24.10.54

ลาก่อนประเทศไทย

บางทีแม่งก็สงสัยว่า การที่เรามีคำถามอะไรขึ้นมาเยอะๆ โดยเฉพาะคำถามที่บางคนเรียกว่าไร้สาระ
มันเป็นเพราะเรามีเวลาว่างมากเกินไปรึเปล่า

ตัวอย่างเช่น
คนเราควรมีชีวิตอยู่ถึงเมื่อไหร่
เอาจริงๆ มนุษย์มีกี่ประเภทกันแน่
อะไรคือนิยามของคำว่า "ถูกต้อง"

ช่วงนี้เป็นช่วงสถานการณ์บ้านเมืองวิกฤต
น้ำท่วมหนัก...
ซึ่งจริงๆ ก็ท่วมทุกปี แต่ปีนี้น้ำเข้าไปในกรุงเทพด้วย
ทุกอย่างก็เลยกลายเป็นเรื่องใหญ่

สถานการณ์คล้ายๆ วิกฤติการเมือง
มีคนที่เจอความยากลำบากจากสถานการณ์โดยตรง
มีคนที่ไม่เจออะไรเลย แต่รับข่าวสารทุกวัน
มีคนที่ไม่เจอและไม่สนใจเหี้ยอะไรทั้งสิ้น ดำเนินชีวิตเหมือนเดิม
มีคนที่อินกับสถานการณ์มากๆ แล้วก็ทะเลาะกัน
มีคนที่เข้าไปมีส่วนร่วมกับสถานการณ์ ทั้งในแง่ดี แง่ไม่ดี ช่วยเหลือ ฉวยโอกาส

เป็นเรื่องตลกดีเหมือนกัน อยู่กรุงเทพมา 27 ปี ไม่เคยเจอเรื่องแบบนี้
พอขึ้นมาอยู่เชียงใหม่ กรุงเทพก็งานเข้า
ตอนนี้อยู่พื้นที่สูง ไม่ได้มีความเสี่ยงอะไร
เรากลายเป็นเหมือนคนนอกที่ได้แต่รับรู้สถานการณ์จริงบ้าง เว่อร์บ้าง ตาม social network

อาจจะเป็นเพราะไม่ได้เจออะไร ก็เลยมีปัญญามาพล่ามและถามคำถามไร้สาระ
แต่ว่าตอนนี้มันเกิดอะไรขึ้นกับประเทศไทยวะเนี่ย!!??

ช่วงน้ำท่วมหนักนี่ อ่านการ์ตูนจบไป 2 เรื่อง
เป็นการ์ตูนตาหวาน มีมุกประหลาดๆ อ่านไปขำไป แต่บางช็อตก็จะร้องไห้
เนื้อหามันสะท้อนเรื่องที่อยู่ภายในใจของคนจริงๆ ได้ไม่น้อยเลย

การ์ตูนญี่ปุ่นนี่มันตลกดีนะ
ตัวละครวนเวียนอยู่กับเรื่องของตัวเอง
มันไม่รู้จักตัวเองสักที ต้องให้คนรอบข้างหรือสถานการณ์ห่วยๆ มากระตุ้น
บางทีก็น่ารำคาญ
แต่บางทีแม่งก็เป็นเรื่องจริง

มันต่างอะไรกับชีวิตจริง ที่เราเองก็วนเวียนอยู่กับสิ่งที่ตัวเองรู้สึก คิดและเชื่อ
วนเวียนอยู่กับเรื่องรอบๆ ตัวที่ได้อ่าน ได้เห็น แล้วก็ตัดสินมันด้วยมุมมองของตัวเอง

สงสัยต้องเลิกเสพเฟสบุคสักเดือนนึง
จะได้เลิกรู้สึกผิดกับการไม่ได้อยู่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกับเพื่อนพี่น้องที่กรุงเทพซักที
แต่เอาเข้าจริง คงลาพี่น้องประเทศไทยใน social network ได้ไม่เกิน 2 ชั่วโมง...

เฮ้อออออออออออออออ
อ่านการ์ตูนดีกว่า...

28.9.54

หนทางชนะความสิ้นหวัง

"คนในครอบครัวเราเองก็อย่าปล่อยมือจากกัน อย่ายอมแพ้ต่อชีวิตของตัวเอง
ต่อให้มีเรื่องลำบาก เรื่องน่าเศร้า สิ่งที่สำคัญคือทุกคนในครอบครัวมากินข้าวพร้อมหน้า
เรื่องที่ปล่อยไว้ไม่ได้เลยคือปล่อยให้ท้องหิว กับการอยู่คนเดียว
เพราะอย่างนั้น การที่ทุกคนอยู่กับฉันมาตลอด จึงทำให้ฉันมีความสุขอย่างมาก"
จาก SUMMER WARS ฉบับการ์ตูน เล่ม 3

เมื่อเช้าฝนตกหนักติดต่อกันหลายชั่วโมง
แล้วก็ตามคาด น้ำล้นจากแม่น้ำปิง ท่วมตัวเมืองเชียงใหม่หลายๆ จุด
ได้คุยกับคนเชียงใหม่ เค้าบอกว่าปีนี้น้ำเยอะกว่าทุกปี

ดูเหมือนว่าอนาคตที่ถูกเขียนไว้ คงใกล้จะเป็นจริงเร็วๆ นี้
อนาคตเป็นสิ่งน่ากลัวก็จริง แต่ปัจจุบันอันเลวร้ายที่เห็นอยู่กับตากลับน่ากลัวกว่า

ช่วงนี้มีอะไรอยู่ในหัวที่อยากทำเยอะแยะเต็มไปหมด
วางแผนนั้นนี้ ทั้งที่ไม่รู้ว่าจะอยู่ถึงวันนั้นหรือเปล่า คิดไปแล้วอาจจะไร้ประโยชน์
เช่นเดียวกัน กังวลไปก็อาจจะไร้ประโยชน์

สิ่งที่ดีที่สุดคือ เราไม่ได้อยู่คนเดียว
จริงๆ แล้วมันโคตรจะดีเลยที่เราไม่ได้อยู่คนเดียว
ถ้าเรายังไม่ได้อยู่คนเดียว ชีวิตและอนาคตก็คงยังไม่จบ

ในหนังสือการ์ตูนอีกเล่ม 20th Century Boy
มีบทสนทนาอันนึง

"บอกผมที่ ว่าทำยังไงถึงจะชนะความสิ้นหวังได้"

"หนทางชนะความสิ้นหวังเหรอ...



ไม่มีหรอก



แต่มีสิ่งที่ทำได้ คือ เดินต่อไป..."


