31.3.52

Creative ++++

เคยมีหลายคนเรียกหมี่ว่าเป็นนัก "creative"
ชอบสร้างสรรค์ บรรเจิด วาดวิมานในอากาศ
.
.
.
.
Gsus7 ช่วยตอกย้ำตัวเองได้ชัดเจนมากขึ้นว่า หมี่ไม่ได้เป็นนักฝัน
ไม่ได้มีความคิดสร้างสรรค์แหวกแนวมากกว่าคนอื่นเท่าไหร่เลย

หมี่ได้เจอนักฝัน นักสร้างสรรค์โลกใบใหม่ใน Gsus7 หลายคนเลยค่ะ
ขอให้มีอะไรจุดประกายมา เขาพร้อมสร้างฝัน ต่ิอยอดจินตนาการได้ทันที
และเรื่อยๆ...

หมี่ amazing กับเขามากๆ เลยนะคะ เพราะว่าหมี่ทำอะไรแบบนั้นไม่ได้น่ะ
แต่สงสัยไหมว่า ทำไมหมี่ได้รับหน้าที่ creative มาตลอด
(ปัจจุบัน ทำงานที่ใหม่ก็ได้เป็น creative)
.
.
.
.
เคยอ่านหนังสือเล่มหนึ่ง จำชื่อไม่ได้แล้ว
หน้าปกเป็นรูปหลอดไฟ เนื้อหาเกี่ยวกับการ creative

เขาบอกว่า ไม่มีสิ่งใหม่ในโลกใบนี้
การ creative คือการเอาสิ่งที่มีอยู่แล้ว มาปรับ เปลี่ยน ประยุกต์ แปะเข้าด้วยกัน
จนเกิดอะไรบางอย่างขึ้น โดยมีวัตถุประสงค์ "เพื่อการใช้งานได้จริง"

งาน creative ที่หมี่ทำ คือเอาสิ่งที่ทุกคนคิด มารวมกับสิ่งที่มีอยู่แล้ว
มารวมกับเป้าหมาย แล้วก็เขียนมันออกมาให้คนเห็นและเข้าใจ

ท่านที่เป็นนักฝันก็ฝันไปเถิดค่ะ โลกใบนี้จำเป็นต้องมีจินตนาการ
ท่านที่เป็นบริหาร ก็บริหารเถิดค่ะ มีหลายอย่างมากเหลือเกินที่ต้องจัดการ
ท่านที่เป็นนักประสานงาน ก็ประสานงานอย่างดี อย่างที่ท่านทำอยู่แล้ว
ท่านที่เป็นนักขาย ก็นำเสนอสิ่งดีที่ท่านมีด้วยความรักต่อไป...

หมี่ขอเป็นนักเล่าเรื่องที่เก็บเกี่ยวเรื่องราวของทุกคน ทุกสิ่ง ทุกอย่าง
แล้วสร้างสรรค์เป็นเรื่องราวใหม่...
ที่จะส่งผลให้เกิดสิ่งดีๆ มากมายบนโลกใบนี้นะคะ

โลกนี้อาจจะไม่มีสิ่งใหม่
แต่โลกนี้มีเรื่องราวใหม่เสมอค่ะ

28.3.52

ความรับผิดชอบ...

หนึ่งเรื่องสำคัญที่ได้เรียนรู้จาก Gsus7
คือ ความรับผิดชอบ...

ความรับผิดชอบเป็นต้นกำเนิดของความสำเร็จ
คนที่มีความรับผิดชอบ เขาจะได้ดูแลสิ่งที่ใหญ่โตและมากขึ้นเรื่อยๆ
แต่ความรับผิดชอบนั้นต้องประกอบด้วยความรู้ ความเข้าใจ
และการเปลี่ยนแปลงเติบโตในแต่ละวัน

