27.12.53

เมอรรี่คริสตมาส

จากที่เคยเขียนบล็อกเดือนละ 7 เรื่อง
กลายมาเป็นเดือนละ 3 เรื่อง
ตอนนี้เหลือเดือนละเรื่อง (เป็นอย่างมาก)
ไม่รู้ว่าเพราะอะไรเหมือนกัน

ผ่านคริสตมาสมาแล้ว 2 วัน
วันคริสตมาสไม่ได้ไปร้องเพลงแคลอริ่งอย่างที่ทำมาหลายๆ ปี
แต่นอนทั้งวันแล้วก็ไปปาร์ตี้กับเพื่อนที่นิเทศ แบบป่วยๆ

เมื่อวานเป็นวันครบรอบ 6 ปีที่เกิดสึนามิ
แล้วก็เป็นวันเกิดแฟนเราด้วย
ไม่ได้ไปร่วมงานรำลึกสึนามิที่ไหน
แต่นอนทั้งวันแล้วก็ไปปาร์ตี้วันเกิดแฟน แบบป่วยๆ เหมือนกัน

เวลาเดินไปข้างหน้าเรื่อยๆ ก็จริง
แต่รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังเดินถอยหลัง
ทำตัวเป็นเด็ก เอาแต่ใจ ตามใจตัวเอง

ตื่นสาย นอน อ่านการ์ตูน ออกไปใช้เงิน
ใช้ชีวิตไปวันๆ รอย้ายถิ่นฐาน
(ทำงานบ้างเป็นบางช่วงที่ต้องทำ)

ชอบชีวิตแบบนี้เหมือนกันนะ
ไม่ค่อยได้ทำตัวแบบนี้เท่าไหร่
แบบเรื้อนๆ เน่าๆ

แต่ขนาดจะอยู่สบายๆ พระเจ้าก็ไม่ยอม
ให้ป่วยหนัก เจ็บคอน้ำตาไหลซะนี่

สงสัยสบายมากไปเลยป่วย T_T
สบายมากไป สมองเลยไม่ค่อยได้ใช้
สงสัยคิดแต่เรื่องของตัวเอง ก็เลยไม่มีอะไรจะเขียน

นี่เป็นอีกหนึ่งบทพิสูจน์ว่า
พระเจ้ารักเราแบบไม่มีเงื่อนไข
ไม่ขึ้นอยู่กับว่าเราทำดีหรือไม่
เรื้อนขนาดนี้พระเจ้ายังดูแลทุกเรื่องเลย

เนี่ยแหละของขวัญชิ้นสำคัญ
Merry Christmas นะคะ

ปล. ซึ้งใจพ่อ
พ่อรักษาคอหนูหน่อยนะพ่อนะ
หมอให้ยามากินก็ไม่หาย T_T

21.11.53

วันลอยกระทง วันแห่ง...

วันลอยกระทงปีนี้มีหลายอย่างที่แตกต่างออกไป

หลายปีแล้วที่หมี่ไม่ได้ไปลอยกระทงที่ไหน
ตอนที่ยังอายุน้อยๆ มีเรี่ยวแรง ก็สนุกสนานกับงานลอยกระทงที่คนเยอะๆ
แต่ตอนนี้ อย่างมากก็แค่นั่งรอญาติมาลอยกระทงที่แม่น้ำเจ้าพระยาใต้คอนโดนี่เอง

วันนี้อยู่บ้านทั้งวัน แ้ล้วก็ได้ยินเสียงพลุตลอดทั้งวันจนทำให้รำคาญ
ไม่น่าเชื่อว่าการที่ทำงานจุกจิกเยอะๆ มันทำให้เราลืมความรู้สึกบางอย่างไปได้จริงๆ

งานค่อยๆ เบาลง มีเวลานอนพัก ออกไปกินข้าวกับครอบครัว
แล้วก็เข้ามานั่งฟังเสียงพลุที่ระเบียง มองดูประกายพลุที่อยู่ไกลๆ
ร้านอาหารด้านล่างเปิดเพลงดังขึ้นมาถึงชั้น 15
มองขึ้นไปด้านบน
มีโคมค่อยๆ ลอยเข้ามาในสายตา สูงขึ้น สูงขึ้น
จาก 3 โคมเพิ่มมาเป็น 10 โคม
แล้วก็ลอยไปจนลับสายตา
สวยเชียวล่ะ
(ถ้าได้ไปปล่อยโคมยี่เปงที่เชียงใหม่จะเป็นไงนะ...)

มองลงไปด้านล่าง
มีแสงเทียนวิบๆ วับๆ จากกระทงหลายใบที่ลอยอยู่ในแม่น้ำเจ้าพระยา

พอเห็นแสงจากพลุ แสงจากโคม แล้วก็แสงจากกระทงประชันกันแบบนี้
ก็อดให้นึกถึงแสงจากดวงจันทร์ที่กลมเต็มดวงเป็นสีเหลืองนวลไม่ได้
พอมองขึ้นไปที่ดวงจันทร์แล้วก็ต้องยอมรับว่า
คืนนี้ไม่มีอะไรสวยเด่นเท่าแสงจันทร์

เสียงพลุและความงดงามของบรรยากาศวันนี้
ทำให้รู้สึกว่า ทุกคนกำลังมีความสุข
วันนี้เป็นวันแห่งรอยยิ้มและเสียงหัวเราะ

ดวงจันทร์แม้จะไม่มีบทบาทอะไรมาก
แต่ก็ดูเหมือนเค้ามองความสุขที่เกิดขึ้นด้วยรอยยิ้มอยู่ห่างๆ
แล้วก็เปล่งประกายให้ใครๆ ได้ชื่นชมและมีความสุขที่ได้มอง

เคยคิดว่าวันลอยกระทงเป็นวันแห่งความงมงายวันหนึ่ง
อยากขอโทษที่เคยคิดแบบนั้น
เพราะบรรยากาศและเรื่องราวรอบตัวที่เกิดขึ้นวันนี้
ย้ำให้รู้ว่าทุกๆ คนมีสิทธิ์ที่จะมีความสุขในทุกๆ วันของชีวิต

ขอบคุณพระเจ้าค่ะ

26.9.53

คุณคะ

คุณคะ
ความรักมันทำร้ายเราได้จริงๆ ใช่ไหม
ฉันไม่เข้าใจว่าทำไมบางครั้งความรักทำให้เราเจ็บปวดได้เหลือเกิน

คุณไม่รักฉัน ฉันก็เจ็บปวด
คุณรักฉัน ฉันไม่รักคุณ ฉันก็เจ็บปวด
คุณเคยรักคนอื่น เพียงเท่านี้่ฉันก็ยังเจ็บปวด
แค่รู้ว่าส่วนหนึ่งในชีวิตของคุณ มีเรื่องราวดีๆ ระหว่างคุณกับคนอื่น
แค่นี้ฉันก็เจ็บปวดแล้ว

เพราะความรักทำให้เราเห็นแก่ตัวมากขึ้นใช่ไหม
เมื่อเรามีความรัก
การที่เราได้รับในสิ่งที่เราไม่ต้องการ
หรือเราไม่ได้รับในสิ่งที่เราต้องการ
มันทำให้เรารู้สึกหวาดหวั่นได้ทั้งนั้น

คนที่รักจนเจ็บ จนไม่กล้ารัก
คงเป็นเพราะความเจ็บปวดทำให้ใจเปราะบาง
และพร้อมจะแตกสลายเมื่อไหร่ก็ได้

ส่วนที่คนที่ชินชากับความรัก
ใจแข็งกระด้าง รักใครไม่เป็น
พวกนี้อาจไม่เคยรักใครจริง

ความรักจะทำให้เราอ่อนโยนลง
คิดถึงคนอื่นมากขึ้น
แคร์คนอื่นมากขึ้น
พยายามที่จะเข้าใจคนอื่นมากขึ้น

หลายๆ ครั้ง ความรักทำให้เราแข็งแรง
แข็งแรงมากพอที่จะขอโทษ เปิดเผยความอ่อนแอของตัวเอง
เปิดเผยโลกส่วนตัวของตัวเองให้คนอื่นคุกคาม
และเปลี่ยนบางอย่างในตัวเองเพื่อคนอื่นได้