คิดเอาเองว่าการ์ตูน 2 เล่มนี้รวมกันแล้วเท่ากับ
"เดินต่อไปกับครอบครัวของคุณ"
ครอบครัวคือคนที่รักกัน จับมือกัน ไปด้วยกัน ประคับประคองกัน

ว่าแล้วก็...
ถ้ากลับไปวันไหน หรือขึ้นมาวันไหน
มากินข้าวพร้อมหน้ากันนะ

15.9.54

ทำไม

"ทำไมกูต้องจ่ายเงินเดือนละตั้งหลายพันเพื่อไปอยู่หอเล็กๆ ชั้น 4 ที่เชียงใหม่
ในเมื่อคอนโดตัวเองก็ใหญ่ แถมอยู่ตั้งชั้น 15 ลมดีกว่าตั้งเยอะ"
เป็นคำถามที่ผุดขึ้นมาในหัวตอนที่ไปยืนรับลมที่ระเบียงคอนโด เช้าวันที่ถึงกรุงเทพ

คนเรานี่นะ บางทีทำอะไรก็ไม่รู้เหตุผลหรอก รู้แต่ว่ามันต้องทำแล้ว ต้องไปแล้ว
อยู่กับที่ไม่ได้อีกต่อไปแล้ว

การมาอยู่เชียงใหม่มีข้อเสียอยู่หนึ่งอย่าง
คือ สถานที่ดีๆ สำหรับการหลบหนีโลกแห่งความเป็นจริงได้หายไป
ส่วนข้อดีของมันก็คือ ชีวิตจริงของเรากลายเป็นโมเมนท์ที่มีความสุขได้มากขึ้น

ไม่รู้อุปาทานหรือเปล่า
แต่อยู่เชียงใหม่ไม่ค่อยเป็นหวัด (เป็นกระเพาะบ่อยกว่า เพราะตื่นกับนอนตามใจตัวเองมาก - -")
ไม่ว่าจะฝนตกหรือแดดออก ดอยสุเทพและอ่างแก้วก็ยังน่ามองอยู่เสมอ

กลับมาเล่าต่อในช่วงที่อยู่กรุงเทพ
"ทำไมกูต้องมายืนโบกรถเมล์สายที่ไม่ค่อยยอมจอดป้ายวะ"
"ทำไมพ่อแม่ต้องจ่ายเงินแพงๆ มาให้ลูกเจอรถติดหน้าโรงเรียนมันทุกวันวะ"
"ทำไมมันยึดสองเลนส์แล้วไม่รู้สึกละอายใจบ้างวะ"
"ทำไมเลือกรับคนเฉพาะทางที่อยากไปวะ ทำไมมาขับแท็กซี่ ไม่ไปขับรถเมล์ซะให้สบายใจ"
"ทำไมต้องมายืนรอต่อคิวเพื่อกินข้าวแพงๆ ที่หากินได้เกลื่อนกลาดทุกห้าง"
"ทำไมใครๆ ก็อยากมาเซ็นทรัลลาดพร้าววะ"
คำถามพวกนี้ผุดขึ้นมาเป็นระยะตลอดการเดินทาง

อืม
ได้คำตอบของคำถามแรกแล้วมั้ง

4.9.54

การ์ตูนในดวงใจวันนี้


เพิ่งอ่านการ์ตูนญี่ปุ่นจบไปหนึ่งเรื่อง
แบบว่าเช่ามาตั้งแต่เล่ม 9 ถึงเล่ม 15 อ่านภายใน 24 ชม.
อินมาก ต้องอ่านให้จบ

แต่ก่อนเวลาอ่านการ์ตูนญี่ปุ่นก็จะเลือกแต่พวกการ์ตูนตาหวาน
หรือไม่ก็การ์ตูนดังๆ ที่พี่ชายซื้ออ่าน อย่าง โคนัน GTO
หารู้ไม่ว่า ยังมีโลกอีกหลายใบนัก ที่เรายังไปไม่ถึง

การ์ตูนเรื่องที่กำลังจะกล่าวถึงนี้มีชื่อว่า "Spiral ผ่าเกลียวปริศนา"
http://www.bloggang.com/viewblog.php?id=oranuncha&date=18-10-2006&group=1&gblog=2
อ่านข้อมูลและ review คร่าวๆ ตามลิงก์ด้านบน

เป็นเรื่องราวของเด็กกลุ่มหนึ่งที่กำเนิดมาจากยีนส์อันตรายของคนคนหนึ่ง จากการผสมเทียมโดยฝีมือองค์กรลับ
ที่เชื่อว่าบุคคลเจ้าของยีนส์นี้ เป็น "ปีศาจ" ที่พระเจ้าส่งให้มาทำลายโลก
(ซึ่งก็มีความสามารถ เฉลียวฉลาด และชั่วร้ายจริง)
ยีนส์อันตรายนี้จะทำงานเมื่อเด็กอายุ 20 ปี เขาจะไม่เป็นตัวของตัวเอง
แต่จะทำเรื่องชั่วร้ายเพื่อให้โลกเต็มไปด้วยความวุ่นวาย
เด็กเหล่านี้ได้รับสมยานามว่า Blade Children

มีคนไม่เห็นด้วยกับการสร้าง Blade Children และตามฆ่าทำลายล้างก่อนที่พวกเขาจะอายุถึง 20 ปี
ทำให้เด็กกลุ่มนี้เติบโตมาด้วยการหลบหนี ฆ่าฟัน เป็นชีวิตที่ต้องคำสาป และรอคอยคนที่มาปลดปล่อย

ในขณะเดียวกันก็มีชายหนุ่มอีกคนหนึ่ง ที่ฉลาด เก่งกาจ ถือว่าเป็น "พระเจ้า" ที่มาทำลายปีศาจ
พระเจ้าคนนี้ได้วางแผนการเพื่อให้ Blade Children ได้รับการปลดปล่อย
โดยสร้างสถานการณ์ให้คนทุกคนฝากความหวังไว้ที่น้องชายของเขา
น้องชายของพระเจ้ามีทุกอย่างเหมือนกับพระเจ้า แต่ไม่เคยตามทัน ไม่เคยชนะ
ทำให้เขาเป็นเด็กที่ถูกแย่งชิงความสุข และชีวิตเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง
แต่ในสถาณการณ์ที่เลวร้ายที่สุด คนที่พ่ายแพ้มาตลอดคือคนที่ปลดปล่อยจิตใจต้องคำสาปของคนอื่นๆ
โดยที่มือไม่ต้องเปื้อนเลือดฆ่าฟันใคร

คำตอบของเรื่องนี้คือ ในความสิ้นหวังมีความหวัง
แน่นอนว่าทุกคนมีความเกลียดชัง พ่ายแพ้ มีคำสาป
แต่ว่าแต่ละคนต้องช่วยเหลือตัวเอง ไม่ใช่สิ้นหวังไปกับชะตากรรม หรือรอให้ใครมาช่วยเหลือ
คนที่ล้มลง พ่ายแพ้ ทำผิดมาก่อนนั่นแหละ ถึงจะเป็นคนที่ช่วยเหลือคนอื่นได้

ตอนจบ ผู้ปลดปล่อยคนนี้ กลับกลายเป็นโคลนนิ่งของพี่ชาย ที่ได้ชื่อว่า "พระเจ้า"
และมีอายุสั้น อยู่ได้แค่ 20 ปี

มันเป็นการ์ตูนที่ขำ สนุก ท้าทาย ใช้สมอง หดหู่ และ...เศร้ามาก
คนเขียนการ์ตูนเรื่องนี้เขียนได้ลึกซึ้งมาก เข้าใจชีวิตมาก

ชีวิตมันก็เป็นแบบนี้จริงๆ นะ
เหมือนต้องคำสาป
เหมือนถูกไล่ล่า และคอยไล่ล่าคนอื่นเพื่อปกป้องตัวเอง
เหมือนสิ้นหวัง และบางครั้งก็มีความหวัง
เจ็บปวดกับการถูกหักหลัง เจ็บปวดกับความความเชื่อใจ
บางครั้งดิ้นรนหาทางรอดให้ตัวเอง แต่บางครั้งก็อยากทิ้งทุกอย่างให้เป็นเรื่องของชะตากรรม

ชีวิตมันมีอยู่เพื่ออะไรกันแน่

นี่คือเนื้อเพลงในตอนจบของเรื่อง
"เราจะวาดความหวังต่อไปไม่สิ้นสุด
แม้เบื้องหน้าจะเห็นแต่ความมืดมน แต่เสียงที่กังวานนี้จะดังก้องต่อไป
เพื่อใครบางคนบนเส้นทางแห่งอนาคต
ขอให้คำอธิษฐานและการอำนวยพรนี้ ยืนยง..คงอยู่..ตลอดไป..."

