมาะกับอาชีพหน่อย
ไม่ใช่มาแอบๆ พอหาไม่เจอก็หาเรื่องแบบนี้

เอาแล้วครับ ที่ร้านมันไม่มีของ copy ก็จริง แต่มันดันมีเสื้อแจ็กเก็ตอยู่ 4 ตัว
ที่แม่ซื้อมาตั้งนานแล้ว (สีซีดมาก) ก็เอามาแขวนขายไว้

กลายเป็นเครื่องมือของตำรวจไปจนได้ ติดคุกเพราะเสื้อ adidas 4 ตัว
(ตำรวจในโรงพักยังพูดเลยว่า 4 ตัวยังจับมาอีกเรอะ)

แม่ถูกสั่งไปให้ไปโรงพักพร้อมตำรวจร่างยักษ์ 4 คนนั้น
ตอนแรกก็จะไม่ไปด้วย ยอมขี่มอเตอร์ไซค์ไปเองดีกว่า ไม่ไว้ใจ
พี่แกดันไม่ยอม

สุดท้ายก็ต้องไปโรงพัก พาเด็กแถวนั้นไปเป็นเพื่อน 1 คน
เจ๊ถูกล่อลวงให้ยัดเงินเพื่อความรวดเร็วในการดำเนินการตลอดเวลา
ดีนะ เจ๊ไม่ยอม
บอกว่า
"เอาเงินให้พวกนี้กิน สู้เสียแพงให้รัฐดีกว่า"
จ่าหน้าห้องขังก็จะเอาด้วย
พอแม่ไม่ให้ จ่าก็ให้แม่อยู่นานๆ ไม่ยอมให้คนมาทำสำนวนให้
ไม่ยอมปล่อย

เป็น 2 ชั่วโมงที่แค้นมาก
แม่หลงทางกลับบ้านเลยทีเดียว
สุดท้าย เสียค่าประกันไป 5 หมื่น
แล้ววันที่ 26 กันยายน ไปดูผลว่า ศาลจะรับฟ้องหรือไม่
ถ้าไม่รับ ก็ได้เงินคืน
(เสื้อ 4 ตัว ถ้าจะให้ขึ้นศาลจริงๆ ก็คงช่างศีรษะกฏหมายไทยแล้วล่ะค่ะท่าน)

เมื่อกลางวัน เพิ่งดูฉากตอนตำรวจตีพันธมิตรมาหยกๆ
แหม...
ประทับใจตำรวจไทยจริงๆ

ดีใจที่แม่ไม่ให้เงินใต้โต๊ะไป
คนที่ไม่ยอม มันก็มีนะเฟ้ยยย
อย่าคิดว่าใครๆ ก็จะเอาด้วยหมด
ความชอบธรรมและความยุติธรรมยังมีอยู่บนโลกใบนี้

คุณตำรวจที่ปฏิบัติหน้าที่ดีๆ อย่าเพิ่งรู้สึกแย่นะคะ
สู้ต่อไป วันหนึ่งต้องมีคนเห็นค่ะ

24.8.51

คนเราเกิดมาเพื่อ.....

ความรักคืออะไร
คนเราตายแล้วไปไหน
คนเราเกิดมาเพื่ออะไร

คำถามคลาสสิคของโลกใบนี้ ที่คนขยันหาคำตอบกันเหลือเกิน
แต่ไม่ค่อยเจอนัก หรือบางทีเจอแล้วก็ไม่ค่อยมั่นใจ

อยากลองตอบคำถามสุดท้ายให้ลองอ่านเล่นๆ
วันก่อนอ่านหนังสือ A Day ที่สัมภาษณ์พี่จิก ประภาส ชลศรานนท์

พี่จิกบอกว่า เราเกิดมาเพื่อรักคนอื่น
-- คำตอบนี้ทำให้ชีวิตของคนอื่นช่างดูมีคุณค่า
..............................................
บางคนบอกว่า เราเกิดมาเพื่อชดใช้กรรม
-- การใช้ชีวิตคงเหนื่อยเกินไป
ถ้าเราเกิดมาเพื่อเกิดมา เป็นไปตามกลไกธรรมชาติ ไม่มีความลึกซึ้งอะไร
-- สิ่งที่เราทำไปทุกอย่าง ก็ไร้สาระสิ้นดี

ลึกๆ เราเชื่อว่า...มนุษย์เกิดมาเพื่อมีความสุข
ต้องสร้างความสุขกับตัวเอง
และสร้างความสุขให้กับคนอื่น

จริงไหมนะ...