ฉันเชื่อในข้อดีของความรักทั้งหมดที่บอกไป
และฉันรู้ว่า คนที่รู้จักรัก ก็จะรู้ว่าความรักมีคุณค่าให้เสี่ยง
แม้บางคนจะไม่กล้าก้าวข้ามความกลัวอย่างจริงจังก็เถอะ

แต่เมื่อฉันรักคุณ รักมากกว่าที่เคยรัก
ฉันกลับเจ็บปวด กลัวมากกว่าที่เคยกลัว
นี่คืออันตรายของความรักที่ก่อนหน้านี้ฉันมองไม่เห็นเหรอ

เมื่อเราโตขึ้น เราเข้าใจมากขึ้นว่าโลกกว้างแค่ไหน
เราเข้าใจมากขึ้นว่า สิ่งต่างๆ เปลี่ยนแปลงไปรวดเร็วเพียงใด
ทำให้ความมั่นคงในจิตใจของเราลดน้อยลง
จากที่เราเคยเชื่อ เราไม่กล้าเชื่อ
จากที่เราเคยไว้ใจ เราไม่กล้าไว้ใจ
ทั้งๆ ที่เราก็รู้ว่า ความเชื่อและไว้ใจเป็นส่วนสำคัญที่สุดของความรัก

คุณคะ
ฉันอยากจะเชื่อใจคุณให้มาก และรักคุณไปเรื่อยๆ
แต่กลัวว่าความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นจากความหวาดหวั่นของฉันจะทำร้ายตัวเอง
และทำร้ายคุณ

ฉันอ่อนแอมากกว่าที่คิดไ้ว้มาก
ฉันเห็นแก่ตัว ขี้หวง ขี้อิจฉา
ฉันกลัวคุณรักฉันน้อยลง ฉันกลัวต้องโดดเดี่ยวในวันหนึ่ง

ฉันเหมือนจะโตขึ้น แต่ฉันกลับเป็นเด็กลง
ฉันที่ไม่เคยกลัว กลับเริ่มกลัวในเรื่องที่ไม่จำเป็นต้องแคร์ด้วยซ้ำ

คุณคะ
เพราะฉันรักคุณมากเกินไปรึเปล่า
หรือเพราะฉันรักตัวเองน้อยลง
หรือมันเป็นแค่เสี้ยวอารมณ์ของผู้ใหญ่ที่ผ่านวันเวลาวัยเด็กมานานมากพอ...




แรงบันดาลใจจากหนังสือ จักรวาลในสวนดอกไม้ ของ ฮิมิโตะ ณ เกียวโต

14.8.53

คุณเป็นที่พึ่งของใครหรือเปล่า?

หมี่เคยบอกหลายคนว่า แต่ก่อนหมี่เป็นคนที่ไม่ค่อยมีเพื่อนสนิท
คือเพื่อนที่สนิทกับหมี่น่ะมีเยอะ
แต่คนที่หมี่สนิทและไว้ใจมากจนแชร์ทุกความรู้สึกได้มีน้อยมาก

เพราะลึกๆ รู้สึกว่า หมี่ดูแลตัวเองได้ รับมือกับความรู้สึกของตัวเองได้
ไม่จำเป็นต้องไปร้องไห้กับใคร เพราะเขาก็อาจไม่เข้าใจ
แต่ยินดีเป็นที่พึ่งให้คนอื่นนะ มาร้องไห้กับหมี่ได้เสมอ

คงคล้ายๆ กับแม่ที่ดูแลตัวเองมาตลอด ทำงานเองตั้งแต่เด็ก
ตอนนี้ก็เก็บเงินส่งเสียลูกเอง ลงทุนเอง ตัดสินใจเอง ไม่ต้องพึ่งใคร
เวลารู้สึกแย่ ก็ไม่เคยเห็นแม่ร้องไห้กับใครเลย
หมี่ว่าแม่เหนื่อยเหมือนกันนะ

เมื่อเช้าอ่านบทความชิ้นหนึ่ง เขาบอกว่า เราควรจะเป็นที่พึ่งให้คนอื่น
และไม่ควรไปพึ่งใคร เพื่อไม่ให้ใครมาดูถูกพระเจ้าที่ดูแลเรา
อ่านๆ แ้ล้วก็คิดว่า คนเรามันจะเข้มแข็งสักแค่ไหนเชียว
คนที่คิดแบบนี้คงเหนื่อยมาก อ่อนแอก็ไม่ได้ พ่ายแพ้ก็ไม่ได้

การตั้งใจจะเป็นที่พึ่งให้คนอื่นตลอดเวลามันยาก
แค่พึ่งตัวเองแบบที่เขาสอนว่าตนเป็นที่พึ่งแห่งตน
หมี่ยังไม่เชื่อเลยว่ามันดีที่สุดจริงๆ

หมี่อาจจะไม่ได้พึ่งใครมากนัก แต่หมี่ก็ไม่ชอบอยู่คนเดียว
หมี่รู้จักหลายคนที่คิดว่าอยู่คนเดียวแล้วดีกว่า
แต่ลองให้ได้รักใครสักคน เขาก็จะรู้ว่าโลกมันไม่เหมือนเดิม
แล้วก็รับรองว่าจะไม่อยากกลับไปเป็นเหมือนเดิม
แค่นี้เขาก็ต้องพึ่งคนอีกคนให้มาใช้ชีวิตด้วยกันแล้ว

เมื่อเราโตขึ้น บางทีเราก็คิดว่าเราต้องเข้มแข็งมากขึ้น
แต่ความจริงสำหรับหมี่คือ หมี่ค้นพบว่าตัวเองอ่อนแอมากขึ้นเรื่อยๆ
ที่เราไม่พึ่งคนอื่น แ้ล้วหวังให้คนอื่นพึ่งเรา
เป็นเพราะเราคิดว่าเราดีพอ เราดีกว่าคนอื่น เราเจ๋งกว่า
จริงๆ มันไม่ได้เป็นอย่างนั้นสักหน่อย
ไม่ว่าเป็นช่วงเวลาที่ชีวิตขึ้นหรือลง
เราก็ต้องการคนอยู่ข้างๆ เรา

เที่ยวหนัก ก็ยืมเงินคนอื่นได้
เหงา ก็ชวนคนอื่นไปเที่ยวได้
ปวดใจ ก็โทรไปเศร้าได้
มีกิ๊กใหม่ ก็โทรไปกรี๊ดได้
คิดถึง ก็ไปหาได้
เวลาทำตัวโง่ งี่เง่า ก็สารภาพผิดได้ ขอโทษได้
มีความสุขและชีวิตก็ง่ายกว่าเดิมตั้งเยอะ

หมี่ว่า พระเจ้าไม่ชอบคนที่คิดว่าตัวเองดีกว่าหรือเจ๋งกว่าคนอื่นหรอก
เพราะถ้าคิดว่าตัวเองเจ๋ง ก็จะมองความสัมพันธ์กับคนอื่นแบบไม่เท่าเทียม
ทั้งที่พระเจ้าสร้างเรามาเท่าเทียมกัน มีคุณค่าเหมือนกัน
คนที่คิดว่าตัวเองดีกว่าคนอื่น ทำอะไรก็จะคิดเอาชนะ เพราะตัวเองเก่งกว่า
ทำธุรกิจก็จะคิดว่าถือไพ่เหนือกว่า รู้สึกเหมือนคนอื่นเป็นลูกไก่ในกำมือ
ทั้งที่จริงๆ ทุกคนก็เท่าเทียมกัน มีคุณค่าเหมือนกัน
อาจโง่กว่ากันบ้าง ฉลาดกว่ากันบ้าง ดีกว่ากันบ้าง เลวกว่ากันบ้าง
แต่ก็แค่บางเรื่องแหละ ไม่มีใครสมบูรณ์แบบ

แล้วหมี่ว่า พระเจ้าก็ไม่อยากให้เราพึ่งแต่ตัวเองด้วย
ถ้าเราพึ่งแต่ตัวเอง ไ่ม่เปิดโอกาสให้คนอื่นได้ช่วยเหลือหรือเกื้อหนุนเราบ้าง
คนอื่นจะรู้ถึงความสำคัญของเขาในชีวิตเราได้ไง
ทีเราได้ช่วยคนอื่น เรายังรู้สึกดีเลย

