27.3.57

Potato Chip Rock

เราเป็นคนที่ค่อนข้างมีปัญหากับความอดทน
คืออดทนอะไรนานๆ ไม่ได้เลย
นั่งหรือยืนท่าเดิมนานๆ ไม่ได้
เรื่องความเจ็บปวดนี่ทนได้น้อยมาก 
นิดๆหน่อยก็โวยวายจะเป็นจะตาย
อดทนกับความเสียใจไม่ได้ 
อดทนกับการรอคอยไม่ได้
อดทนกับความรู้สึกบั่นทอนอะไรได้น้อยมากกกก
คือไม่มีความสามารถทางด้านนี้

เกริ่นไปก็แค่ต้องการจะบอกว่า ถึงเราจะไม่มีความอดทน
แต่ก็มีบางอย่างเหมือนกัน ที่มันจำเป็นจะต้องอดทน

ที่อเมริกา ไม่รู้ว่าโดยเฉพาะซานดิเอโกหรือเปล่า
มีกิจกรรมหนึ่งที่คนชอบทำกันมาก ก็คือการ Hiking
ตอนแรกที่ได้ยิน เราก็จินตนาการไปว่ามันคือการปีนหน้าผาแบบหน้าผาจำลอง อะไรเทือกนั้น
แต่ Hiking ที่นี่ ก็คือการเดิน (หรือวิ่ง) ไปตามเส้นทางธรรมชาติธรรมดานี่แหละ 
ซึ่งมันก็จะขึ้นๆ ลงๆ เพราะเมืองที่นี่ส่วนใหญ่จะเป็นภูเขา

เราเคยไป Hiking อยู่ไม่กี่ครั้ง
และเส้นทางยอดฮิต อันเป็นเส้นทางแห่งความภาคภูมิใจของเราด้วย
ก็คือเส้นทาง Mount Woodson Trail อันจะนำไปสู่ Potato Chip Rock 
หรือก้อนหินมันฝรั่งอันบางเหลือเชื่อที่หลายๆ คนเคยเห็นในรูปของเรานี่เอง
ภาพโพสต์สวยๆ ของเพื่อนๆ และเสียงลือเสียงเล่าอ้างของมัน ทำให้เราอยากจะไปลองดูสักตั้ง
ก็ชวนสหายคนสนิทที่สุดในโลกวางแผนหาวันเวลาเดินทางกันไป

เส้นทางนี้ถือว่าโหดมากสำหรับมือใหม่ ไร้พลัง ไร้การออกกำลังกาย และไร้ความอดทนอย่างเรา
ระยะทางไปกลับ ประมาณ 6 ไมล์ หรือราวๆ 10 กิโลเมตร แต่ว่าตอนขึ้นเป็นทางชันนะจ๊ะ

เราออกเดินทางจากตีนเขาประมาณบ่ายโมงได้ คืออากาศอาจจะไม่ร้อนเหมือนที่ไทย แต่แม่งก็ไม่ธรรมดา
แน่นอนว่าระยะออกตัวก็ฟิต ตามประสา
แต่เดินไปสักครึ่งไมล์ได้ 
ปรากฏว่ามาเต็ม อาการหอบ หน้ามืด ใจเต้นเร็ว เหมือนจะเป็นลมล้มนอนมันให้ได้ตรงนั้น
สหายเราที่ค่อยๆ เดินเรื่อยๆ นำหน้าไปไม่ไกล ก็ต้องเดินกลับมาดู
เรานั่งแหมะลงไปแทบจะสิบห้านาทีได้ กลัวจะไปตายเอาจริงๆ ถ้าริเดินต่อ
แต่ว่าไหนๆ ก็ตัดใจมาแล้ว ก็ต้องเดินไปให้ถึงที่สุด (วะ)

ไม่น่าเชื่อว่าจากจุดที่เกือบจะเป็นลม
ร่างกายแม่งเหมือนดึงเอาพลังส่วนลึกที่ไม่เคยค้นพบมาก่อนออกมาใช้ว่ะ
ถึงอย่างนั้น ตลอดการเดินทาง เราก็ยังต้องแวะพักแทบจะทุก 20 นาที
มีการถามไถ่ว่า ไหวมั้ย หรือจะมาต่อวันหลัง ไม่ต่ำกว่า 5 ครั้ง