ชีวิตมีอยู่เพื่อมีความหวังและก้าวเดินต่อไป
เพื่อใครบางคนในวันข้างหน้า
อาจไม่ใช่เราที่อยู่ในเส้นทางแห่งอนาคตนั้น
แต่วันนี้ เราคือคนที่กำลังส่งเสียงกังวานที่ดังก้องอยู่

ใช่คำตอบที่ถูกต้องรึเปล่านะ
ยิ่งใหญ่เกินไปจริงๆ

สุดท้ายแล้ว
ขอมอบเพลงนี้ให้กับชีวิต

http://www.youtube.com/watch?v=oV9aA4W_YxI


อย่าให้ใครเขาเป็นเจ้าชีวิตเธอ...นะคนดี
เพราะเราเกิดมาในโลกแห่งเสรี

อย่าให้ใครเขาเป็นเจ้าชีวิตเธอ...นะคนดี
มองดาวบนฟ้าเราก็เป็นได้แค่ฝัน

ทุกวันไม่มีที่สิ้นสุด
แต่ใจเอ๋ยใจของมนุษย์...สุดจะลึกที่จะพรรณนา

จึงอยากกู่ร้องเป็นท่วงทำนองของชีวิต

ถึงอดีตบางครั้งอย่างปวดร้าว
แม้บทเพลงที่เคยร้องรำทุกค่ำเช้า

นี่ชีวิตเราหรือใครเขาเป็นเจ้าของ


เพื่อเธอคนดีแด่คนช่างฝัน
อย่าให้มันต้องกลายเป็นฝันร้าย

มองฟ้าคืนนี้ยังมีดวงดาวดูพราวพราย
แค่อยากรู้ใครคือเจ้าของเธอ


13.8.54

แม่จ๋า คิดถึงงงงงงงงงงงง

มันเป็นอะไรที่ประจวบเหมาะมาก
เมื่อคืนนอนไม่หลับ ด้วยคิดมากเรื่องที่ไร้สาระสุดๆ
ก็เลยตื่นมาดู DVD ละครเรื่องอุ้มรักที่ดูค้างไว้
เป็นตอนที่นางเอกคลอดลูกพอดี
ในละคร คลอดลูกไป น้่ำตาไหลไป ทั้งพ่อทั้งแม่
คนดูก็ดูไป น้ำตาไหลไป

8 เดือนแล้วที่มาอยู่เชียงใหม่
ห่างบ้านและห่างแม่นานที่สุดในชีวิต
เพราะเพิ่งกลับไปกรุงเทพปลายเดือนที่แล้ว
อาทิตย์นี้ก็เลยไม่ได้ลงไปหาแม่
ได้แต่โทรไปหา
คำพูดของวันนี้แม่คือ "อย่าทำให้แม่ทุกข์ก็พอใจแล้ว"
เพราะแม่คาดหวังน้อยแบบนี้ เราเลยทำอะไรให้แม่น้อยๆ แบบนี้หรือเปล่านะ

โทรหาแม่แล้วก็โทรหายาย ยายไม่อยู่บ้าน
ยายกำลังเดินทางไปเที่ยวพัทยากับป้าๆ และอาๆ
แม่ก็จะตามไปพรุ่งนี้
วันหยุดยาวนี้เลยถือเป็นช่วงเวลาพักผ่อนของบรรดาแม่ๆ ทั้งหลาย
บรรดาวัยรุ่นก็เฝ้าร้านไป
วัยรุ่นคือน้องๆ รุ่นที่กำลังเรียนมหาลัย
ส่วนรุ่นๆ เราห่างไกลชีวิตแบบวันหยุดเฝ้าร้านให้แม่มานานแล้ว
ต่างคนต่างไปมีชีวิตและทำธุรกิจของตัวเองกันหมดแล้ว
ถ้ามีโอกาสก็อยากบอกน้องๆ ทุกคนว่า
เดี๋ยวเราจะมีเวลาของตัวเองแน่นอน
ตอนนี้ เมื่อเวลาและชีวิตยังเอื้ออำนวย
อยู่ข้างๆเค้าและทำให้เค้าไปเถอะ

เหมือนเป็นสัจธรรมนะ
มนุษย์ถูกสร้างมาให้มีชีวิตของตัวเอง
ยิ่งโต ยิ่งต้องเลือกใช้ชีวิตตามเส้นทางของตัวเอง
ตั้งแต่มาอยู่ที่นี่ หมี่กลับไปกรุงเทพทุกเดือน
ทุกครั้งที่กำลังจะไปขึ้นรถกลับเชียงใหม่
ก็จะเดินไปกอดแม่ บอกแม่ว่า ไปแล้วนะ เดี๋ยวมาหาใหม่
ใจหายมาก คิดถึงแม่ ไม่อยากไป
แต่ก็ไม่รู้ทำยังไง อยากใช้ชีวิตที่เชียงใหม่
คนที่รู้ว่าตัวเองชอบอะไร ต้องการอะไร มันยากอย่างเนี้ยแหละ
เรื่องเยอะ ทำๆ ไปให้เพื่อให้คนอื่นสบายใจก็ไม่ได้
อะไรที่ฝืนเกินไป ไม่เคยจะทนไหวเลยจริงๆ

วันนี้นั่งคิดว่าถ้าเราอยู่เชียงใหม่ไปเรื่อยๆ
อีก 5 ปี อีก 10 ปี
ถึงวันนั้น แม่คงต้องการคนดูแลแล้วล่ะ
หมี่จะทำยังไงนะ ถ้าไม่อยากกลับไปอยู่กรุงเทพแล้ว
และแม่ก็ไม่อยากมาอยู่เชียงใหม่ด้วย
คิดแล้วน้ำตาจะไหล

แม่เป็นซุปเปอร์ฮีโร่ของหมี่
แม่เก่งที่สุด
อดทนที่สุด
เข้มแข็งที่สุด
ใจสู้ที่สุด
แม่ไม่แสดงความอ่อนแอให้ใครเห็น
แม่ไม่เคยต้องการให้ใครเป็นห่วง
แม่ไม่ชอบขอความช่วยเหลือใคร
แม่ด่าเก่ง ไม่เคยพูดหวานๆ
แต่แม่ก็เชื่อใจและให้โอกาสลูกทุกคนตลอดเวลา
เพราะอย่างนี้หรือเปล่า หมี่เลยทำตามใจตัวเองแบบนี้ได้อยู่ทุกวัน