19.8.51

20 สิงหาคม 2008

วันนี้ของปีนี้ดูแตกต่างไปจากปีอื่นๆ
เพราะสมาชิกในบ้านหายไปหนึ่งคน
ถือว่าเป็นเรื่องดี เพราะว่าหายไปได้ดีที่ London นู่นแน่ะ
ไม่รู้ว่าจะฉลองวันเกิดกับใคร
เพราะไม่ได้เป่าเค้กกับที่บ้านแล้ว

อยู่กันไกลมาก
ก็เลยไม่ได้ซื้อหรือฝากอะไรไปให้
เปลืองตัง เปลืองค่าส่ง
ขอเขียน blog ให้หนึ่งวันก็แล้วกัน

เพราะว่าอยู่กันไกลมาก ก็เลยทำให้เรารู้สึกเหมือนว่าอยู่ใกล้
ความคิดถึงทำให้เราโทรคุยกันบ่อยๆ
Comment Hi5 กันบ่อยๆ
แล้วก็ทัก MSN กันเสมอ
(แต่นี่เริ่มน้อยลงแล้วนะเธอ งานหนักสิ)

วันเดินทาง
เครื่องออกตอนประมาณตี 1 มั้ง เรากับแม่กลับบ้านก่อนเครื่องออก
เหมือนในหนังที่เคยดู...
เรากอดกันร้องไห้...
ตลกดี
แต่มันก็เศร้าสุดๆ จริงๆ นะ
ร้องไห้ตลอดทางกลับบ้านเลยล่ะ

ก่อนหน้านั้นไม่เท่าไหร่
ประมาณปีกว่าๆ
ยัยคนนี้ ชอบทำตัวเป็นเด็กไม่รู้จักโต
ทำอะไรไม่ค่อยแคร์ที่บ้าน
อยากกลับบ้านตอนไหนมันก็กลับ
อยากไม่กลับ หรือกลับแล้วออกไปอีก ก็ไปซะงั้น
เป็นความปวดหัวจนชินชาของแม่อย่างมาก
กระทบใจเราด้วยในหลายครั้ง
กัดฟันเตือนอยู่เรื่อยๆ

ประมาณช่วงมหาวิทยาลัย แล้วก็ม.ปลาย
ช่วงแย่งกันใช้รถ ช่วงขี้บ่นเรื่องจัดห้องนอน...
ช่วงที่เรายังเป็นเด็กน้อยอยู่เหมือนกัน
ทะเลาะกันบ่อยมาก
กลับไปคิดแล้ว ยังรู้สึกตัวเองเป็นพี่สาวที่โหลยโท่ยจริงๆ

นิสัยหนีออกไปเที่ยวตอนดึก...
เราก็เป็นให้เห็นก่อน
มีแฟนตั้งแต่เด็ก...
เราก็เป็นให้เห็นก่อน
เที่ยวบ่อยทั้งไกลใกล้ ติดเพื่อน กินเหล้า...
เราก็เป็นให้เห็นก่อน
แอบเอารถไปซิ่งไกลๆ...
เราก็เป็นให้เห็นก่อน

ไม่ไหวเลย

ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น
ไม่ว่าความประพฤติบางเรื่องจะเลวร้ายแค่ไหน
(จำได้ไหม ที่เธอไม่กลับบ้าน แล้วชั้นกับแม่ขับรถตามทั้งคืน)
(จำได้ไหม ที่เธอเคยโดนพ่อตี ตอนคุยโทรศัพท์)
(จำได้ไหม ที่เธอ......)

แต่ว่าก็ทำให้เราภูมิใจในตัวเธอได้เสมอ
เรื่องการเรียน
เรื่องความสำเร็จในงาน
ได้เงินเดือนเยอะกว่าพี่สาวตั้งแต่ปีแรกเลยนะ
ขนาดขยันลาออกขนาดนี้ ยังมีแต่คนอยากได้ไปทำงานด้วย
เรื่องความตั้งใจที่จะไปเรียนต่อ คนแรกของบ้าน

เอาจนได้
มันไปจนได้

คิดถึงมาก
แล้วก็เป็นห่วงมาก
ตอนที่อยู่ที่สิงคโปร์ ที่เธอเจออุบัติเหตุ
หรือตอนที่เธอมาปรึกษาทุกครั้ง ทุกเรื่อง
ชั้นดีใจมาก ที่เธอไว้ใจ
แม้จะพึ่งไม่ค่อยได้ก็เหอะ

ขอโทษด้วย ที่แต่ก่อนเห็นแก่ตัวไปหน่อย
จำได้ เคยโกรธเธอ แล้วก็เบียดเธอตกมอเตอร์ไซค์ด้วย แสบมาก 555