2 เดือนแรก หมี่อยู่ที่ Gsus7 ในฐานะของ Producer รายการโทรทัศน์ 4 รายการ
ด้วยความกดดันเป็นอย่างมาก เพราะเรารู้สึกอยู่เสมอว่าตัวเองไม่ชอบทำงานโทรทัศน์
และในตอนนั้น ไม่มีทีมงานที่เชี่ยวชาญ ไม่มีอุปกรณ์ใดๆ ไม่มีอะไรเลย
มีแต่ช่วงเวลาที่ว่างๆ รอรายการเราเข้าไปออกอากาศ
และใจของคนทำงาน งงๆ ไม่กี่คน

หลายๆ ครั้งมันก็รู้สึกว่าอยากจะทิ้ง แล้ววิ่งหนีออกมาทำในสิ่งที่อยากจะทำ
แต่พ่อกับแม่เลี้ยงดูหมี่มาดีมาก สิ่งที่แม่สร้างคือความรับผิดชอบในตัวเอง
หน้าที่ของตัวเอง สิ่งที่ตัวเองมีอยู่ถืออยู่ และการรับผลของ "ผิดและชอบ"
จากการเลือกด้วยตัวเอง

สิ่งนี้เป็นสิ่งที่สำคัญนะคะ
มนุษย์กล้าเลือก กล้าทำ แต่เมื่อเกิดปัญหาก็โทษกันไปมา
ปกป้องตัวเอง เพราะไม่กล้ารับผิด

ช่องว่างของงาน เกิดขึ้นเพราะบางคนไม่รับผิดชอบมันจนถึงที่สุด

ความกดดันที่มากเกินไป
เกิดจากความไม่เข้าใจ ว่าแต่ละคนต้องรับผิดชอบกับตัวเองอย่างไร

หมี่เคยทำงานหนักมาก จนป่วย
เครียดมาก คิดว่าทุกอย่างเป็นความรับผิดชอบของหมี่
พอมีอะไรผิดพลาดก็รู้สึกว่า ทำไมชีวิตนี้ชั้นทำอะไรล้มเหลวตลอดเวลา
ทั้งที่จริงแล้ว มันไม่จำเป็นต้องคิดอย่างนั้นเลย

หมี่เคยได้รับงานที่มีหน้าที่เข้าไปจัดการช่วยในความรับผิดชอบของคนอื่น
กลายเป็นจุ้นจ้าน หาเรื่อง ทำงานเกินความรับผิดชอบของตัวเอง

หมี่เคยรับทำงานทั้งที่เราไม่มีความรู้อะไรเลย
แม้ด้วยความรับผิดชอบเต็มที่ของเรา งานก็ยังออกมาน่าสมเพช

หลายๆ ครั้งเหนื่อย เือือมระอา แล้วก็ทำนิสัยเหมือนคนเห็นแก่ตัว
ไม่ร่วมมือ ไม่ช่วยงาน...
เพราะอยากให้หลายๆ คนเข้าใจคำว่า รับผิดชอบ ให้มากขึ้น

ความรู้สึก เจ็บๆ ปวดๆ แย่ๆ ในใจ หลายครั้งเกิดจากการ "รับผิด"
แต่มันทำให้หมี่โตขึ้น และเตรียมหมี่ให้พร้อมกับการ "รับชอบ"

เวลาที่เราไม่รู้สึกว่าเรากำลังผิดพลาดอะไรเลย หรือต่ิอสู้กับอะไรเลย
บางทีก็ต้องกลับมาย้อนคิดว่า เอ หรือเรากลายเป็นคนไม่รับผิดชอบไปเสียแล้ว

ครั้งที่รับผิดชอบตำแหน่ง Project manager งานแถลงข่าวรายการนิยมกล้อง
ความรับผิดชอบในตอนนั้นมันใหญ่หลวงมาก
แต่ปัญหาที่ลอยมาให้แก้ไขเป็นแพ ก็คลี่คลายด้วยดี
สิ่งที่ดูเหมือนไม่น่าเิกิดได้ภายในไม่กี่วัน ก็เกิด
ทีมงานมากมาย แม้จะใหม่กันหมด แต่ก็ตบเท้าไปด้วยกันเต็มที่
ความเครียด ความกดดัน ความเหน็ดเหนื่อย คุ้ม เมื่อแลกกับความภูิมิใจ