วันที่จำเป็นต้องอยู่ข้างๆ แม่ต้องมาถึงสักวันแหละ
แล้ววันนั้นหมี่จะไปอยู่ตรงนั้นนะแม่นะ

รักแม่ที่สุดที่สุดที่สุด
โอ่ย....
น้ำตาจะไหล

ชนชั้นทางสังคม

พอเขียนคำว่า "ชนชั้นทางสังคม" แล้วรู้สึกว่าวิชาการมากๆ
ทั้งๆ ที่คำนี้มันวนเวียนอยู่ใกล้ตัวเราเป็นที่สุด

ชนชั้นทางสังคมคืออะไร
ในความเข้าใจของหมี่ มันคือการจัดลำดับขั้นสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่ามนุษย์
จากการเอาอะไรสักอย่างที่ในสังคมนั้นๆ เชื่อว่าถูกต้องมาเป็นบรรทัดฐาน
จัดลำดับสูงต่ำกันโดยฝีมือมนุษย์ขี้เหม็นด้วยกันเองนี่แหละ

แม่งเป็นอะไรที่ไร้เหตุผลมาก
อยู่ดีๆ คนกลุ่มหนึ่งก็ถูกจัดให้อยู่ในฐานะที่ต่ำหรือสูงกว่าคนกลุ่มหนึ่ง
เพราะมีลักษณะหรือคุณสมบัติไม่เหมือนคนในกลุ่มนั้น

การจัดลำดับชนชั้นทางสังคมไม่ได้เห็นแค่ในอินเดีย
แต่เห็นอยู่ในหมู่บ้าน ห้องเรียน ที่ทำงานของเรานี่แหละ
และในสถานที่ที่ดูน่าจะไม่มีที่สุด อย่างเช่น โบสถ์
กลับพบการจัดลำดับชนชั้นทางสังคมเยอะที่สุด

ปากก็บอกว่ารักกัน ยอมรับกัน เพราะพระเจ้ารักเรา ยอมรับเรา
แต่การกระทำกลับมีการประเมินค่าของความเป็นคนดี อยู่ตลอดเวลา
น่ารังเกียจ

หมี่เป็นบุคคลชนิดพิเศษอย่างหนึ่ง คือเข้าได้กับคนทุกพวก ทุกประเภท
(จะด่าว่าเป็นพวกจิ้งจกเปลี่ยนสีหรือนกแปดหัวก็ได้ ไม่สนใจอยู่แล้ว)
และไม่มีความสามารถในการจับความรู้สึก ว่ามึงเกลียดกูหรือไม่ เข้าใจไปเองว่าใครๆ ก็ดีกับเรา
การเป็นคนแบบนี้มีข้อดีอย่างหนึ่ง คือเราได้รู้จักและใกล้ชิดคนหลายแบบ
และไม่ได้เก็บไปคิดมากเป็นสรณะ ว่าหน้าไหนมันจะนินทาเราหรือทำอะไรไม่ดีลับหลังหรือเปล่า
เรียกว่า ดูใสซื่อและโง่ได้โดยไม่ต้องเสแสร้ง แอ๊บเนียน คนเกลียดไม่ค่อยลง (มั้ง)

จากการที่ได้ไปเจอมาหลายคนหลายที่
ค้นพบว่าสัจธรรมอย่างหนึ่งของการเป็นคน ก็คือ ไม่มีใครดี 100% และไม่มีใครเลว 100%
ไม่มีใครโง่ตลอดเวลา และไม่มีใครฉลาดตลอดเวลา
จะดีหรือเลว โง่หรือฉลาด อยู่ที่ว่าเราทำอะไรกับใครต่างหาก

เป็นเรื่องธรรมดามากที่คนที่ใครๆ ในสังคมนี้รู้สึกว่า ใช้ไม่ได้
กลับเป็นที่ชื่นชอบรักใคร่ของคนในอีกสังคมหนึ่ง
ถามว่า แล้วอะไรคือคำตอบที่ถูกต้อง
มีหรือไม่มี พระเจ้าเท่านั้นที่รู้ (คนไม่เชื่อพระเจ้าบางคนยังพูดคำนี้เลย คนเชื่อพระเจ้าหลายคนกลับไม่สำเหนียก)

ส่วนตัวหมี่คิดว่า การจัดลำดับชนชั้นทางสังคม รวมไปถึงการให้เกรดให้คะแนนประเมินค่าของคนต่างๆ นานา
เป็นผลพวงมาจากความหยิ่ง และการไม่ยอมรับความแตกต่างของมนุษย์
เป็นการไม่เชื่อว่า พระเจ้ามีวิธีการตัดสินของพระองค์เอง
โลกมีวิธีการคัดเลือกและตอบสนองต่อการกระทำของคนแต่ละคนในแบบของมันเอง

มนุษย์สร้างลำดับขั้นขึ้นมาปกป้องความอ่อนไหวและความไม่มั่นคงในจิตใจของตัวเองทั้งนั้น
ขีดเส้นและสร้างกฏอะไรสักอย่างที่ทำให้ตัวเองโล่งใจ ว่าเราอยู่ในที่ที่ควรอยู่แล้วล่ะ
เราอยู่ในมาตรฐานที่ถูกต้องของคนในสังคมนี้แล้วนะ ได้รับการยอมรับแล้วล่ะ
โดยที่ไม่รู้เลยว่า โลกโคตรกว้าง และไอ้การกระทำแบบนั้นน่ะ เป็นเรื่องของคนที่โลกโคตรแคบ

สิ่งที่เลวร้ายที่สุดคือ คนเจ็บปวดกับความสัมพันธ์เพราะวิธีการประเมินค่าเหล่านี้แหละ
ลูกเจ็บปวดกับพ่อแม่ที่คาดหวัง เพื่อนเจ็บปวดเพราะเพื่อนไม่ยอมรับ
หญิงหรือชายเจ็บปวดที่อีกฝ่ายไม่เลือกตัวเองเพราะอยู่คนละชนชั้น
ลูกเขยลูกสะใภ้เจ็บปวดเพราะถูกพ่อแม่คนรักดูถูก

การศึกษาและประสบการณ์ไม่ช่วยให้เข้าใจเรื่องพวกนี้
ความเจ็บปวดและการรับฟังคนอื่นต่างหาก ที่จะทำให้เราเข้าใจ


"เราไม่ต้องการที่จะจัดอันดับหรือเปรียบเทียบตัวเราเองกับบางคนที่ยกย่องตัวเอง
แต่เมื่อเขาเอาตัวของเขาเป็นเครื่องวัดกันและกัน และเอาตัวปรียบเทียบกันและกัน
เขาก็เป็นคนขาดปัญญา"
2 โครินธ์ 10:12

"เขาจะไล่ท่านเสียจากธรรมศาลา แท้จริงวันหนึ่งคนใดที่ประหารชีวิตของท่านจะคิดว่า
เขาทำการนั้นเป็นการปฏิบัติพระเจ้า"
ยอห์น 16:2

"เรามอบสันติสุขไว้ให้แก่ท่านแล้ว สันติสุขของเราที่ให้แก่ท่านนั้น
เราให้ท่านไม่เหมือนโลกให้ อย่าให้ใจของท่านวิตก และอย่ากลัวเลย"
ยอห์น 14:27