หมี่เชื่อว่า ความสัมพันธ์ระหว่างกันและกันเป็นสิ่งสำคัญและมีคุณค่ามากๆๆ ในโลกนี้
คิดๆ ดูแล้ว ปัญหาบนโลกมันมีต้นตอมาจากความสัมพันธ์ที่ไม่ดีทั้งนั้น
เกลียดกัน คุยกันไม่รู้เรื่อง ตกลงกันไม่ได้ เข้าใจผิดกัน ไม่แบ่งปันกัน
เพราะเราพึ่งตัวเอง เราคิดว่าตัวเองคิดถูกแล้ว
เราคิดว่าตัวเองสมควรได้รับ แต่คนอื่นไม่สมควร
หรือบางทีก็คิดว่าคนอื่นสมควรได้รับ ตัวเองไม่สมควร
ความสัมพันธ์ของเรากับคนอื่น มีการให้และรับที่ไม่เท่าเทียมกัน
ความสัมพันธ์กลายเป็นเรื่องของผลประโยชน์มากกว่าความสัมพันธ์

หมี่เคยมองว่าคนอื่นต้องการเรา แต่เราไม่ต้องมีใครก็ได้
ทั้งที่จริงๆ แล้ว หมี่อยู่ตรงนั้นเพราะหมี่ก็ต้องการเขาเหมือนกัน
สุดท้ายก็ต้องเสียใจ มากด้วย

ตอนนี้ พยายามให้ระหว่างทางที่กำลังเดินของหมี่
จะไม่พึ่งแต่ตัวเอง ไม่พึ่งแค่ความคิดตัวเอง
แต่ให้ความสัมพันธ์และความรักรอบๆ ตัวพาหมี่เดินไป
น่าจะเป็นวิธีที่ง่ายกว่า มีความสุขกว่า
แน่นอนว่าจะต้องเจอความยุ่งยากบ้าง เจ็บปวดบ้าง เหนื่อยบ้าง
เพราะเราอยู่กับคนที่มีความซับซ้อน ละเอียดอ่อน
แต่มันก็ทำให้จิตใจและความคิดอ่อนนุ่มลง
ถ้าเผลอกระเด็นไปกระแทกหัวคนอื่น
เขาก็ไม่เจ็บเหมือนแต่ก่อนแล้วไง

3.7.53

tense of life

เคยได้ยินคนพูดว่า...
คนเรามักจะกังวลและทุกข์อยู่กับ 2 เรื่อง
คืออนาคต และ อดีต
คนที่ใช้ีชีวิตอยู่กับปัจจุบันไม่ค่อยทุกข์เท่าไหร่

ถ้าอยากรู้ว่าจริงไหม ก็ลองคิดตามไปด้วยกัน
อันนี้จากความรู้สึกของตัวเองล้วนๆ

เวลาเรานึกถึงอดีต..
ถ้านึกถึงเรื่องดีๆ ที่ผ่านไปแล้ว เราก็จะโหยหาและอยากกลับไปอยู่กับช่วงเวลานั้นๆ
ถ้านึกถึงเรื่องแย่ๆ ที่ผ่านไปแล้ว เราก็มักเสียใจกับความผิดพลาดที่เกิดขึ้น
ถ้านึกถึงเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้น...
เราก็จะเสียดายและอยากย้อนกลับไปตัดสินใจอีกแบบ
เผื่อว่าอะไรอะไร มันจะดีกว่านี้

เวลาเรานึกถึงอนาคต...
เราจะสงสัยว่า อนาคตจะเกิดอะไรขึ้น
ถ้ายังมีชีวิตแบบนี้ไปเรื่อยๆ วันข้างหน้ามันจะดีได้ยังไง
เราต้องทำอะไรบ้างให้อนาคตเป็นช่วงเวลาดีๆ ของชีวิต
ถ้าอนาคตเราไม่เป็นตามที่คิดไว้ ไปไม่ถึงฝัน เราจะเป็นยังไง

คิดๆ แล้วก็มีแต่ความกระวนกระวาย

จริงๆ แล้วเราไม่รู้หรอกว่าอะไรจะเกิดขึ้น
เพราะเราไม่รู้ เลยทำให้อดีตของเราไม่เพอร์เฟ็ค
และปัจจุบันของเราก็เจ็บปวดกับอดีตที่ผิดพลาด

วันนี้เราอาจจะคิดว่า ต้องทำอย่างนี้ ต้องเป็นอย่างนั้น
วางแผนทุกอย่างและหาคำตอบที่ถูกต้องรอไว้
แต่ถึงเวลาที่ต้องเผชิญหน้ากับความเป็นจริง
ข้อมูลทั้งหมดในหัวและความรู้สึกของคุณ...
ประมวลผลเป็นการตัดสินใจที่เพอร์เฟ็คได้ทุกครั้งไหม

และแม้คิดแล้วว่า ดีที่สุดในวันนี้
ใครจะบอกได้ว่า เมื่อมองย้อนหลังกลับมา มันจะยังดีที่สุดอยู่
ใช่ไหมคะ...

หมี่คิดว่า ความเป็นมนุษย์ทำให้เราไม่สมบูรณ์
เราทำอะไรตามอารมณ์ชั่ววูบของเราได้ง่ายมาก
และแม้คิดแล้วคิดอีก ความเขลาและหยิ่งผยองของเรา
ก็ทำให้เราตัดสินใจแบบโง่ๆ ได้เสมอ

คนอื่นอาจจะฉลาดมากกว่านี้ เข้าใจสิ่งต่างๆ มากกว่านี้
หรือปกป้องตัวเองได้มากกว่านี้
แต่สำหรับหมี่ ความเจ็บปวดจากอดีต ทำให้เราเติบโตขึ้น
ทำให้เราเข้าใจคำว่า เรียนรู้และสำนึกรู้ ไม่ใช่แค่ มีความรู้

อาจมีบางทฤษฎีคิดว่า เพื่ออนาคตที่ปลอดภัย
ต้องทำให้วันนี้ให้ปลอดภัยไว้ก่อน
เพื่ออดีตจะได้เป็นอดีตที่ไม่เจ็บปวดต่อเนื่องมายังปัจจุบัน
ไม่ส่งผลไปในอนาคต...

แต่ถ้าอย่างนั้น ปัจจุบันของคงเป็นช่วงเวลาที่เหนื่อยมาก
คิดนั้นคิดนี้ ระวังนู่นโน่นนี่นั่น ป้องกันทุกอย่าง
เพื่อความไม่ผิดพลาด

แล้วถามกันจริงๆ นิยามของอนาคตที่ดีคืออะไร
และการที่คุณใช้ปัจจุบันให้ดี ให้เป๊ะ ให้ถูกต้อง ให้เป็นไปตามแผน
เป็นการรับประกันจริงๆ เหรอว่าจะมีอนาคตที่มีความสุข

พ่อเคยบอกว่า อดีตคือความฝัน ปัจจุบันคือความจริง
ทำทุกสิ่งเพื่ออนาคต...

แต่หมี่ว่า หัดให้อภัยตัวเองซะ
แล้วอดีตจะกลายเป็นความทรงจำดีๆ
ปัจจุบันคือการใช้ชีวิตให้มีความสุข
ส่วนอนาคต เรียนรู้ไปเรื่อยๆ เดี๋ยวก็เจอที่ที่ใช่เองนั่นแหละ

เราไม่รู้หรอกว่าอะไรจะเกิดขึ้น
ถ้าวันนี้ยังเลือกเดินตามหัวใจตัวเองไม่เป็น
วันหน้าจะรอดจากความสับสนบนโลกมนุษย์ใบนี้ได้ยังไง

ขอบคุณความผิดพลา่ดที่ทำให้เราไม่คิดว่าตัวเองดีกว่าคนอื่น...
ขอบคุณพระเจ้าที่แม้วันนี้เราง่อยแค่ไหน พรุ่งนี้ก็มีอะไรดีๆ เกิดขึ้นได้เสมอ

22.5.53

แด่ ไพร่...