ผ่านมา 2 ปี หมี่ค้นพบว่า ความรับผิดชอบเป็นของขวัญที่มีพลังในการขับเคลื่อนของชีวิต
หมี่ได้รับมันมาเยอะ ไม่ต้องสร้างใหม่มาก...
แต่ที่นี่สอนให้หมี่พัฒนา รู้จัก เข้าใจ และใช้มันอย่างถูกต้องมากขึ้น
และสิ่งที่เหลือไว้ และปรารถนาจะให้เป็น
คือ คนที่อยู่ที่นี่ทุกคนจะรู้จักคำว่า "รับผิดชอบ" อย่างดี
ถ่องแท้ ลึกเข้าไปในหัวใจ

27.3.52

ทบทวน...

เมื่อวันพุธที่ผ่านมา ชั้นเสวนาตอนเช้าของบริษัท
พูดถึงเรื่องที่น่าสนใจ 3 หัวข้อ

ข้อแรก... ได้อะไรจากการทำงานที่นี่
ข้อสอง... ทำงานที่นี่เพื่ออะไร
ข้อสาม... สิ่งที่ต้องเปลี่ยนแปลง

อืมมม
น่าตื่นเต้นเหมือนกันนะ
มีคำตอบมากมายหลายข้อเลยทีเดียว

ไหนๆ ก็ทำงานที่นี่มาหลายปีแล้ว (2 ปีนี่ถือว่าเยอะสำหรับหมี่แล้วค่ะ)
ลองทบทวนกันหน่อย....

20.3.52

พรมแดนท้าทาย

วงจรการพัฒนาชีวิตมนุษย์รูปแบบหนึ่งในการเติบโต...
ที่จะเรียนรู้จักตัวเองและพัฒนาด้านต่างๆ ในชีัวิต
เป็นวงจรที่ประกอบไปด้วย
"สภาวะเสถียรภาพ"
"่พรมแดนท้าทาย"
และ "สภาวะใหม่"
และเมื่อปรับตัวได้ ก็เข้าสู่ "สภาวะเสถียรภาพ" อีกครั้ง

ความเสถียรภาพทำให้ชีวิตดูมั่นคง (มองข้อดี)
สิ่งใหม่ๆ ทำให้ชีวิตตื่นเต้น (มองข้อดีเช่นกันค่ะ)
สิ่งสำคัญอยู่ในช่วงเวลาแห่งการตัดสินใจว่า จะเปลี่ยนแปลงไหม

การเปลี่ยนแปลงมักนำมาซึ่งความรู้สึกบางอย่าง
ที่กระทบต่อความมั่นคงในจิตใจ

คิดถูกหรือเปล่า...
ควรหรือไม่ควร...
เพราะข้อมูลที่มีและความเข้าใจเราอาจจะน้อยเกินไป

หวาดกลัว...
ไม่มั่นใจ...
เพราะถ้าตัดสินใจแล้ว ก็ไม่รู้จะเจออะไรต่อไป

แปลกใหม่...
ตื่นเต้น...
เพราะลุ้น ว่าถ้าตัดสินใจแล้วจะเจออะไรต่อไป

พรมแดนท้าทายเป็นเรื่องของการตัดสินใจ
เป็นความท้าทายในการเลือก...

เลือกว่า จะอยู่ในสภาวะเดิมที่ดูมั่นคงอยู่แล้ว
ไม่ต้องปรับตัว ไม่ต้องเจอกับแรงเสียดทานใหม่ๆ

หรือ จะก้าวไปสู่สภาวะใหม่
ที่ต้องมีการเรียนรู้และปรับตัวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

===============

กับคนอื่นๆ ความมั่นคงอาจจะเป็นเรื่องสำคัญในชีวิตนะ
แต่สำหรับหมี่...