ถ้ามีใครเคยดู Simpson ตอน Are we there yet? ที่เด็กๆ คอยถามพ่อตอนไปเที่ยว
บอกไว้เลยว่าเราก็อาการไม่ต่าง สหายยังคงแซวอยู่จนทุกวันนี้
เดินเหนื่อยแค่ไหนก็เถอะ คอมันก็จะเงยตลอดเวลา
หาว่าไอ้หินก้อนนั้นมันจะโผล่มาให้เห็นเมื่อไหร่ นานเหลือเกินแล้ว

สุดท้ายเราก็ไปถึงจนได้
สหายเรา ถึงจะแบกเป้ใบใหญ่เดินนำหน้าเราไปตลอดทาง
หันกลับมาจิกมาเรียกบ้างอะไรบ้าง
พอไปถึงก็ยังดูสบายๆ 
แต่เราสิ เหมือนหมาหอบแดดยังไงยังงั้น
เห็นหินแล้วเหมือนเห็นสวรรค์ 
คือมันเหนื่อยมาก มันโหดมาก มันร้อน 
ตอนปีนขึ้นไปบนหินก็ทุลักทุเล

แต่เราก็โคตรภูมิใจ
ตั้งใจว่ากลับมาเราจะเขียนโน้ตถึงเรื่องในวันนั้นทันที
เพราะเราไม่ใช่คนที่จะทำอะไรแบบนี้ได้เลย
ตอนก่อนไป เราคิดว่าการได้ภาพสวยๆ บนหินนี่เป็นเรื่องง่าย
ที่ไหนได้ ไปถึงแล้วแทบจะไม่มีอารมณ์ครีเอทโพสต์ด้วยซ้ำ
จริงๆ ยังเสียดายอยู่ที่ไม่ได้นั่งอ้อยอิ่งดูวิวบนหินสักครึ่งชั่วโมง
สหายเร่งแล้วก็มีคนต่อคิวถ่ายรูปอยู่เรื่อยๆ เลย


















ถ้าเราไปคนเดียว ไม่มีทางเลยที่เราจะได้รูปนี้กลับมา
ที่เราไปถึงหินก้อนนั้นได้เพราะ มีคนเดินไปเป็นเพื่อนเรา
การที่มีคนไปกับเราแล้วคอยลากคอยดึงเราขึ้นนี่ช่วยได้มาก
อีกอย่างคือวิวข้างทางมันสวย มันมีอะไรให้ดู (แม้หลายช่วงจะไม่มีอารมณ์ดูเลย) 
มันมีลมพัดมาเป็นระยะ แล้วเราก็รู้ว่า เราไปถึงบนนั้นแล้วเราจะเจออะไร
ถ้าใครมีโอกาสได้ไปเที่ยวซานดิเอโก หรืออยู่ที่นั่น
เราแนะนำเลยว่า จูงมือคนที่คุณรักแล้วก็ไป Hiking ที่นั่นกันสักรอบ

จริงๆ แล้วคนอย่างเรา ถ้าจะอดทนมันก็ทำได้นะ
ตอนนี้เราต้องอดทนอย่างมากกับการรอคอย
อดทนมากจริงๆ แบบที่ไม่เคยพยายามมาก่อน
ตอนนี้เรารู้จุดหมายของเรา เรารู้ว่าเรารอแล้วเราจะได้อะไร
แล้วเรากำลังทำให้ระหว่างทางของเรามันเพลิดเพลินด้วย
(นี่เป็นสาเหตุที่ทำให้มีทริปต่างๆ งอกขึ้นมาเรื่อยๆ แล้วก็หางานหาอะไรทำตลอดๆ)

อีกอย่างนึงที่สำคัญมากเหมือนกัน 
คือเราคิดว่าเรามีคนที่อดทนด้วยกันกับเรา  
คิดไปเองมั้ยไม่รู้ แต่ถ้าหากวันนึงเรารู้ว่าเราต้องอดทนคนเดียว
เราคงไม่มีแรงเดินไปจนถึงจุดหมายแน่ๆ
ก็เป็นคนขี้เหงาอะ ไม่มีความอดทนอีกต่างหาก 
คาดว่าอาการพวกนี้จะดีขึ้นในเร็ววันล่ะ 





6.3.57

ชอบ หลง รัก

วันนี้ น้องสาวคนหนึ่งส่งรูปมาให้ดูทางไลน์
แล้วก็เห็นเพื่อนโพสต์รูปเดียวกันในเฟสบุค
เป็นรูปจากเว็บกระปุกดอทคอม























น้องสาวคนนั้นบอกให้ลองเช็คความรู้สึกตัวเองดู
ว่าสิ่งที่กำลังเป็นอยู่ตอนนี้คืออะไร