ป้าจ๋า หนูไม่รู้ว่าป้ารู้สึกยังไง
กับการที่บ้านเมืองถูกเผา
ป้ายังรู้สึกดีกับการชุมนุมที่ป้าเพิ่งกลับมาอยู่หรือเปล่า
แต่หนูหวังให้ป้ากลับบ้านแล้วได้นอนหลับพักผ่อนให้สบาย
หลังจากที่ต้องมาทนอยู่กินลำบากนอกบ้านตั้งนาน

ป้าจ๋า พ่อแม่หนูก็เป็นไพร่นะ เป็นไพร่ต่างแดนด้วย
อพยพกันมาจากเวียดนาม ทั้งคู่อยู่ในครอบครัวที่จนแสนจน
ไม่ได้เรียนหนังสือ ไม่ได้มีใครมาเกื้อหนุน แต่ก่อนต้องวิ่งหนีตำรวจอยู่เลย
ทุกวันนี้ก็ยังเป็นไพร่อยู่ เป็นไพร่ทำมาหากินค้าขายทั่วไป อยู่แถวๆ ประตูน้ำ
ใกล้ๆ ราชประสงค์นั่นแหละจ้ะ
ยังดีที่ไพร่ 2 คนนั้นต่อสู้จนหนูได้ใช้ชีืวิตอยู่ในเมืองนี้อย่างสุขสบายได้

ป้าจ๋า หนูว่าพ่อแม่หนูเขาเก่งนะ หนูชื่นชมเขา
รวมถึงป้าและลุงๆ น้าๆ ที่มาร่วมชุมนุมด้วยนะจ๊ะ
ป้าอดทนกับความยากลำบากทางกายได้
ป้าใช้่ชีวิตอยู่ได้ แม้ไม่มีโอกาสเหมือนพวกเราทุกวันนี้
หนูนึกภาพไม่ออกจริงๆ ว่า ถ้าหนูไม่มีใบปริญญาและอินเตอร์เน็ต หนูจะใช้่ชีวิตได้ยังไง
หนูเอาตัวรอดไม่เป็น หนูเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ
หนูไม่ขยัน ไม่อดทนได้เหมือนพวกป้าจริงๆ นะจ๊ะ
ถ้าป้าและลูกๆ ของป้าได้มีโอกาสเหมือนพวกหนู
หนูมั่นใจมากๆ ว่าจะไปได้ไกลมากกว่าหนูหลายเท่า

ป้าจ๋า ที่ป้าเรียกตัวเองว่าไพร่ ป้ารู้ไหมว่ามีชนชั้นที่ต่ำยิ่งกว่าไพร่อีกนะ
มันคือชนชั้นทาสไงล่ะจ๊ะ
ทุกวันนี้อาจจะไม่มีทาสแบบสมัยก่อน
ทาสที่ทั้งชีวิตขึ้นอยู่กับเจ้าของเท่านั้น ไม่มีอิสระใดๆ
แต่ว่าหนูเองก็ยังเป็นทาสอยู่จ้ะ ทาสของข้อมูลข่าวสาร ทาสของความสัมพันธ์
ทาสของการต่อสู้ชิงดี ทาสของความอยากได้ไม่รู้จบ

ป้ารู้ไหมจ๊ะ ระหว่างที่ป้าต่อสู้เพื่อชีวิตที่ดีขึ้น
พวกทาสอย่างหนูก็ต่อสู้อยู่กับการหาตัวตนของตัวเอง
ความเท่าเทียมและโอกาสสำหรับป้าอาจจะได้มายาก เช่นเดียวกันจ้ะ
หนูก็หาตัวตนและที่ยืนของหนูได้ยากมากเหลือเกิน

ป้าจ๋า ข่าวสารข้อมูลที่หนูได้รับ มันทำให้หนูเครียดจนปวดหัว
ล้วก็เหนื่อยที่ต้องคอยตาม จะไม่สนใจหนูก็ทำไม่ได้
คนที่ได้ข้อมูลเยอะๆ พอเรามีความคิดที่ต่างกัน เราก็ทะเลาะกันได้ง่ายมากเลยจ้ะป้า
ความคิดที่ต่างกัน ทำให้เพื่อนหนูเลิกคบกันไปหลายคนแล้ว
ข้อมูลมากมายที่เรารู้ รวมถึงอุดมการณ์ที่เรายึดมั่น
บางทีมันก็ทำให้เราคิดว่าตัวเองดีกว่าคนอื่นจริงๆ
ตัวหนูเองก็ต้องคอยบอกตัวเองไม่ให้เกลียดใคร ไม่ให้ดูถูกใคร
มันยากมากเลยจ้ะป้า
เวลาป้าทะเลาะกับคนใกล้ๆ ตัวป้า ป้าเกลียดกันง่ายๆ ตัดขาดกันง่ายๆ อย่างนี้ไหมจ๊ะ

ป้าจ๋า หนูเคยได้เงินเดือนหมื่นนึง หนูก็มีความสุขดี
พอวันนึงได้เงินเดือนหมื่นเจ็ด หนูกลับอยากได้นั้นนี้
พอได้มากขึ้น หนูก็อยากได้มากขึ้นอีก หนูใช้เงินไม่พอ
แล้วหนูก็มาด่าตัวเองว่า มึงมันใช้เงินไม่เป็น
ป้าจ๋า หลายครั้งที่หนูอยากไปอยู่ต่างจังหวัดแบบป้า
ทำงานได้เงินสัก 5,000 ใช้เงินสัก 3,000
แบบนั้นหนูยังมีเงินเก็บมากกว่าทุกวันนี้เลย

ป้าจ๋า หนูมีเพื่อนเยอะแยะ มีที่เที่ยวหลายที่ มีมีตติ้งมากมายก็จริง
แต่เวลาที่หนูสบายใจที่สุด คือเวลาที่อยู่บ้าน
มันอาจจะน่าเบื่อ อยู่คนละโลกกับคนอื่น ไม่มีใครมาสนใจเรา
แต่คนที่รักเราที่สุดอย่างจริงจัง และพื้นที่เราเป็นตัวของตัวเองได้ ก็คือบ้านใช่ไหมจ๊ะ
ป้ากลับถึงบ้านแล้ว หวังว่าป้าคงสบายใจและมีความสุขเหมือนหนูนะ

ป้าจ๋า เวลาค่ำคืนที่ต่างจังหวัดมันคงเงียบๆ ใช่ไหมจ๊ะ
ป้าคงเข้านอนแต่หัวค่ำ แล้วก็หลับลงได้ไม่ยาก
แต่ป้ารู้ไหมจ๊ะ หนูเป็นทาสความเหงาด้วย
ตอนกลางวันหนูเจออะไรมากมายที่มันน่าตื่นเต้น
พอตอนกลางคืน มันเหมือนทุกอย่างหายไป
เหมือนทุกอย่างเป็นความฝัน และจริงๆ มีเราคนเดียวในโลก
ป้าจ๋า อยู่ในเมืองใหญ่ที่แสนศิวิไลซ์แบบนี้มันอาจจะสบายกาย แต่มันไม่ได้สบายใจเลยล่ะจ้
เพื่อนหนูก็มีหลายคนที่เจ็บปวดกับการใช้ชีวิตแบบนี้ บางคนยังไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าตัวเองเป็นทาส
หลายคนนอนยังไงก็ไม่หลับ หลายคนเป็นโรคซึมเศร้า
คนหลายคนทนอยู่กับความรู้สึกแย่ๆ ของตัวเองมานานนม จนสุดท้ายต้องฆ่าตัวตาย
หนูว่ามันทรมานมากเลยนะจ๊ะ

หนูไม่รู้ว่า หนูเคยไปดูถูกป้าหรือเพื่อนป้าไหม
ถ้าเคยมีสักครั้งที่ทำให้ป้ารู้สึกว่า หนูซึ่งเป็นชนชั้นกลางสูงส่งกว่าป้าซึ่งเป็นชนชั้นต่ำ หนูขอโทษนะจ๊ะ
หนูอธิษฐาน ขออย่าให้ป้าต้องกลายมาเป็นทาสอย่างหนู
ขอให้ป้ามีความสุขกับการรู้จักพอในสิ่งที่มี
มีความสุขกับความรักความจริงใจที่เพื่อนๆ ป้ามีให้กัน
มีความสุขกับการเอื้อเฟื้อ ไม่ต้องแก่งแย่งชิงดี