ความมั่นคงในจิตใจ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่า เรายืนอยู่ที่ไหน
เราทำอะไร หรือเรากำลังจะเจออะไร

ความมั่นคงในชีวิต ไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่า
เรามีเงินเท่าไหร่ เรามีเพื่อนกี่คน
ร่างกายของเราใช้การได้ดีหรือไม่
ตำแหน่งงานของเราคืออะไร
เราทำงานอยู่ในองค์กรอะไร

แต่ขึ้นอยู่กับว่า เรามองที่อะไร โอกาสหรือปัญหา
และสิ่งที่เรามีทุกอย่าง เรามองมันอย่างไร

=============

ทุกครั้งที่เราจะตัดสินใจ เรามักจะประเมินและประมวลสิ่งต่างๆ ที่เรามี
การเรีัยนรู้ที่ผ่านมา ความเติบโตของเรา
สถานการณ์รอบด้าน ความคิดเห็นของคนอื่นๆ

ผลลัพธ์เป็นอย่างไร ก็จะเป็นคำตอบของคำถามที่บอกว่า...
ควรก้าวข้ามพรมแดนนั้นไปหรือไม่

แต่ไม่ว่าคำตอบเป็นอย่างไร อย่างน้อยเราก็จะได้ประเมินผลตัวเราเอง
จุดอ่อน/จุดแข็ง
ความสามารถที่เพิ่มขึ้น/ ลดลง
นิสัยที่เปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น/ แย่ลง

เนี่ยแหละ...
จุดเริ่มต้นของการเติบโตที่จะเรียนรู้จักตัวเองและและพัฒนาชีวิต

===============

หมี่กำลังจะเปลี่ยนงาน...

ย้ายไปทำงานเป็น Co-Producer ที่ TPBS ตามโอกาสและคำแนะนำที่เข้ามา
กลับเข้าสู่งานโทรทัศน์เต็มตัวอีกครั้งหนึ่ง

กลัวเหมือนกันนะ กับงานโทรทัศน์ที่เรารู้สึกว่ามันกดดัน
แต่ก็มั่นใจว่าองค์กรที่ยิ่งใหญ่และดูมั่นคงขึ้น จะเปิดโหมดการเรียนรู้ใหม่ๆ
หมี่ก็โตพอที่จะทำได้ แล้วก็จะโตขึ้นไปอีก
แล้วเอาสิ่งดีๆ ที่ได้รับมาเพิ่มเิติมให้คนอื่น

จริงๆ แล้วเรื่องการเปลี่ยนงาน ก็ถูกคิดและตัดสินใจมาสักพักแล้วล่ะ
ตอนนั้นแหละ เป็นช่วงเวลาของพรมแดนท้าทาย

ตอนนี้ก้าวข้าม "พรมแดนท้าทาย" ไปแล้ว เตรียมตัวเข้าสู่และเข้าสู้ "สภาวะใหม่"

ชีวิตเป็นเรื่องท้าทายนะคะ

ล้มบ้าง ถึงจะรู้ว่าความสำเร็จเป็นยังไง
หลงบ้าง ถึงจะรู้ว่า การเดินในเส้นทางที่ถูกมันสำคัญแค่ไหน
หัวแข็งบ้าง ถึงจะรู้ว่า มีที่ปรึกษามากก็ปลอดภัย
อ่อนแอบ้าง ถึงจะรู้ว่า มิตรสหายมีไว้เพื่ออะไร

นี่คือเหตุผลที่ ทำไมหมี่ถึงสนุกกับการก้าวเข้าไปสู่พรมแดนท้าทายเสมอ
ตอนนี้อายุ 25 ปี
เปลี่ยนงานมา 4 ที่แล้ว
ยังไม่เคยได้ Bonus จากบริษัทไหนเลย

หมี่น่าจะถูกสร้างมาเพื่อการแสวงหาและตักตวงประสบการณ์
มากกว่า วางรากฐานลงบนสิ่งที่มั่นคงในสายตามนุษย์นะคะ

คิดว่าอย่างนั้นล่ะ
^_^

12.3.52

......