ไม่ต้องเหงานะ
อดทนหน่อย

วันเกิดปีนี้ โอ๊กฝากบอกว่า
"รักเสมอ จบ"
แม่ฝากบอกว่า
"ตั้งใจเรียน แค่นี้แหละ"

บ้านเราพูดกันไม่เยอะหรอก
เอะอะก็ไม่คุยด้วย เอะอะก็บึ้งใส่กัน
แต่ว่าแต่ละคนก็โตขึ้นเยอะแหละ เธอว่าไหม
แม่ก็ไม่เหมือนเดิมแล้วล่ะนะ

แล้วจะรอดูความสำเร็จของน้องสาวคนนี้นะ
Happy Birthday
ขอให้เป็นอายุ 24 ที่ทำให้เธอโตขึ้นมากๆ
อธิษฐานเผื่อเธอเสมอ ขอให้พระเจ้าดูแล
ชั้นจะพยายามดูแลแม่ให้ดีที่สุด
คงไม่ดีมากหรอก
แต่ก็จะพยายามที่สุดนะ

ซึ้งหน่อย
รักเธอมาก มาก มาก

20 สิงหาคม 2551
เหมี่ยว ปวีณา เหมทัศน์
ครบรอบอายุ 24 ปี
ที่ London

17.8.51

Yes, I can!!

สืบเนื่องจากเรื่องเมื่อวานนี้
มนุษย์ทำได้ทุกอย่างที่เขาอยากจะทำ

สัปดาห์ที่ผ่านมา...
เรียกว่า 2 สัปดาห์จะดีกว่า
ได้ทำอะไรมากมายหลายอย่าง
เป็นความมหัศจรรย์ของชีวิต
แล้วก็เป็นความประทับใจที่อยากจะขอบคุณพระเจ้า

เริ่มมาจับโปรเจ็ค Sport Stacking
งานใหม่ที่ไม่เคยทำมาก่อน เป็นสมาคมส่งเสริมการเล่นกีฬาชนิดใหม่
กำลังเข้ามาประเทศไทย
เริ่มต้นทุกอย่างจากเกือบๆ ศูนย์ จนมาช่วย Boss ดูภาพรวมของงาน
Event วันที่ 12 สิงหาคมก็เปิดตัวไปได้สวยงามดี
โปรเจ็คนี้ทำให้ได้ค้างออฟฟิศ 1 คืน

นิตยสาร "สายใย" ประจำคณะนิเทศศาสตร์
ดีใจที่ได้เป็นบก.
ความใฝ่ฝันที่เคยทำมาแล้วหลายครั้ง แต่ยังฝันอยู่ ก็คือเป็นบก.นิตยสาร
เป็นความสุขที่ได้เห็นตั้งแต่ตอนช่วยกันคิด ช่วยกันทำ
จนมาเป็นคอลัมน์ที่สวยงามขึ้นมา
โปรเจ็คนี้ทำให้ได้ค้างบ้านเพื่อน 1 คืน
และกลับบ้านตี 4 อีก 1 คืน

โปรเจ็คนิยมกล้อง
รายการท็อปฮิตติดดาวของบริษัท
ลูกรักที่รักไม่น้อยกว่าใคร
มีจัดงาน "รอยยิ้มของแม่" วันเสาร์ที่ 9
และแบบไม่ได้ตั้งตัว ต้องไปช่วยดูภาพรวมงาน
ทำให้ได้ค้างออฟฟิศ 1 คืน
ตัวรายการเอง ที่อยู่ในความดูแลของอีฟ
เพื่อนรัก...
รักเพื่อน ก็เลยไปนั่งรอ จนนอนรอเพื่อนดูงานเสร็จ
ค้างไปอีก 1 คืน

การประชุมที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกวัน ไม่เคยต่ำกว่า 3 ทุ่มครึ่ง
และรายละเอียดงานและการประสานงานหลายอย่าง ที่ต้องคอยตาม (มากกว่าที่บอกไป)
การจัดการกับความรู้สึกที่เกิดขึ้นในความสัมพันธ์กับคนรอบข้าง
การอ่านหนังสือเล่มที่อยากจะอ่านกับเล่มที่ควรอ่าน

แล้วมันก็ผ่านมาจนได้
ทุกผ่านที่ผ่านไปทำให้เกิดความสุข
นิตยสารวันที่มันเสร็จ แม้จะไม่ได้ช่วยทำ Artwork ใดๆ ทั้งสิ้น
ก็ดีใจมาก มีความสุข
รวมถึงกิจกรรม Sport Stacking ในงานวันที่ 12 สิงหาคม
พอมันผ่านไป เห็นการตอบรับที่ดีแล้วก็มีความสุข