2.7.54

ประสบการณ์ใหม่

จริงๆ แล้ว การลองอะไรใหม่ๆ ไม่ใช่เรื่องยากเลยนะ
ตอนนี้หมี่กำลังนั่งอยู่ในร้านขายอูกูเลเล่ของตัวเอง
เป็นครั้งแรกที่ทำธุรกิจของตัวเองจริงๆ
แม้จะหุ้นกับเพื่อน แต่ก็ดูแลเองทุกอย่าง
ไม่น่าเชื่อว่าจะมีวันนี้ในชีวิต

แต่ก่อนก็ไม่ค่อยเข้าใจว่าทำไมแม่ถึงสนับสนุนให้ขายของ
มาเปิดร้านกับแม่ก็ได้ ขายของให้แม่ก็ได้
ขอตังไปเปิดธุรกิจของตัวเอง แม่ก็ให้ตลอด
แม่หมี่ขายกางเกงมาเป็นสิบๆ ปี
หมี่เห็นสภาพแม่แล้วไม่อยากจะขายของ
อาจจะไม่ค่อยเหนื่อยใจ แต่เหนื่อยกายมาก
คิดมาตลอดว่าเป็นพนักงานกินเงินเดือนไปอะแหละ สบายสุด

แต่พอโตขึ้น เงินเก็บไม่เคยมี ก็รู้สึกได้ว่าต้องเปลี่ยนวิธีคิดกันซะหน่อยแล้ว

ขอบคุณอ้วน โอตและพี่โอ กระทั่งร้านขายเสื้อ I AM BASIC ตลาดนัดมาลินพลาซ่า
ที่เป็นแรงบันดาลใจทำให้รู้ว่า การขายของหรือเปิดร้านของตัวเองก็ไม่ได้ยากเกินไป

ขอบคุณการสนับสนุนของครอบครัวที่รักมากๆๆ
โดยเฉพาะแม่ที่ไม่เคยเหนื่อยกับการให้
และน้องสาวที่ยังคงแบ่งปัน แม้มีครอบครัวของตัวเองแล้ว

ขอบคุณพี่ๆ น้องๆ คริสเตียน ทั้งพี่เบิ้ล ที่ไว้ใจให้รับช่วงต่อและคอยให้คำปรึกษา
ขอบคุณหลิงหลิง สำหรับคำแนะนำ
ขอบคุณ Newsong ที่แม้อยู่ไกล แต่ก็รู้สึกว่าอยู่ข้างๆ ตลอด คิดถึงๆๆๆๆ
น้องโปร Popo Gsus7 น้องเปาและพี่วิน The Light ที่ทำงานให้ในค่าแรงขั้นต่ำสุด
ขอบคุณพี่สิน The Light ที่ให้ความช่วยเหลือ และพี่โจ ที่คอยให้เบอร์โทรตลอดๆ
ขอบคุณพี่ๆ น้องๆ The Light @ Won Gen Cafe หน้ามอ ที่ช่วยโปรโมต

ขอบคุณพี่ๆ เพื่อนๆ และน้องๆ House of Idea ทุกคน
สำหรับความช่วยเหลือ คำแนะนำ และการที่อยู่เชียงใหม่เป็นเพื่อนกัน

ขอบคุณตูนและเนย ที่ขยันบ่นและขยันฟังกูบ่น
อยากให้พวกเมิงมาอยู่ด้วยกันเป็นปาร์ตี้เพื่อนสาวมากๆ

ขอบคุณพระเจ้าสำหรับโอกาสและความเมตตาในทุกทาง
ช่วงนี้อาจจะเป็นเด็กดีบ้าง ไม่ดีบ้าง
แต่หมี่ก็จะขอเดินกับพระเจ้าแบบนี้ตลอดไป

ยังไม่รู้ว่าร้านจะเป็นยังไง
รู้แต่ว่า
1.ทุกๆ เย็นต่อไปนี้จะหาเรื่องร่อนไปมาหรือนอนหลับอยู่บ้านไม่ได้แล้ว
2.ต้องหัดเล่นอูกูเลเล่ทุกวัน และศึกษาหาความรู้เสมอๆ
4.บะหมี่เป็นหนี้อยู่ 7 หมื่น!!

7.5.54

ถ้าเป็นเรา...

ช่วงนี้มีสถานการณ์วิกฤติเกิดขึ้นหลายอย่าง
ไม่ได้เกิดกับตัวเอง แต่เกิดกับคนรอบๆ
ทั้งรอบแบบไกลตัวมาก และแบบใกล้ตัวมาก

เวลาที่เจอเรื่องแย่ๆ ของคนอื่น คำถามที่มักจะเกิดขึ้นคือ
"ทำไมเขาทำแบบนั้น"
"ถ้าเป็นเรา เราจะทำยังไง"
เรื่องของคนอื่น บางทีถ้าเป็นเรื่องที่เราเคยเจอมาแล้ว
เราก็อาจมีคำตอบที่เข้าใจ เพราะเรา "รู้สึก" กับมัน
แต่แน่นอน ไม่ใช่ทุกเรื่อง
ถ้าเรื่องนั้นคุณไม่เคยเจอเอง คุณจะใช้วิธีคิดแบบไหนในการตอบคำถาม

ถ้าคุณเจอสึนามิบ้านพังไปทั้งหลัง คุณจะทำยังไง
บางคนฆ่าตัวตายตามบ้านไปเลยก็มี คุณจะทำแบบนั้นมั้ย
หรือจะตอบว่า ชีวิตมีคุณค่า ต้องมีหวังสิ เงยหน้าสู้ฟ้าต่อไป

ถ้าคุณต้องเลิกกับแฟนด้วยเหตุผลที่ไม่คาดคิด คุณจะทำยังไง
ยอมรับความจริงแล้วเรียนรู้กับมัน
หรือมานั่งคาดคั้นหาคนผิดในสถานการณ์นี้ จะได้ชัดเจน

ถ้าสิ่งที่คุณเลือก ทำให้คนที่คุณรักและรักคุณต้องเสียใจ คุณจะทำยังไง
ยอมทุกอย่างเพื่อไม่ให้คนอื่นเสียใจ
หรือเป็นตัวของตัวเอง แล้วเลือกทางที่คุณต้องการ

เรื่องแบบนี้พูดได้คำเดียวว่า "ไม่เจอเองไม่มีวันรู้"
ถ้าไม่อยู่ในสถานการณ์เอง ก็ไม่มีทางเข้าใจความรู้สึกของคนวงใน

มีคนเคยพูดกับหมี่ว่า เข้าใจแล้วว่าทำไมตอนนั้นหมี่ถึงทำอย่างนั้น
คือได้เจอเองแล้วไง ไอ้ที่เคยด่าว่าเราเลว ตอนนี้เลวเองแล้ว
หมี่ได้บทเรียนนะ ว่าอย่าด่าใครในเรื่องที่เราไม่เคยเจอ
มันจะอายตัวเอง