รุ่นพี่ทีนิเทศศาสตร์ เป็นโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว
เพิ่งเสียชีวิตก่อนหน้านี้ไม่กี่ชั่วโมง
ที่ผ่านมาไม่เคยบอกเพื่อนเลยว่าเป็นโรค
รู้อีกทีก็อยู่ ICU

ย้ำกับเพื่อนทุกคนว่า
งานศพ ห้ามใส่้สีขาวดำ
ขอสีสันสุดๆ

เศร้าอะ
วันนี้อยู่ดีๆ ก็เศร้า
เจอเรื่องนี้ยิ่งเศร้าผิดปกติ

........................

9.3.52

Ralationships

เมื่ออาทิตย์ก่อนนู้น เบญ เพื่อนเก่าสมัยม.ต้น MSN มาทัก
ชวนไปเยี่ยมเพื่อนเก่าอีกคนที่สามีไม่สบาย
รอกันไป รอกันมา ก็อดไป

เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ตวน เพื่อนเก่าสมัยม.ต้น โทรมาบอกว่ามีเพื่อนเสียชีวิต
ชวนไปงานศพที่ราชบุรี แต่ว่าไปตั้งแต่บ่ายสาม ก็เลยไม่ได้ไปด้วย

อาทิตย์ก่อนไปรับงานเข้าบริษัท ติดต่อใหุ้ พี่มิตรตรี รุ่นพี่ที่นิเทศเป็น outsource เสนอราคามา
บริษัทเก่าที่เราทำงานด้วยเองล่ะ โทรไปล้วก็คิดถึงเหมือนกันนะ

มุกกี้ เพื่อนมหาวิทยาลัยโทรมา ขอให้ช่วยส่งงานเก่าๆ ไปให้
เพราะจะไปเรียนต่อ ต้องเสนอ Port ขอทุน

เพื่อนที่มหาวิทยาลัยอีกคน ไอ้โจ้ (เรียกโจ้ธรรมดาไม่ได้จริงๆ ค่ะ)
ขึ้น MSN ว่า มีเพื่อนที่คณะได้ลง Inn Magazine
พอไปทักก็ลีลา แล้วมันก็ให้คำมาคำหนึ่งว่า "บะหมี่ที่ทำด้วยแป้งชั้นดี"
ต่อด้วยบริบทอะไรไร้สาระนี่ล่ะ
แต่ชอบคำนี้จัง

โอ๊ตจิ๋ม เพื่อนที่เคยกินเหล้าด้วยกันตอน ปี 3 ก็ ทัก MSN มาหา
จะให้่ช่วยคิดงานให้ ไม่ได้คุยกันจริงจังตั้งนานแน่ะ

วันนี้ ไอซ์ เพื่อนม.ปลายอีกคนหนึ่ง จัดงานแต่งงาน แถวหลักสี่นู้นแน่ะ
แล้ววันพฤหัสที่จะถึงนี้ ภัทร (หรือให้เราเขียนว่า ทอย อะ)เพื่อนอีกคนจะผ่าตัดเปลี่ยนไต
ต้องไปเยี่ยมให้ได้

นี่โหมดเพื่อน

วันอาทิตย์ที่แล้วไปทานอาหารเย็นกับ พี่แฟนต้า พี่สาวที่อยู่ฝรั่งเศส พาลูกกับสามีมาเที่ยวที่ประเทศไทย
ลูกชายอายุขวบกว่าๆ หน้าตาน่ารักที่สุดในโลก
ชื่อน้องลูกชิ้น ชื่อจริงว่า ตะลันต์
อยู่ฝรั่งเศส พ่อเป็นคนตูนีเซีย แต่ลูกชิ้นพูดไทยได้
น่ารักมากๆๆๆๆๆๆ

เหมี่ยว น้องสาวคนสวย (แต่หัวสีส้ม) ส่งขนมถุงใหญ่มาให้จากอังกฤษ
บอกว่า มันเยอะมากๆๆๆๆ เธอต้องตื่นเต้นๆๆ
(มันใกล้หมดแล้วล่ะเธอ)