หนูอธิษฐานขอให้คนไทยรวมถึงตัวหนูเองตาสว่าง
เลิกเห็นแก่ตัว เลิกไม่รู้จักพอ เลิกตัดสินคนอื่น
คิดถึงคนอื่นเยอะๆ รักคนอื่นแบบไม่ต้องหวังประโยชน์บ้าง
ขอให้รัฐบาลเลิกคอรัปชั่น เลิกเอาเงินภาษีไปทำเรื่องไร้สาระ
แต่เอาเงินไปทำให้คนที่ไม่มีโอกาสเขาได้ลืมตาอ้าปากบ้า
ขอให้รัฐบาลทุกชุดทุกรุ่นไม่ปิืดหูปิดตาตัวเอง ไม่อคติ
และสำนึกถึงความไว้วางใจที่ประชาชนมีให้เยอะๆ

ป้าจ๋า ถ้าวันหนึ่ง หนูหลุดจากการเป็นทาสได้แล้ว หนูอาจจะตามไปอยู่กับป้านะจ๊ะ
คงไม่สามารถทำการเกษตรได้หรอกจ้ะ หนูมันอ่อนแอ ขี้เกียจ
แต่จะขอทำงานที่ช่วยให้ทั้งตัวเองและป้ามีความสุขกับการใช้ชีวิตได้มากขึ้นนะ

หนูพยายามอยู่จ้ะ
ขอบคุณนะจ๊ะ ที่ป้าช่วยให้หนูตาสว่าง
แล้วก็อยากบอกป้าว่า แม้หนูอาจจะมีเลือดเวียดนาม
แต่หนูและครอบครัวที่ยังมีชีวิตอยู่ทุกคน ทั้ง พ่อแม่ ยาย ลุงป้าน้าอา
เรามีหัวใจที่เป็นไทยเต็มร้อยจ้ะ

และหนูรู้ว่า ป้าก็มีหัวใจแบบเดียวกันใช่ไหมจ๊ะ

รักป้านะจ๊ะ แม้เราจะไม่รู้จักกัน

จาก... ทาส

13.5.53

ทำไมถึงกลับมา...

มีคนถามหลายคน... ว่ากลับมากินเหล้าแล้วเหรอ
คนที่ถามส่วนใหญ่จะเป็นเพื่อนที่กินด้วยกันนั่นแหละ
ไม่รู้ว่ามันดีใจ หรือยังไง
ส่วนคนที่ไม่ค่อยเห็นด้วยกับการกินเหล้าก็ไม่ค่อยถามเท่าไหร่
คงพูดไม่ถูก พูดไม่ออก

หมี่หยุดกินเหล้า (และเครื่องดื่มมึนเมาอื่นๆ) ไปประมาณ 5 ปี
ก่อนหน้านั้น ก็เรียกได้ว่ากินตามนัด ทุกสัปดาห์
ไปกะเพื่อนเก่า เพื่อนใหม่ เพื่อนมหาวิทยาลัย เพื่อนรุ่นพี่
คนรอบตัวกินเหล้ากันทั้งนั้น
ไม่รู้เพื่อนเยอะเพราะกินเหล้า หรือกินเหล้าเพราะเพื่อนเยอะ
แต่โดยส่วนตัว หมี่ก็ไม่ได้คิดว่าการกินเหล้า (และมึนเมา) เป็นเรื่องเลวร้ายแต่อย่างใด
สนุกสนาน สบายใจ ได้เพื่อนใหม่เยอะแยะมากมาย

หมี่กินเหล้าเพราะความสนุกสนานนะ
จะมีกินประชดชีวิตก็นานๆ ที
แต่หมี่ก็มีเพื่อนที่กินเหล้าเพราะถ้าไม่กินจะนอนไม่หลับ
มีเพื่อนที่กินเหล้าเพราะเซ็ง เบื่อ อยากกล่อมตัวเอง
มีเพื่อนที่กินเหล้าประชดชีวิต
แล้วก็มีเพื่อนที่กินเหล้่าเพราะสนุกเหมือนกัน

ถ้าใครเคยไปอยู่ในวงเหล้าก็จะเข้่าใจบรรยากาศของมันนะ
เป็นกลุ่มที่ไม่มีกำแพง (และไม่มีสติ)
เราส่งรอยยิ้มให้กันทุกครั้งเวลายื่นแก้วเหล้าให้ชง
แล้วเราก็คุยกันในเรื่องลึกๆ ได้โดยไม่มีใครถือสาใคร
เข้าใจกันดี แม้ไม่ได้รู้จักกันมากนัก

ใครจะว่าเป็นเรื่องไร้สาระ ไร้สติ ฉาบฉวย ก็คงไปว่าอะไรเขาไม่ได้
แต่สำหรับเรา มันก็เป็นที่พึ่งทางใจที่ดีสำหรับคนหลายๆ คน
คนที่ใช้ชีวิตอยู่กับเครื่องดื่มไร้สติแบบนี้ได้
ต้องเจอกับความเจ็บปวดหลายอย่าง
และบางที คนเราก็ช่วยตัวเองไม่ได้ในหลายๆ เรื่อง

ในสังคมไทยที่กินเหล้า (เมาหัวราน้ำ) กันเป็นกิจวัตรประจำวัน
มีค่านิยมที่มองว่าการกินเหล้าไม่ใช่สิ่งดีนัก
ศีล 5 ก็บอกว่าอย่าดื่มสุรามึนเมา
คนที่โบสถ์เดิมก็บอกว่าพระเจ้าไม่ชอบให้กินเหล้า
หมี่เองเคยเชื่อแบบนี้ ก็เลยบังคับตัวเองให้ไม่กินเหล้า

แรกๆ ก็ทำไม่ได้
พอเชื่อพระเจ้าแล้วทำได้ (ทุกสิ่งเกิดขึ้นได้ด้วยความเชื่อ)
แต่หมี่กลับรู้สึกว่า เราทิ้งห่างมิตรภาพและการเป็นที่พึ่งทางใจเล็กๆ ให้คนอื่น
ไม่ใช่แค่ในวงเหล้า แต่กับที่อื่นๆ ที่คุ้นเคยด้วย

หนึ่งปีที่ผ่านมา หมี่รู้จักพระเจ้ามากขึ้น
พระเจ้าแสดงความรักต่อหมี่ผ่านสิ่งต่างๆ รอบตัว
ผ่านพ่อ ผ่านแม่ ผ่านเพื่อน (ที่ไม่เชื่อพระเจ้า) ผ่านคริสเตียน
ผ่านสายลม สายน้ำ แสงแดด
หมี่ขอบคุณพระเจ้าทุกวัีน
หมี่โทรหาเพื่อน ไปเที่ยวกับเพื่อนบ่อยกว่าแต่ก่อน
คิดถึงคนอื่นมากกว่าแต่ก่อน

หมี่เชื่อว่า การกินเหล้าไม่ได้แปลว่าเป็นคนไม่ดี
มันอาจทำให้ร่างกายแย่ แต่บางทีจิตใจย่ำแย่ก็ทรมานกว่า
หากบางคนจะรู้สึกว่าการกินเหล้าทำให้เราดูเป็นผู้หญิงไม่ดี
ก็โอเคนะ เราก็บังคับใครให้คิดแบบไหนไม่ได้
แต่เราก็มีเพื่อนดีๆ ในวงเหล้าเพียบ
แฟนดีๆ ในวงเหล้าก็เคยมีเหมือนกัน

แต่เอาจริงๆ แ้ล้ว มีสาเหตุหลักอยู่อย่างเดียวที่กลับมาใกล้ชิดเครื่องดื่มมึนเมา

อยากกินเบียร์เพราะเบียร์อร่อย กินแล้วมีความสุข (ผิดเหรอ)
ทำร้ายร่างกายไม่ต่างจากกินเป๊บซี่หรือกาแฟหรือเนื้อติดมันหรอก

1.5.53

แด่คนที่หมี่รัก

วันนี้ฝนตกหนัก ไฟดับ
เหมือนรู้ว่าจะมีเรื่องใหญ่เกิดขึ้น
ฝนตกทั่วเมือง เกิดเรื่องทั่วเมือง และรถก็ติดทั่วเมือง
ไม่รู้อะไรเป็นสาเหตุของอะไ