หรือแม้แต่เรื่องที่เราเจอแล้ว ก็ยังไม่ควรที่จะตัดสินใครโดยใช้ความคิดประเภท
"กูไม่ทำอย่างนั้นหรอก เพราะมันไม่นั่นไม่นี่ไม่โน่น กูว่ามันน่าจะโน่นนี่นั่น"
ก็คนเราเกิดมาในครอบครัวต่างกัน ประสบการณ์ต่างกัน วิธีคิดต่างกัน
แล้วองค์ประกอบในเรื่องราวทั้งหมดก็ต่างกัน
คุณจะรู้เรื่องทั้งหมดของชีวิตคนอื่นได้ยังไง

ถ้าเขาถามความคิดเห็นก็ว่าไปอย่าง แนะนำไปตามเส้นทางของเรา
แต่ถ้าเขาไม่ถาม ไม่ใช่เรื่องที่เราต้องไปด่าหรือตัดสินใจแทน
ยิ่งเรื่องที่ไม่ได้เกี่ยวกับตัวเอง ไม่ได้เข้าไปอยู่ในเหตุการณ์
ยิ่งไม่ใช่เรื่องที่จะต้องไปวิพากษ์วิจารณ์

เพราะความถูกผิดอาจจะมีเส้นที่ชัดเจนอยู่จริง
แต่เราไม่ใช่พระเจ้า เราจะรู้ได้ 100% เหรอ ว่าเส้นมันอยู่ตรงไหน

พูดแล้วก็เหมือนด่าตัวเอง
เพราะเวลาเมาท์เรื่องข่าวดารา กูก็เป็นแบบนี้ล่ะน้าาาาา
แต่เมาท์ดาราหรือวิจารณ์เรื่องของคนไม่รู้จัก มันก็แบบนึง
เพราะมันไม่มีผลกับชีวิตเขา
แต่ถ้าเป็นคนรู้จัก
คำพูดของคุณอาจจะทำให้เขาน้ำตาไหลก็ได้นะ

เพราะเสียใจเหรอ
ป่าว...
เพราะแค้นที่อีนี่ไม่ได้รู้เรื่องอะไรแต่ด่ากูซะเสียหมาเลย :p

19.3.54

สิ่งที่หายไป

จากประสบการณ์อันแสนเจ็บปวดที่เกิดขึ้นด้วยความโง่และไร้สติของหมี่
ทำให้ได้บทเรียนมาหนึ่งข้อ

รถล้มครั้งนี้ฝากความอับอาย (ตัวเอง) และบาดแผลรอยใหญ่ที่แขนขาไว้
แถมรถยังมีรอยถลอกเต็มไปหมด
เป็นรอยถลอกที่คอยบาดข้อเท้าทุกครั้งที่เผลอไปโดน
คล้ายๆ กับอาการเจ็บแปลบที่หลายๆ คนมักจะเป็นหลังการบาดเจ็บครั้งใหญ่

สิ่งสำคัญที่ได้เรียนรู้ก็คือ ความเสียหายที่แย่ที่สุด ไม่ใช่โฉมของหมี่
ไม่ใช่สภาพหรือเครื่องของรถ
ไม่ใช่เงินค่ายาทาแผลหรือค่าซ่อมรถใดๆ
มันคือความมั่นใจที่ถูกทำลายอย่างไม่มีชิ้นดี

หมี่สังเกตตัวเอง ก่อนหน้านี้ จะขี่รถเร็วฉวัดเฉวียนยังไง ก็ยังไม่น่ากลัว
ออกจะสนุกสนานด้วยซ้ำ
แต่หลังรถล้มคราวนี้...
แค่ทางไม่เรียบหรือรถกระตุกเล็กน้อย ยังทำให้หมี่ใจหายวูบได้อย่างง่ายๆ

เคยได้ยินไหมคะที่เขาบอกว่า "ถ้ามีความมั่นใจ ทำอะไรก็สำเร็จ"
ตอนนี้รู้สึกได้เลยว่า ความกลัวที่มากกว่าเดิม เพิ่มโอกาสเสี่ยงให้รถล้มได้ง่ายขึ้น
เพราะมือที่จับแฮนด์รถ ไม่มีความมั่นคงอีกต่อไปแล้ว

เรื่องนี้ทำให้นึกถึงเรื่องอื่นๆ อีกหลายเรื่อง
ที่เหมือนจะไม่เกี่ยว แต่ก็เกี่ยว

เมื่อใครสักคนล้มเหลวหรือผิดหวัง
สิ่งที่สูญเสียมากที่สุด อาจไม่ใช่เงินทอง ไม่ใช่ตำแหน่งหน้าที่
ไม่ใช่เครดิตดีๆ ไม่ใช่ความสัมพันธ์
แต่เป็นความมั่นใจที่จะเริ่มต้นทำอะไรสักอย่างอีกครั้ง
และเมื่อไม่มีความมั่นใจ ไม่ว่าจะก้าวไปทางไหน ก็ยาก


"สิ่งที่หายไป มันไม่ใช่แค่ดอกไม้
แต่มันหมายความถึงบางสิ่งที่สำคัญ
สิ่งที่หายไปมันไม่ใช่แค่คำหวาน
แต่กับตัวฉันที่ว่างเปล่าที่เฝ้ารอ ก็ใจหายไปทั้งใจ"

ของที่มองเห็น มีเงินก็ซื้อได้ หาใหม่ไม่ยาก
แต่ความรู้สึกที่มองไม่เห็น ทำยังไงให้กลับมาเต็มได้เหมือนเดิม
ใครรู้บอกที

13.3.54

กว่าจะรู้

คุณเรียนรู้จัก "ความรู้สึก" ต่างๆ เป็นครั้งแรกเมื่อไหร่คะ

ตอนเด็กๆ หมี่ไม่รู้จักความรู้สึก "หิว"
คงเป็นเพราะแม่จับกินข้าวตรงเวลาเป๊ะตลอด
รู้จักการหิวครั้งแรก น่าจะตอนประถมที่เราต้องรอเวลากินข้าว
จำได้ว่า เหมือนกับรู้สึกอะไรบางอย่างที่ท้อง
พอกินข้าวแล้วหาย ก็เลยอ๋อ
นี่ล่ะมั้ง ที่เรียกว่า หิว

เคยเห็นในละคร มีตัวละครที่เสียใจจนกินข้าวไม่ลง
สงสัยมาหลายปี เพราะไม่เคยมีความรู้สึกแบบนั้น
ปรากฏว่า วันหนึ่ง เจอแฟนเก่าไปกับแฟนใหม่
ช็อคไปวันกว่าๆ ไม่หิวเลยสักนิด ผิดวิสัย
ก็เลยเข้าใจแล้วว่า อาการกินข้าวไม่ลง เป็นยังไง

ใครๆ ก็รู้แม่รักลูกยิ่งกว่าชีวิต
แต่เอาเข้าจริงกว่าจะสำนึกได้ว่าแม่รักเราแค่ไหน
ก็ดื้อด้านขัดคำสั่งเอารถไปต่างจังหวัดให้รถมันคว่ำหวิดตาย
พอได้ยินเสียงแม่ร้องไห้ ก็เก็ททันที
เสียดเข้าไปในใจ