นี่โหมดครอบครัว

เมื่อวันก่อน พี่ที่เคยจ้างทำงาน
อยู่ดีๆ ก็โทรมาหา ถามสารทุกข์สุขดิบแบบงงๆ (เรางง)

คืนวันศุกร์ พี่อีกคนที่เคยมาช่วยๆ งานกัน เคยส่งงานมาให้ทำ
็ทักเราทาง MSN แล้วชวนไปช่วย creative บทการ์ตูน

เมื่อวานนี้ พี่เค พี่ชายที่ออฟฟิศเก่า ก็แวะมาทักทายผ่าน MSN ขอ URL Blog นี้
(ดีใจนะคะ ที่พี่อ่าน ^_^)

แล้วเมื่อวันจันทร์ พี่ไก่ อดีตช่างภาพสารกระตุ้น (ตอนนี้เป็นช่างภาพสุดสัปดาห์)
ก็โทรมาขอเบอร์ติดต่อคนที่เคยทำงานด้วย

ได้คุยกับพี่โอ๊ต บก.สารกระุตุ้น พี่ชายที่น่ารักอีกคน
ขอเบอร์ ขอชื่อนามสกุลและิอาชีพ ไปทำ resume
คุยกันแล้วนึกถึงสารกระตุ้นนะ

อืม.....

อยากเก็บทุกๆ คน ในทุกๆ ช่วงของชีวิตเอาไว้
ไม่ให้หายไปไหนเลย

ช่วงนี้ำทำงานเยอะๆๆ
ลืมติดต่อชาวบ้านอย่างที่ควรจะทำ
เสียดายเวลาที่ผ่านไปตั้งนาน
ที่ไม่ได้ใส่ใจ...
มีเพื่อนที่เสียชีวิตไปแล้ว
คุณป้าที่เสียชีวิตไปแล้ว
เพื่อนอีกหนึ่งคน นอนป่วยอยู่ ยังไม่ได้ไปเยี่ยม
เพื่อนอีกคนกำลังจะเข้าผ่่าตัด ก็ยังไม่ได้ไปเจอ

สงสัยต้องปรับโหมดการบริหารเวลาชุดใหญ่แล้วล่ะ

++++ -_-" +++++++++

6.3.52

เหตุเกิดของความเครียด

ไม่ได้อัพเดท blog หลายวันมาก
พอมาอ่าน ก็รู้สึกว่าทิ้งท้ายเป็นเรื่องเครียดๆ เอาไว้นานเชียว
ไม่ได้ ไม่ได้ เดี็ยวคนอ่านจะไม่สดชื่น

ว่าแล้วก็มาเขียนเรื่อง "เหตุเกิดของความเครียด"
เรื่้องเครียดเป็นเรื่องที่หมี่พูดบ่อยมาก
เพราะว่าเครียดบ่อย
ยิ่งช่วงที่ผ่านมา มีคนทักเรื่องความเครียดของเราหลายคนเชียว
ประมาณว่าสัมผัสออร่าได้
ไม่ดีเลย ทำให้คนอื่นไม่สบายใจ

พี่คนหนึ่งก็เลยให้แจกแจงความเครียดออกมา ส่งเป็นการบ้าน
เขียนแล้วก็กลัวเขาจะยิ่งไม่สบายใจ

แต่หมี่เขียนแล้วสบายใจขึ้นนะ
ถึงว่า คนเก็บกด มีปัญหา ต้องให้เขียนไดอารี่

เหตุเกิดของความเครียดสำหรับหมี่นะคะ
ไม่รู้คนอื่นเป็นไหม

1.กังวลว่างานจะไม่เสร็จตามที่ได้รับมอบหมาย
จะรู้สึก (ไปเอง) ว่างานกระชั้นอยู่ตลอดเวลา งานไม่เคยเสร็จและไม่มีวันเสร็จ
ต้องทำๆๆๆ ให้เร็วที่สุด ไม่พักก็ต้องทำ
ซึ่งบางทีก็ไม่ได้จำเป็นอะนะ