ความอึมครึมของบ้านเราเกิดขึ้น มาสักพักแล้ว
ระหว่างที่การเมืองของบ้านเรา ก็ร้อนระอุและรุนแรงขึ้นเรื่อ ยๆ
ก็มีเหตุแผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิด อุบัติเหตุครั้งใหญ่แทรกมาเป็นระยะๆ
อย่างสม่ำเสมอและมากขึ้นเรื่อยๆ ด้วยเช่นกัน

สร้างความหดหู่ได้อย่างต่อเนื่องมาก
ไอ้คนไม่ค่อยสนใจโลก ไม่สนใจสื่ออย่างหมี่
ก็ยังอดหดหู่อยู่ลึกๆ ไม่ได้

วันนี้ไฟที่ออฟฟิศดับ ดับนานเลย
แล้วก็ปวดอึขึ้นมาซะอย่างนั้น
ปกติท้องผูก วันนี้กูปวดอึตอนไฟดับ ไม่รู้เป็นอะไร
ก็ไปเข้าห้องน้ำชั้นหนึ่ง เพราะข้างบนน้ำไม่ไหล

นั่งๆ มืดๆ อยู่ ก็มีความคิดหนึ่งแวบเข้ามาในใจ
ถ้าพระเยซูกลับมาตอนนี้จะทำยังไงวะเนี่ย กำลังนั่งขี้อยู่ในส้วม
อุบาทว์น่าดู

นึกย้อนกลับ มันก็ใกล้เข้ามากแล้วจริงๆ นะ ใกล้ยุคสุดท้ายที่ถูกเขีัยนไว้
ผู้คนไม่รักกันอีกต่อไป มีสงครามเกิดขึ้นตลอดเวลา
แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร
คนก็ถูกชักนำไปให้ห่างไกลพระเจ้า มากขึ้นเรื่อยๆ
ห่างไกลจิตใจตนเองมากขึ้นเรื่อยๆ...

...อีกแป๊บเดียวพระเยซูก็จะกลับ มาแล้ว

หมี่เคยเป็นคริสเตียนประเภทที่พ่นเรื่องพระเยซูตลอดเวลาเหมือนเป็นคนบ้า
ก็บ้าน่ะแหละ บ้าจนคนไม่อยากเข้าใกล้ พูดไรไม่รู้ เอะอะจะชวนเขาไปโบสถ์ตลอด
ตอนนี้นึกถึงก็ตลกตัวเอง ไม่อยากทำแบบนั้นแล้ว เสียเพื่อน เสียความสัมพันธ์ไปหมด

ทุกวันนี้ รักคนอื่นได้มากกว่าตัวเองยังยากเลย จะพาเขามาหาความรักพระเจ้าได้ย ังไง
ทำได้แค่รักคนอื่น ดูแลคนอื่น ทำให้คนมีความสุขอย่างที่พระเจ้าต้องการ
แล้วก็ปล่อยให้พระเจ้าดูแลเขาต่อไป

ตอนที่นั่งส้วมวันนี้ ตอนที่คิดว่าถ้าพระเยซูกลับมาล่ะ...
ถ้าถึงเวลาที่พระเจ้าพิพากษามนุษย์ แล้ว
คนที่เรารักจะเป็นยังไง...
สำหรับหมี่ เมื่อวันที่พระเจ้ากลับมา หมี่ว่าพระเจ้าคงเปิดประตูให้เข้าไปพักผ่อน ต้อนรับหมี่กลับบ้าน
แต่คนอื่นๆ ที่ยังไม่รู้จักพระเจ้า เขาจะมองหน้าหมี่แล้วถามไหมว่า ทำไมถึงไม่บอก ทำไมถึงไม่เล่าให้ฟัง
ณ ตอนนั้นคงไม่ใช่หน้าที่ของหมี่ อีกต่อไป

พระเจ้าอาจจะนั่งคุยกับเขาทีละคนด้วยความรัก
อาจถามบางคนว่า "เจ้าอาจภูมิใจกับงานที่เจ้าทำ เจ้าอาจชื่นชมงานของคนอื่นๆ
แต่เจ้าเคยมองฟ้าที่สวยงาม มองทะเลที่กว้างใหญ่ แล้วนึกถึงบุคคลผู้สร้างสิ่งเหล่านั้นบ้างไหม"

พระเจ้าอาจจะถามบางคนว่า "เวลาที่เพื่อนหรือคนบางคนที่รักเจ้า เล่าเรื่องของเราให้เจ้าฟัง
ทำไมเจ้าถึงไม่เปิดใจแล้วลองทำ ความรู้จักกับเราดูบ้างล่ะ"

พระเจ้าอาจจะถามบางคนว่า "เจ้าไม่เคยรู้สึกถึงสิ่งดีๆ ที่เราให้กับเจ้าในช่วงที่ดำเนินชีวิตบนโลกเลยหรือ"

และพระเจ้าอาจจะถามบางคนว่า "เจ้าไม่เชื่อจริงๆ เหรอ ว่าเรารักเจ้า เราลงมาเกิดเป็นมนุษย์เพื่อรับโทษแทนเจ้า เพื่อให้เจ้าขึ้นสวรรค์มาอยู่กับ เราในวันนี้"

หมี่อยากเดินไปจับมือคนที่หมี่ีรัก แล้วก็บอกเบาๆ ว่า พระเจ้าสร้างหมี่มาและพระเจ้ารักหมี่มาก
พระเจ้ารักคุณมากๆ ด้วยเหมือนกัน
อยากบอกว่า พระเยซูไถ่บาปให้กับทุกคนแล้วนะ ทุกคนขึ้นสวรรค์ได้นะ

ช่วงนี้ ที่ทุกอย่างดูเลวร้ายมากขึ้นทุกที ดูเหมือนวันพิพากษาคือวันพรุ่งนี้เสียด้วยซ้ำ
หมี่อยากบอกว่า พระเยซูจะกลับมาจริงๆ นะคะ แล้ววันนั้นทุกคนจะรู้ว่าพระเจ้ามีจริง
พระเจ้ารอเรามานาน อย่าให้ทุกอย่างสายไปเลยนะค

(หมี่คงไม่ได้พูดเรื่องนี้มากนัก วันๆ ก็ได้แต่ขำๆ แล้วก็บอกชาวบ้านว่าพระเจ้าน่ารัก
แต่วันนี้เขียนเพราะรู้สึกว่าต้องเขียน หากจะมองว่าหมี่บ้าก็ไม่เป็นไร
แต่หมี่เชื่อสุดใจ สุดชีวิต ว่าหมี่จะได้สิ่งดี ได้่ขึ้นสวรรค์แน่ๆ และไม่มีอะไรที่ต้องกลัว)

ขอบคุณนะคะที่อ่านมาจนถึงบรรทัด สุดท้าย
พระเจ้าอวยพรค่ะ

11.3.53

"A Home"

วันก่อนอ่านนิตยสารเล่มหนึ่ง
เอาคู่รักดารามาสัมภาษณ์ แล้วให้บอกนิยามความรัีกของตัวเอง
มีดาราคนนึงบอกว่า "ความรักเหมือนบ้าน"
คงประมาณว่า บ้านคือวิมานของเรา

หมี่คิดว่า บ้านหมายถึงที่ที่อยู่แล้วอบอุ่น สบายใจ ปลอดภัย
เป็นที่ที่พูดได้เต็มปากว่า "This is my place"

บ้านอาจเป็นสถานที่สักแห่งที่เราอยู่มานาน
อยู่กับครอบครัว ไปไหนก็กลับมาที่นี่ทุกวัน
หรืออาจเป็นสถานที่สักแห่ง ที่เรารู้สึกว่า ใช่แล้วล่ะ
ค้นพบความสุขในการอยู่ที่นี่แล้วล่ะ

บ้านอาจเป็นใครสักคน
ที่อยู่ใกล้แล้วอบอุ่น สบายใจ อยากเจอหน้าทุกวัน
หรืออาจเป็นคนสักกลุ่ม ที่เรารู้สึกเป็นส่วนหนึ่งในนั้น
และเราเป็นตัวของตัวเองได้เต็มที่เมื่ออยู่กับคนเหล่านั้น

เคยเป็นไหมคะ
ที่บางทีก็รู้สึกเหมือนตัวเองไ่ม่มีบ้าน
ไม่ค่อยอยากกลับบ้าน ไม่ค่อยอยากไปไหนกับใคร
บางทีก็ไม่รู้จะไปไหนด้วยซ้ำ...