อันนี้เป็นเรื่องของเพื่อนฝูง
เยอะนักเชียว ประเภทจิกแฟน หวงแฟน ทะเลาะกันค่ำเช้า
ไอ้เราเป็นผู้หญิงขี้วีน ไม่เคยยอมใคร เลยไม่ต้องจิกใคร
ไม่ค่อยเข้าใจด้วยว่าจะไปจิกทำไมให้เค้ารำคาญ
สุดท้าย...
ไม่ต้องบอกใช่มั้ยคะ ว่าหมี่ก็เจอเข้าจนได้
รำคาญตัวเองมาก แต่ก็ยังไปจิกเขาอยู่ดี

เรื่องร้องไห้หยุดไม่ได้ก็เหมือนกัน
ใช้ชีวิตมา 20 กว่าปี ไม่เคยเป็น
ตอนนี้รู้แล้วว่าดราม่าแบบนั้นแม่งโคตรทรมาน

เวลาคนพูดว่าเกลียดตัวเอง
คนเซลฟ์สูงแบบหมี่ไม่ค่อยจะอินด้วยเท่าไหร่
แต่พอนานเข้า เจ็บจากความเป็นตัวเองบ่อยเข้า
แล้วไม่หายสักที ทำไงก็ไม่หาย
เลยเริ่มเกลียดตัวเองมากขึ้นเรื่อยๆ เหมือนกัน


วันนี้ไปอ่างแก้ว นั่งอ่านหนังสือ
เจอนกสองตัวหน้าตาเหมือนกัน เดินอยู่ข้างๆ กัน
ท่าเดียวกัน จังหวะเดียวกัน
ตลกดี ก็เลยนั่งจ้องมัน

ปรากฏว่า สักพัก ตัวนึงก็กระโดดแซงหน้า แล้วแยกไปอีกทาง
เลี้ยวไปเลี้ยวมา แล้วก็เดินวนมาใกล้กันเหมือนเดิม
อีกแป๊บก็เดินแยกกันอ้อมต้นไม้ แยกซ้ายขวาไปไกล
จังหวะการเดินก็เหมือนกันบ้าง ไม่เหมือนบ้าง
แต่อีกแป๊บก็เดินมาใกล้ แล้วไปด้วยกันเหมือนเดิม

ตอนจบฉากนี้ นกสองตัวยืนริมอ่างแก้วอยู่ข้างๆ กัน

หมี่ไม่รู้ว่าคุณรู้จัก "ความรู้สึก" เหล่านี้กันตอนไหน
เจอเองกับตัว หรือฟังเขาเล่ามา
แต่หมี่เชื่อว่า ชีวิตของคนทุกคนมีเรื่องให้เรียนรู้เหมือนๆ กันนั่นแหละ
ความสุข ความทุกข์ รอยยิ้ม น้ำตา ความเจ็บปวดทั้งร่างกายและหัวใจ
ความล้มเหลว ความสำเร็จ ความเข้าใจโลก ความจริงของชีวิต
จนกระทั่งความตาย

เพียงแต่เส้นทาง จังหวะ วิธีการ คงแตกต่างกันไป
บางคนอาจจะแตกต่างจากเรามากๆๆๆ
แต่นั่นไม่ได้หมายความว่า เราจะไม่มีโอกาสเดินด้วยกันในบางเวลา
และไม่ได้หมายความว่า
สุดท้าย เราจะไม่ได้ยืนอยู่ข้างกัน


ปล. บล็อคนี้ขออุทิศให้ความเจ็บปวดทั้งปวงที่ได้รู้จักตลอดปีที่ผ่านมา
และน้ำตาที่ยังไม่หยุดไหล
ได้แต่หวังว่าตอนจบจะสวยงามเหมือนฉากวันนี้นะคะ

4.3.54

3 มิติ

ทำลายสถิติอีกแล้ว
เดือนที่แล้วไม่ได้เขียน Blog เลยสักเรื่องเดียว
ดูเหมือนว่าชีวิตช่วงนี้ไม่มีแรงบันดาลใจ
มีคนก็บอกว่า หมี่ชิลจนติดนิสัยขี้เกียจแล้วนะ
จริงเหรอ!!

เดือนที่แล้วลองใช้ชีวิตอีกแบบ
ไม่ติดอินเตอร์เน็ตในห้อง
สนุกดีนะ เพราะทุกๆ เสาร์อาทิตย์จะมีคนมาเยี่ยม มีเพื่อนไปเที่ยว
มีสัปดาห์นึงกลับลงไปกรุงเทพ คือ สัปดาห์วาเลนไทน์

ครั้งนี้ ขออนุญาตเขียนเรื่องความรัก (นานๆ จะน้ำเน่าทีนะ)
เป็นเรื่องหนึ่งที่ได้เรียนรู้ เมื่ออยู่ระยะไกล

ปกติหมี่เป็นคนไม่ค่อยแสดงออกว่ารัก
ไม่ตาม ไม่ง้อ ห้ามยอมอีกฝ่ายมากกว่า
คือดูเหมือนตัวเองจะมีทัศนคติโดยไม่รู้ตัวว่า ถ้ารักมาก เดี๋ยวแพ้
โดยเฉพาะหากเป็นความรักที่ต้องได้รับการตอบสนองคืน ยิ่งต้องไม่แพ้

สถานการณ์เป็นแบบนั้นมาตลอด วางตำแหน่งเป็นผู้ชนะได้เสมอๆ
ซึ่งมันก็ดีนะ เพราะฝ่ายที่ไม่ต้องวิ่งตามก็ไม่เหนื่อย
วันไหนที่เจ็บ ก็ฟื้นตัวเร็ว เพราะคุ้นเคยกับการเป็นผู้ชนะ

แต่ไม่รู้ว่าพอโตแล้วเจอกับอะไรเยอะขึ้นรึเปล่า เจอกับความรู้สึกแย่ๆ หลายอย่าง
ทำให้ความกลัวมันก็มากขึ้นตามไปด้วย
อยู่ดีๆ ก็กลัวการแพ้ขึ้นมาซะอย่างนั้น

ปัญหาของมันคือ เวลาเรากลัวการแพ้ เรามักมีแนวโน้มที่จะแพ้มากขึ้น
เพราะเราจะขาดความมั่นใจ
และเวลาเราขาดความมั่นใจ เราจะเรียกร้องความมั่นใจจากคนอื่น
ทำให้เรางี่เง่า ไร้เหตุผล จนทำตัวน่าเบื่ออย่างที่ไม่เคยเป็น
สุดท้ายก็โดนทิ้ง แพ้ราบคาบ

จริงๆ หมี่เชื่อนะว่าสิ่งที่ทำให้ชนะ ก็คือความมั่นใจแบบไม่กลัวแพ้
ซึ่งเกิดมาจากตัวเอง ทำเอง เรียกร้องจากคนอื่นไม่ได้

เอาเถอะ
ยังไงความรักและความสัมพันธ์ก็ไม่ใช่เรื่องการแพ้หรือชนะ
ไม่ใช่ใครเจ็บมากกว่าใครหรือใครทิ้งใครก่อน

หมี่ลองถามความรู้สึกของตัวเองในเวลาต่างๆ
เวลาที่อีกฝ่ายรักเรามากๆ ดูแลเราดีๆ
เราก็มีความสุขมาก ทำให้อยากอยู่กับเขามากขึ้น
อีกฝ่ายก็คงเหมือนกัน
เรารักเขามาก เขาก็ต้องมีความสุข อยากอยู่กับเราไปนานๆ

ไม่ชอบให้เขาจิกตัวเอง ไม่อยากรู้สึกว่าเขาไม่เชื่อใจ
ก็อย่าไปทำ เพราะเขาคงไม่ชอบเหมือนกัน

เวลาเขายอม เรารู้สึกว่าน่ารัก
เราก็น่าจะยอมบ้าง เขาจะได้รู้สึกว่าเราน่ารัก

ความรักเป็นเรื่องของการต่างตอบแทนรึเปล่า
เป็นกฏธรรมชาติที่พระเจ้าตั้งไว้ตั้งแต่แรกแล้วล่ะมั้ง
พระเจ้ารักเรา ก็ดีกับเรา เราเลยรักพระเจ้า
แล้วถ้าพระเจ้ายังดีกับหมี่ไปเรื่อยๆ
หมี่ก็รักพระเจ้าไปเรื่อยๆ

อย่างนี้ถ้าคุณดีกับเราไปเรื่อยๆ เราดีกับคุณไปเรื่อยๆ
ก็ไม่ต้องเลิกกันแล้วสิ
ไม่มีใครแพ้สักคน
ดีจัง...