2.กังวลว่าคุณภาพงานจะออกมาไม่ดี
รู้สึกว่าต้องรับผิดชอบในสิ่งที่ถูกคาดหวังคุณภาพสูง แต่เราไม่ได้เชี่ยวชาญ ไม่ได้มีความสามารถด้านนั้นอย่างครบถ้วน ก็กลัวมันจะออกมาไม่ดี

3.กังวลว่าตัวเองจะทำสิ่งต่างๆ อย่างไม่เต็มที
ในความอ่อนแอและจำกัดของมนุษย์ มันก็มีหลายอย่างที่เปลี่ยนไม่ได้ แล้วถ้ามันเป็นอุปสรรคในการทำสิ่งต่างๆ ก็จะยิ่งเครียดถ้าเราเปลี่ยนมันไม่ได้ รู้สึกว่าเป็นต้นเหตุเล็กๆ ที่มีผลต่อความผิดพลาดน่ะค่ะ

4.กังวลว่าตัวเองจะไม่พัฒนา
กลัวว่าจะไม่โตขึ้นอย่างที่ควรจะเติบโต และไม่กว้างขวางพอที่จะดูแลและช่วยเหลือคนอื่นได้ หรือเอาความรู้ข้อมูลที่มีมาทำสิ่งที่เกิดประโยชน์ไม่ได้อย่างดีที่สุด

อ่านแล้วเป็นไงคะ
เครียดไหม
ไร้สาระเนอะ

ที่จริงทุกเรื่องทุกความเครียดมันก็มีคำตอบและหลักการปรับโหมดของมันอยู่แล้วล่ะ
เพียงแต่ความเป็นมนุษย์ มันก็ควบคุมตัวเองไม่ได้ทั้งหมดหรอก
แต่ความเป็นมนุษย์เนี่ยแหละ ที่จะช่วยให้เราเข้าใจ เติบโตขึ้น เรียนรู้
และอยู่อย่างมีความสุขทุกสถานการณ์ได้

เพราะมนุษย์ไม่ได้ถูกสร้างมาเป็นผู้วิเศษ ทำทุกสิ่งได้
เราก็เลยต้องเรียนรู้ที่จะเป็นอะไรที่เล็กน้อยในการทำสิ่งใหญ่ๆ
แล้วก็ร่วมมือกับคนอื่น ยอมรับในความผิดพลาดบ้าง

เพราะหมี่ชอบคิดว่า หมี่ต้องแบกๆๆ อะไรไว้เต็มไปหมด ทั้งที่ไม่จำเป็นเลย
มีคนช่วยแบกอยู่ตั้งเยอะแยะ
กลายเป็นคนช่างเครียด ช่างขมวดคิ้ว

สรุปว่าช่วงนั้น
ปลงได้ เพราะเหตุการณ์ขำๆ บางอย่าง
มีอย่จันทร์หนึ่ง
ขึ้นรถเมล์ตั้งแต่เช้า เช้ากว่าปกติเยอะอยู่ แล้วก็ไปถึงออฟฟิศสายเท่าเดิม
แถมขึ้นไปแล้วไม่ได้นั่งอีกต่างหาก

ก็คิดได้ว่า อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด
พยายามตื่นเกือบตาย
พอตื่นได้ ก็ดันเป็นวันที่รถติดหนักซะนี่
เราควบคุมได้เท่าที่เราถืออยู่นั่นแหละ
ซึ่งนับไปนับมาก็ไม่ได้มีอะไรเท่าไหร่หรอก

ยืนอ่านหนังสือบนรถเมล์ 2 ชั่วโมง พร้อมกับฟังเพลงไปด้วย
ก็ไม่ได้เป็นชีวิตที่เลวร้ายนักนี่นา
จะเครียดให้ชีิวิตมันหดหู่ไปทำม้ายยยย