คนรอบข้างหลายๆ คนกำลังจะดีขึ้น และดีขึ้น
ความสัมพันธ์กับแม่ที่อยู่ในช่วงวิกฤติ
ก็กำลังจะผ่านพ้นไปด้วยดี

ไม่มีเหตุการณ์ไหนเลยที่ไม่มีวันผ่านไป
การรอคอยต้องมีวันสิ้นสุด
ปัญหาย่อมมีวันคลี่คลาย

มนุษย์สามารถผ่านทุกอย่างได้ แม้เขาไม่ต้องทำอะไรเลย
และมนุษย์ก็สามารถที่จะเลือกผ่านทุกอย่างในชีวิตได้ อย่างดีที่สุดด้วยเช่นกัน

ไปฟังเพลง a day ของ monotone ก็จะอินมาก

16.8.51

How far you can see!

ช่วงนี้เป็นช่วงแห่งการแข่งขันโอลิมปิก
เป็นคนไม่ค่อยชอบดูกีฬาสักเท่าไหร่
ไม่รู้กฏ ไม่รู้กติกาแข่งขัน
ดูแล้วลุ้นไม่ออก

แต่ว่าวันนี้ได้พักผ่อนอยู่ที่บ้าน
ก็เลยเปิดทีวีไป อ่านหนังสือไป
ทิ้งเสียงทีวีไว้ให้เข้าหู
เจอกับข่าวกีฬา ที่นักกีฬาว่ายน้ำทำสถิติใหม่ของโลกได้อีกแล้ว

การแข่งขันมีมาเป็นร้อยๆ ปี
การทำสถิติใหม่ๆ ก็เกิดขึ้นได้ทุกปี

หนังสือเล่มที่อ่านวันนี้คือ a day
หน้าปกเป็นรูปพี่จิก ประภาส ชลศรานนท์
(คนแห่งแรงบันดาลใจของเรานี่เอง)
เนื้อหาข้างในก็คุ้มมาก สำหรับคนที่ซื้อหนังสือเล่มนี้เพราะหน้าปก
(เรายืมอีฟมา ไม่ได้เห็นแม้แผงหนังสือ ไม่รู้จะไปซื้อได้ตอนไหน)
มีเรื่องราวที่สะท้อนถึงแนวคิดดีๆ ของพี่จิกไว้เยอะมาก
หนึ่งในนั้นก็คือหลักการคิดเกี่ยวกับความคิดสร้างสรรค์

มีคำถามหนึ่งที่ถามว่า
"ทุกอย่างบนโลกนี้ มีคนคิดคนทำไปหมดแล้ว ยังจะเหลืออะไรให้เราคิดสร้างสรรค์ได้อีกหรือ"
พี่จิกตอบไว้ประมาณนี้ว่า
ความคิดสร้างสรรคฺไม่มีออริจินัล และความคิดสร้างสรรค์ไม่มีวันหมดสิ้น
มีอะไรให้เราทำ ให้เราคิด ให้เราได้ต่อยอดอีกเยอะมาก

ผู้ชายคนนี้ ทำอะไรไว้กับวงการบันเทิงไทย กับแรงบันดาลใจของคนเสพ
และกับความรู้สึกของเราเอง เยอะมาก

มนุษย์ไม่เคยหมดสิ้นพลังที่จะทำอะไรใหม่ๆ
ไอ้ที่ว่าเร็วมากอยู่แล้ว
ที่สุดในโลกไปแล้ว
ก็ยังมีคนเร็วกว่า เกิดขึ้นมาใหม่ได้เรื่อยๆ

ไอ้ที่ดูเหมือนจะหมดทางแล้ว
ไม่มีอะไรเหลือแล้ว
ก็ยังมีหนทางใหม่ๆ ให้ได้เลือกได้เห็นอยู่เรื่อยๆ

พระเจ้าบอกว่า
มนุษย์เหล่านี้ ถ้าเขาจะทำอะไรเขาก็ทำได้

ทัศนคติกับศรัทธาเป็นตัวกำหนดความสำเร็จของเรา

เราเชื่อในอะไร เชื่อมากพอไหม
และเรามองสิ่งต่างๆ ได้กว้างและไกลแค่ไหน

ดีใจจังที่ได้อ่านหนังสือของผู้ชายคนนี้

14.8.51

เปลี่ยนโหมด ---

อาทิตย์ที่ผ่านมา ใช้ชีวิตอยู่ในโหมดของเด็กเสเพล
แต่เป็นเด็กเสเพล เพราะทำงานหนักไปหน่อย
ก็เลยไม่ค่อยได้กลับบ้านเหมือนปกติ