Paradox - 3มิติ


แด่เธอ ผู้เป็นทุกอย่าง จะมีฉันรอคอยเดินร่วมทาง ฝันคงไม่ไกล

แต่เธอ จืดจางหายเลือนลางเปลี่ยนไป เส้นทางฝันของฉันจบลง นานแม้จะนาน

เฝ้ารอ..คอยอยู่ อาจจะเป็นแค่ฝัน วัน..ที่ดีกว่า เมื่อเธอกลับมาที่เดิม

จะมีความรัก ทุกๆอย่าง จะมีความฝันที่ปลายทาง

จะมีเราสอง เดินร่วมทาง

แด่เธอ ผู้ทำให้รักมีมิติ จะทำให้ฉันมีปลายทาง จะทำให้รักทุกๆอย่าง

แต่เธอ ขาดสิ่งเดียว ฉันรออยู่ฝันยังห่าง นานแม้จะนาน

แด่เธอ จะมีความรัก ทุกๆอย่าง จะมีความฝันที่ปลายทาง จะมีเราสอง เดินร่วมทาง

แด่เธอ ผู้ทำให้รักมีมิติ จะทำให้ฉันมีปลายทาง

ผู้ทำให้รักฉันมีจริง

16.1.54

วิชาสุดท้ายที่มหาวิทยาลัยไม่ได้สอน

ผ่านวันปีใหม่ 2011 มา 16 วันแล้ว
ผ่านวันที่ย้ายมาอยู่เชียงใหม่ได้ 8 วัน

เป็นครั้งแรกในชีวิตตั้งแต่เกิดมา 27 ปี ที่ใช้ชีวิตคนเดียว
อยู่บ้านคนเดียว ตื่นคนเดียว นอนคนเดียว
ไปไหนมาไหนคนเดียวอยู่ตลอดเวลา

ถึงแม้ว่าการอยู่กรุงเทพจะนอนคนเดียวและเดินทางคนเดียวเหมือนกัน
แต่ก็แตกต่างจากที่นี่อย่างสิ้นเชิง
อย่างน้อย ที่กรุงเทพ เราก็รู้ว่าเราจะกลับไปหาใครที่เราคุ้นเคย
หรือออกจากบ้านไปเจอใครที่เราคุ้นเคย

ตอนที่บอกใครๆ ว่าจะมาอยู่เชียงใหม่
หลายคนก็บอกว่า ติสท์จังวะ แก่แล้วนะ ไม่ใช่เด็กๆ

จริงๆ เพราะแก่แล้วนั่นแหละ ก็เลยยิ่งต้องรีบมา
ถ้าเรามีเวลาเหลือน้อย เรายิ่งต้องรีบทำสิ่งที่เราอยากทำ
และยิ่งถ้าคนที่เรารักมีเวลาเหลือน้อย
ยิ่งต้องรีบเดินทางออกจากบ้าน
เพราะวันที่เขาต้องการให้เรากลับบ้านจริงๆ
จะได้ไม่มานั่งเสียดายว่า วันที่กูไปได้ ทำไมกูไม่ไป

เมื่อกี๊อ่านหนังสือ "วิชาสุดท้ายที่มหาวิทยาลัยไม่ได้สอน"
มีสุนทรพจน์เจ๋งๆ ของหลายๆ คนอัดแน่นเป็นแรงบันดาลใจอยู่
คนหนึ่งในนั้น (จำไม่ได้ว่าใคร) บอกว่า เราต้องรู้สึกชอบตัวเอง
เพราะไม่ว่าเราไปไหน เราก็จะอยู่ที่นั่น
ถ้าเราไม่ชอบในความเป็นเรา
ก็คงจะทรมานมากที่ต้องอยู่กับคนที่ไม่ชอบไปตลอดชีวิต

คนเรามีวิธีการใช้ชีวิตต่างกัน
มีทางเลือกและมีวิธีในการเลือกที่ต่างกัน
หมี่ดีใจที่หมี่เกิดมาเป็นคนแบบนี้
คิดแบบนี้ เลือกแบบนี้

คนบางคนอาจจะภูมิใจและรู้สึกดีกับชีวิตที่มั่นคง
ก้าวหน้าในการงาน มีเงินมากๆ
มีตำแหน่งหน้าที่ที่เอื้อให้ทำอะไรหลายๆ อย่างที่คนอื่นทำไม่ได้
มีคู่ครองที่ดี มีครอบครัวที่อยู่พร้อมหน้าพร้อมตา

จะว่าไป หมี่ก็เคยฝันถึงชีวิตแบบนั้น และเคยพยายามจะทำ
แต่อย่างที่บอก...
คนเราแม่งมีวิธีการใช้ชีวิต (ที่ฝังในกมลสันดาน) ไม่เหมือนกันจริงๆ
ทำให้ทุกวันนี้ก็เลยต้องเหนื่อย เหงา เศร้า นอยด์กับการใช้ชีวิตที่เชียงใหม่
รู้ทั้งรู้ว่า ยืนอยู่กับที่สบายกว่า 27 เท่า
แล้วก็ไม่รู้ด้วยว่าอะไรคือเหตุผลจริงๆ ที่ทำให้เลือกคำตอบข้อนี้
อาจเป็นเพราะมีนิยามของคำว่า "ประสบความสำเร็จในชีวิต" ที่ไม่ได้เป็นแพทเทิร์น
ซึ่งมันก็ทำให้ชีวิตของหมี่ "ดี" ไปอีกแบบ


ที่จริงหมี่ชอบชีวิตที่เชียงใหม่มาก อากาศดี อาหารอร่อย ราคาถูก
บรรยากาศสบาย คนใจดี น่ารัก
แต่เขียนบล็อกนี้เพราะเหงา คิดถึงแม่ คิดถึงเพื่อน คิดถึงคนที่กรุงเทพ
แล้วก็เหน็ดเหนื่อยกับงานใหม่ๆ เล็กน้อย

เวลาแบบนี้แหละ ชอบมีคำถาม
แต่คำถามก็มีคำตอบอยู่แล้ว

ความรู้สึกแปลกๆ แบบนี้ จะว่าไปก็โอเคดีนะ
สวัสดีปีใหม่และชีวิตใหม่ค่ะ