จากที่เคยรู้จักกับความชอบ ความหลง ความรักมาบ้าง
มีคนรักที่คบหากันไม่ใช่แค่คนสองคน
เราไม่แน่ใจว่า กราฟนี้ มันจำกัดความรู้สึกที่ว่าได้ชัดเจนถูกต้องมากน้อยแค่ไหน

เป็นไปได้จริงๆ เหรอที่เราอ่านกราฟนี้ แล้วจะบอกตัวเองได้ทันทีว่า
นี่เราแค่ชอบเค้าว่ะ
นี่เราหลงเค้าว่ะ
นี่เรารักเค้าเข้าแล้วว่ะ

แล้วพอเรารู้ตัวว่าเราแค่ชอบเค้าเฉยๆ หรือรักเค้าเข้าแล้ว
หรือแค่กำลังหลงหัวปักหัวปำ
เราทำอะไรกับความรู้สึกตัวเองได้บ้าง
มนุษย์หยุดความรู้สึกตัวเองได้ตั้งแต่เมื่อไหร่

ความรู้สึกเหล่านี้เป็นอะไรที่ซับซ้อนมากกว่านั้น
ยิ่งมาอยู่ในตัวมนุษย์เลอะเทอะอย่างพวกเรา
มันก็ยิ่งซับซ้อนขึ้นไปใหญ่

คนบางคน ชอบเค้านิดหน่อยก็คิดถึงเค้าเกือบตาย
ในขณะที่คนบางคน รักเค้าจะตาย แต่ไม่ได้รู้สึกคิดถึงห่วงหาอะไรเท่าไหร่เลย
และความหลง บางทีก็ไม่ได้อยู่แค่เพียงชั่วขณะด้วย

ความชอบของเรา กลายมาเป็นความรักตั้งแต่ตอนไหน เราไม่เคยรู้
อะไรที่หายไป อะไรที่เพิ่มขึ้นมา เราก็ไม่เคยรู้
ความรักที่ไม่หายไปจากใจ แต่ไม่ต้องการอยู่ด้วยกันอีกต่อไป
ยังเป็นความรักอยู่ไหม เราก็ไม่รู้
ความหลงที่เค้าว่ากัน เราเคยเรียกมันว่ารัก
แล้วความรู้สึกจริงๆ ที่เกิดขึ้น คือรักหรือหลง เราก็ไม่รู้
เราควรจะใช้อดีตที่เรารู้สึกจริง หรือปัจจุบันที่เรามองกลับไป
มาอธิบายมันดี เราก็ไม่รู้

ปัญหาที่เกิดขึ้นจริงๆ
เราคิดว่า เพราะมนุษย์จัดการกับความรู้สึกของตัวเองไม่ได้
อยากรัก ก็รักไม่ได้
อยากเลิกหลง ก็เลิกไม่ได้
คิดถึง ทำยังไงให้หายคิดถึง
อึดอัด ทำยังไงให้หายอึดอัด
แม้เราพยายามจะหาคำอธิบายให้กับความรู้สึกต่างๆ ของตัวเอง
เพราะถ้าได้รู้จักตัวเอง เราคงจะรู้สึกปลอดภัยขึ้นระดับหนึ่ง
แต่เราว่า ก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี

ความรู้สึกระหว่างคนสองคน มันคงไม่ใช่แค่ ชอบ หลง รัก
มันคือ ห่วงใย ผูกพัน หึงหวง อิจฉา เคยชิน สบายใจ ใส่ใจ
มันผสมปนเป ก่อร่างเป็นความรู้สึกระหว่างคนสองคนที่มีรูปแบบเฉพาะตัว

เราคิดว่า ความสัมพันธ์ที่หนึ่งคนมีกับคนอีกสิบคน
มันก็เป็นเหมือนความรักสิบรูปแบบ
ไม่ซ้ำกัน ไม่เหมือนกัน และใช้วิธีการจัดการที่แตกต่างกัน
เป็นการเรียนรู้ใหม่ตลอดเวลา

นี่อาจจะเป็นหนึ่งเหตุผล
ที่ทำให้คนเหนื่อยกับความสัมพันธ์ได้ง่ายดายเหลือเกิน

ก็ถ้าเรื่องแบบนี้มันอธิบายได้ง่ายเหมือนกราฟข้างบน
ชีวิตคงง่ายกว่านี้เยอะ


ร้านกาแฟ T-ten
6 มีนาคม 2557
20.38 น.