เวลาย้ายบ้าน ย้ายที่ทำงาน
มักจะรู้สึกเหมือนว่าตัวตนของเราหายไปบางส่วน
หากไม่มีบ้าน ไม่มีที่ไป ก็อาจจะรู้สึกว่าเราไม่มีตัวตนเลย

หมี่เคยเป็น
เคว้งน่าดู...

ตอนนี้เป็นช่วงอบอุ่นของชีวิต
รู้สึกว่าตัวเองมีบ้านหลายหลัง
ไปที่ไหนก็รู้สึกดีไปหมด รู้สึกผูกพัน รู้สึกสบายใจ
จนเหมือนไม่ใช่ความจริง
ก็คิดอยู่ว่ากำลังหลอกตัวเองหรือเปล่าวะ
กำลังเสพติดเพื่อน เสพติดคนรอบข้างหรือเปล่า
ถ้าเป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ อาจทำให้เกลียดการอยู่คนเดียวได้

หมี่ว่าหมี่มีบ้านหลายหลังจริงๆ นะ
แต่ละหลังก็มีบทบาทต่างกัน
หลังนึง ให้ความสนุกสนาน สบายใจ
หลังนึง ให้ความอบอุ่น
หลังนึง ให้พื้นที่ส่วนตัวและความปลอดภัย
หลังนึง ให้มิตรภาพและความรัก
หลังนึง ให้ความอ่อนหวานในอดีต
หลังนึง ให้ความหวังในอนาคต

ไม่รู้เหมือนกันว่าทุกอย่างทุกความรู้สึกเป็นเรื่องจริงไหม
ไม่รู้เหมือนกันว่าจะต้องย้ายออกจากที่ไหน เมื่อไหร่ หรือไม่
และหากมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น
มันก็คงมีการสูญเสียตัวตนบ้าง เจ็บปวดบ้าง

แต่สุดท้ายแล้ว หมี่ก็อยากได้บ้านแค่หลังเดียวที่ให้ทุกความรู้สึกนะ
เป็นบ้านที่กลับมาได้ทุกวันไม่ว่าไปที่ไหน ไม่ว่าทำอะไรมาก็ตาม
เป็นบ้านที่จะไม่ย้ายไปไหนอีก อยู่ไปจนกว่าจะหมดลม

ก็ไม่รู้อีกกี่ปีจะเจอบ้านหลังนั้น
แต่คิิดว่า พระเจ้าคงช่วยหา ช่วยดาวน์ ช่วยผ่อนจนได้มาครองล่ะ

ขอบคุณพระเจ้าล่วงหน้าค่ะ

16.2.53

คอมตัวเดิมของหมี่

อยู่ดีๆ ก็สังเกตขึ้นมาได้ว่า ภาษาอังกฤษมีการใช้ Tense
โดยเปลี่ยนรูปอดีตและอนาคตของคำกริยา
แต่สำหรับคำนาม ไม่มีการเปลี่ยนรูป
แล้วอยู่ดีๆ ก็สงสัยว่า..
ทำไมคำนามไม่มีการเปลี่ยนรู
เราอะไรทำตอนไหน สำคัญกว่า ตอนไหนเราเป็นยังไงหรือเปล่
สิ่งของต่างๆ เป็นสิ่งเดิมตลอดไปเหรอ

วันนี้นั่งทำงานอยู่ที่ออฟฟิศ
กำลังปั่นต้นฉบับด้วยความเร่งรีบ (มาก)
ตั้งใจว่าจะเอาให้เสร็จ 2 ชิ้น
เสร็จแน่นอน!!

แต่เราไม่รู้หรอกว่าอะไรจะเกิดขึ้น...
นั่งทำงานอยู่ดีๆ คอมก็ดับเหมือนหลับตาตายลงไปเลยซะอย่างนั้น
เปิดอีกที ก็เป็นอีกที
จนรอบที่สามนี่ก็ถึงขั้นคุยกันไม่รู้เรื่องเลยทีเดียว
งานไม่เสร็จแล้วแน่นอน

ตกเย็น พี่ที่ออฟฟิศไอทีโทรมาบอกว่
ฮาร์ดดิสก์พัง พังแบบจริงจัง
ถ้าต้องการกู้ไฟล์ก็เสียเงิน 6,000 บาท
เท่าั้นั้นยังเจ็บปวดไม่พอ
ใช้เวลากู้ 30 วัน!

เราไม่รู้จริงๆ ว่าอะไรจะเกิดขึ้น T_T
ก็ตัดสินใจว่าจะไม่กู้ เพราะเสียเงินและเสียเวลาแบบไม่คุ้มค่าเลย

พรุ่งนี้จะได้คอมตัวเดิมมาใช้ แต่ฮาร์ดดิสก์ใหม่
หน้าตาเหมือนเดิม แต่ข้อมูลข้างในว่างเปล่า
รูปที่เคยเก็บไว้ไม่มีแล้ว
งานที่เคยทำเอาไว้ก็ไม่ีมีแล้ว...
เป็นคอมตัวเดิมที่เปลี่ยนไปแล้ว
คอมตัวนี้เคยเป็นแบบที่มันเป็นในอดีต
แต่ตอนนี้ ไม่ใช่แล้ว
เป็นคอมตัวเดิมที่เปลี่ยนไป
เราไม่เรียกมันด้วยชื่อใหม่ ไม่มีเติม ed ไว้ท้ายชื่อเก่า
แม้ตอนนี้มันจะเปลี่ยนไปจากตอนนั้นแล้วก็ตาม
คนที่เปลี่ยนไป เราก็ไม่เปลี่ยนชื่อ ไม่เติม ed หรือใส่ will นำหน้าชื่อเขาเหมือนกัน

ของทุกอย่างเปลี่ยนไปตามเวล
คนทุกคนก็เปลี่ยนไปตามเวลา
ขอบคุณคอมพิวเตอร์ตัวนี้ แม้มันจะทำให้หมี่ต้องทำงานหนักขึ้น
เพราะมันสอนหมี่ให้เรียนรู้ว่า หลายๆ อย่างเราเอาคืนกลับมาไม่ได้
แม้จะตะเกียกตะกายเอาคืนมาให้ได้ มันก็ไม่คุ้ม

เอาล่้ะ..
ข้อมูลในคอมพิวเตอร์หายไป ไม่เป็นไร ทำใหม่
สร้างโฟลเดอร์ใหม่ หาข้อมูลใหม่
จัดระเบียบคอมใหม่
แล้วป้องกันอย่าให้มันเป็นเหมือนเดิมอีก

วันเวลาและตัวตนที่เราเคยรักหายไป ไม่เป็นไร
สร้างใหม่ สะสมประสบการณ์และเรื่องดีๆ ใหม่
จัดระเบียบชีวิตใหม่
แล้วป้องกัน อย่าให้มันเป็นเหมือนเดิมอี

แต่เราไม่รู้หรอก ว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง จริงๆ นะ

6.2.53

emotion one

ตอนนี้นั่งอยู่ริมอ่างแก้ว อ่างเก็บน้ำในมช.
หลังจากผจญภัยกับมอเตอร์ไซค์คนเดียวมาตลอดช่วงเย็น
ตอนนี้ได้เวลาพักผ่อน จิบเบียร์

เดือนมกราคมปลายเดือน อากาศยังหนาวอยู่มาก
เพื่อนโจ้โทรคุยกับแฟนอยู่ข้างๆ แต่เราไม่มีใคร
โทรศัพท์แบตหมดและไม่มีใครให้โทรหาแล้ว

ยืมปากกาโจ้ จดกับสมุดโน้ตจิปาถะ อาศัยแสงจันทร์ให้ความสว่าง
จันทร์เต็มดวง แต่ยังเห็นดาวมากมายเต็มท้องฟ้า
อากาศหนาวมาก...จริงๆ

อยากได้ผู้ชายของตัวเองสักคนมานั่งตรงนี้แทนเพื่อนโจ้น
คนที่ใช่ ใช่ และใช่ ไม่มีข้อกังขา

จากการผจญภัยคนเดียว กินคนเดียว เที่ยวคนเดียว
ทำให้รู้ว่า การทำอะไรคนเดียวอาจต้องใช้ความพยายามมาก
แต่ถ้าทำได้ มันน่าภูมิใจไม่หยอกเลยนะ
(ขับรถซิ่งไปก็อมยิ้มไป ทำมาแล้ว)