กลับบ้าน 4 วัน
นอนออฟฟิศแบบไม่ได้ตั้งใจ 2 วัน
นอนบ้านเพื่อนแบบไม่ได้ตั้งใจอีก 1 วัน

เป็นช่วงสัปดาห์ที่อึมครึมอย่างถึงที่สุด
แม่ไม่พูดด้วย เพราะว่าโกรธตั้งแต่อาทิตย์ที่แล้ว ที่ไม่ไปช่วยขายของ
งานก็กำลัง peak
ทั้งงานที่ออฟฟิศ งานราษฎร์ และงานหลวง

มี event แบบไม่ได้ตั้งตัว 1 งาน
และ event แบบตั้งตัวแล้วแต่ยังวุ่นวาย 1 งาน
แล้วก็งานวารสารสายใย ของนิเทศจุฬา
ที่รับหน้าที่เป็น บก. ประจำเล่ม...
ได้วาระปิดเล่มช่วงนี้พอดี ทั้งที่ทำมาตั้ง 2 เดือนแล้ว
นอกจากนี้ยังมีอื่นๆ และอื่นๆ อีกจุกจิกวุ่นวายมากมาย

ผ่านวันแม่ไปเฉยๆ
ไม่ได้ซื้อหรือเตรียมอะไรให้แม่เลย
ผิดกับ 2-3 ปีที่ผ่านมา

แต่ก่อนนี้ เคยดุน้องสาวไปว่า
ไม่กลับบ้านไม่เคยโทรบอกแม่...
รู้ไหมว่าแม่จะรู้สึกยังไง


เปลี่ยนโหมดเป็นเด็กเสเพลของคุณแม่ไปซะแล้ว
เรื่องที่เคยดุน้องไป ก็เป็นไปเองซะแล้ว
ทำแม่ร้องไห้ในวันแม่ด้วย

เด็กเสเพลกลับใจแล้วนะแม่นะ
หายโกรธหมี่นะ
จะเปลี่ยนโหมดเป็นเด็กดีที่แม่พึ่งได้แล้ว

เชื่อสิ

7.8.51

กาแฟ addicted -_-

>> เป็นความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าตลอดการเดินทางมาทำงาน <<

ไม่รู้ว่าเป็นอะไร เดี๋ยวนี้พยายามตื่นให้เช้ากว่าเดิม เพราะอยากจะมาให้ทันเวลาเข้างาน
และก็พยายามนอนเร็วกว่าเดิมแล้วด้วย
ประมาณวันละ 6 ชม. เป็นอย่างน้อย
(จะว่าไป มันก็ไม่น้อย)

ตื่นไม่เคยจะได้ตามเป้าเลย
แถมสลึมสลือ หลับบนรถเมล์ตลอดเวลา
(ข่าวล่า อัพเดท มีรถเมล์ฟรี บริการประชาชนแล้วนะคะ ตื่นเต้น)

เป็นอาการที่เหนื่อยมากอยู่
ทรมาน และใช้เวลาไม่เกิดประโยชน์

จำได้ว่าการอ่านหนังสือบนรถเมล์เป็นอะไรที่ดีและคุ้มค่ามาก
เคยทำได้ด้วย อ่านติดกันทุกวัน

T_T
แต่ตอนนี้เป็นอะไรไม่รู้
ร่างกายอ่อนเพลีย
มีคนบอกว่า อาจจะเป็นเพราะนอนกรน หายใจไม่เต็มที่
อีกหนึ่งทฤษฎีคือ กินอาหารดึก ร่างกายทำงานหนักแม้เวลานอน
เพราะแบกอาหารเอาไว้ (เหยย)
หรือเครียดกับงานมากเกินไป

ไม่รู้จะแก้ยังไง
การที่ร่างกายถูกใช้อย่างไม่เต็มประสิทธิภาพแบบนี้...
แอบทำให้ตัวเองรู้สึกไม่ดี อยากเปลี่ยนแปลง
อยากแข็งแรง

การที่ร่างกายไม่ fresh ก็เป็นเหตุให้หาเรื่องกินกาแฟได้ตลอดเวลา
แล้วก็อุปาทานไปว่ากาแฟช่วยได้

เฮ้ออออออ
เข้าสู่วังวนเดิมอีกแล้วคับท่าน