ทำอะไรคนเดียว ถ้าทำไม่ได้ก็ต้องได้ เพราะไม่มีใครช่วย
ถ้าไม่เก่งขึ้นในบางเรื่อง ก็ฉลาดขึ้นในบางเรื่อง

แต่รู้ไหมว่า พอรู้ว่ามีเพื่อนสักคนอยู่ใกล้ๆ ก็รีบดิ่งไปหาเลยทีเดียว
มนุษย์อยู่คนเดียวได้ลำบากมากจริงๆ นะ
อาจจะอยู่ได้ แต่เราก็ต้องการคนอื่น

กำัลังกินเบียร์กระป๋องที่ 2 ให้หมด...
ยิ่งกินเยอะ คอเรสเตอรอลสูง
แต่ช่วงนี้กินหนัก อาจเป็นเพราะอยู่คนเดียว

มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่ขี้เหงา ต้องการคนอื่น
ไม่ใช่แค่อยู่รอบข้าง แต่เป็นคนที่เป็นของตัวเอง
แต่มนุษย์์ก็เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีโลกของตัวเอง มีพื้นที่ส่วนตัว
คนของตัวเองที่ไม่สามารถเข้ามาอยู่ในโลกนี้ได้ก็อาจต้องไป
แล้วมนุษย์ก็กลับมาเหงาใหม่...

หมี่กินเบียร์ด้วยความไม่เมา แต่กำลังจะอ้วก
บางทีอะไรที่เราไม่คิดว่าต้องพอ เราก็ไม่พอ
เราไม่ได้ไม่พอ แค่เราคิดว่ามันไปเรื่อยๆ ได้

อากาศหนาวมาก
เหตุที่ต้องมากินเบียร์นั้นเพราะอากาศหนาว
มีเพื่อนที่พามากินเบียร์ริมอ่างเก็บน้ำได้
และแปลกใหม่

มนุษย์แม่งก็มีแค่นี้แหละ ต้องการอะไรแปลกใหม่

ถามว่า ความงี่เง่าของความเป็นคนนี่ล้นเหลือกินมากๆๆๆ
แต่คนที่มันงี่เง่า มันก็ได้รับสิ่งดีๆ ได้ ได้ขึ้นสวรรค์อย่างไม่น่าเชื่อ
เพราะพระเจ้ารักเราว่ะ เห็นเรา สงสารเรา เข้าใจเรา และช่วยเรา --
พระเจ้าเจ๋งมาก

ช่วยหนูด้วยค่ะ
ขอให้หนูรู้จักรอคอยวางใจ
นะคะ

เขียนวันที่ 30.01.10 เวลาประมาณตี 1 ริมอ่างแก้ว มช.
ด้วยองค์ประกอบ 3 ประการ ที่ทำให้มึน
เบียร์ อากาศหนาวจนสั่น และแสงสว่างน้อยนิดจากดวงจันทร์
ไม่ตัดตอน ไม่ตัดต่อ ไม่ดัดแปลงใดๆ ทั้งสิ้น

10.1.53

เห็นแก่ตัว

เคยเจอคนประเภทนี้ไหมคะ
คนที่แบบ อยากได้อะไรต้องได้
หาหนทางวิธีการมากมายล้านแปด
ให้ได้มาซึ่งเป้าหมายที่ต้องการ

ถ้าหากไม่เดือดร้อนใคร จะเอาอะไรก็คงไม่ใช่ปัญหา
แต่ถ้าคว้ามาด้วยการสร้่างบาดแผลให้คนอื่น
นี่น่าจะเรียกว่า "เห็นแก่ตัว"

เมื่อก่อนนี้ หมี่ก็เป็นประเภทนั้นแหละ
แต่ด้วยความที่ไม่ค่อยต้องการอะไรมากนัก
นิสัยนี้เลยไม่ได้แสดงออกให้เห็นง่ายๆ

มีช่วงหนึ่งที่พระเจ้าเปลี่ยนมุมมองความคิดบางอย่าง
ได้รู้จักตัวเองมากขึ้นจากเวลาที่ผ่านมา 20 ปี
ก็ถึงจุดตระหนักว่า เรานี่มันโคตรเห็นแก่ตัวเลยว่ะ
ยิ่งคนใกล้ตัว ยิ่งเรียกร้อง ยิ่งไม่ยอม ไม่แคร์
มีน้องสาว ก็ไม่เคยจะยอมน้องเลย
มีแฟน พอไม่ได้ดั่งใจก็วีน ก็ทิ้ง
เบื่อเพื่อน ก็เลิกคบ ไปเที่ยวกับกลุ่มอื่น

ไม่ไหวแล้ว อยากเปลี่ยนตัวเอง
เลยเอาตัวเองเข้าไปอยู่ในกรอบ...
กรอบของการทำดี ทำตามสังคมใกล้ๆ ตัว
มันก็ทำไม่ค่อยยากเท่าไหร่ รู้สึกดีด้วย
แล้วก็เผลอดีใจไปว่า อาการแย่ๆ ที่เคยเป็น คงจะหายไปแล้ว
.
.
.
.
.
.

วันหนึ่ง เกิดปัญญาอะไรขึ้นสักอย่าง เดินทะลุกรอบออกมา
เจอโลกจริงๆ ที่กว้างกว่าตาเห็น
ได้เรียนรู้ที่จะอยู่ด้วยกันกับคนจริงๆ
คนที่มีทั้งดีและชั่ั่ว มนุษย์ทั่ั่วไป
มุมมองกว้างกว่าเดิม
แต่ใจเรายังเท่าเดิม...

ปัญหามันอยู่ตรงนี้แหละ
ใจยังเท่าเดิม...
ยังเป็นเด็กน้อย อยากได้อะไรก็จะเอาให้ได้
เรียกร้องจากคนที่พร้อมจะให้
ไม่ได้มองความรู้สึกของคนอื่นเท่ากับตัวเอง
และไม่ได้ให้อย่างที่ควรจะให้เลย
เป็นความ surprise ว่า อ้าว นี่เรายังไม่หายนี่หว่า

จริงๆ มันก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรมากหรอก
ไม่ได้อยากได้ของใคร ไม่ได้อยากทำร้ายใคร
แต่เวลาที่หันมามองตัวเองกำลังโกรธ เคือง เมื่อไม่ได้ดั่งใจ
เห็นตัวเองยโส คิดว่าควรจะได้ในสิ่งที่ควรจะได้ มันน่าทุเรศ

หมี่ว่า เพราะความรู้สึกแบบนี้แหละ
ที่ทำให้คนด่ากัน เกลียดกัน ทะเลาะกัน
หมี่เห็นคนทะเลาะกันก็แอบด่าเขาในใจ
ว่ามึงทะเลาะกันทำไม เห็นแก่ประโยชน์กันจัง
ชนะแล้วมีความสุขนักหรือไง
เอาเวลาไปทำอะไรดีๆ ให้คนอื่นดีกว่าไหม
แต่....



กูก็เป็นนี่หว่า...


เวลาที่ใครมาคุยด้วย แล้วบอกว่า เขาควรจะเปลี่ยนแปลงบางอย่าง
หมี่ก็มักจะบอกไปว่า อย่างน้อยรู้ตัวก็ดีกว่าไม่รู้ตัว

อย่างน้อยหมี่ก็รู้ตัวนะ ว่าเห็นแก่ตัว
เพื่อนพี่น้องถ้ามีโอกาสเห็นสันดานหมี่เมื่อไหร่ก็ช่วยตักเตืิอนด้วย
อาจทำหน้ายโสบ้าง แก้ตัวบ้าง แต่ว่าก็ด่าเถอะ หมี่ยอมไม่ยาก
ไม่ได้อยากเป็นคนดีอะไรเลย แค่ไม่อยา่กมานั่งทุเรศตัวเอง
แล้วก็สงสารคนใกล้ๆ ตัวที่ต้องคอยรองรับอารมณ์

รักพระเจ้ามากก็เพราะงี้แหละ
เห็นแก่ตัวซะขนาดนี้ พระเจ้ายังดูแลไม่ขาด คอยเตือนเรื่อยๆ
โอ้ พระคุณยิ่งใหญ่คับฟ้าจริงๆ