22.12.52

Merry Christmas & Happy New Year 2010

รู้สึกว่า ต้องเขียนอะไรสักอย่างก่อนปีใหม่
เพราะมีเรื่อง (ทั้งดีและแย่) เยอะแยะไปหมด

เดือนธันวาคมเป็นเดือนแห่งการเฉลิมฉลองจริงๆ
กิน ดื่ม เต็มที่กับเพื่อน เพื่อนเก่า และเพื่อนใหม่
เดินเล่นซื้อของขวัญ
มีความสุขกับอากาศเย็นๆ
ใส่เสื้อกันหนาว
อ่านหนังสือ
ดูละครโปรด

ความรู้สึกในวันคริสตมาสและปีใหม่ปีนี้
ต่างจากหลายปีที่ผ่านมา...
ถ้ามีรอยยิ้ม ก็เป็นยิ้มที่ไม่เหมือนเดิม
ถ้ามีน้ำตา ก็เป็นน้ำตาที่ไม่เหมือนเดิม

ปีใหม่ก็เป็นแค่เวลาหนึ่งที่เลข คศ เปลี่ยน
ปีใหม่ไม่ได้แปลว่ามีการเริ่มต้นใหม่
ไม่ได้แปลว่าเราทิ้งสิ่งเก่าๆ ได้
ไม่ได้แปลว่าอะไรจะดีขึ้นหรือจะแย่ลง
ปีใหม่บอกอย่างเดียวว่า เวลากำลังผ่านไป

ชีวิตมนุษย์สั้นมาก แค่ 60-70 ปี
เป็นฝุ่นผงถ้าเทียบกับประวัิติศาสตร์โลก
ลองนึกดูว่า มีคนกี่เปอร์เซ็นต์ที่พูดชื่อแล้วคนทั้งโลกรู้จัก
มีคนกี่เปอร์เซ็นต์ที่สร้่างอนุสรณ์บางอย่างไว้บนโลกนี้ได้
มีคนกี่เปอร์เซ็นต์ที่เปลี่ยนโลกได้...

หมี่ว่ามันสำคัญที่เราควรจะตอบคำถามที่ว่า
เราเกิดมาเพื่อเป็นคนไม่กี่เปอร์เซ็นต์นั้นหรือเปล่า
เราถูกสร้่างมาเพื่อยืนตรงไหนในโลกใบนี้

แต่ก่อน... ถ้าพูดคำว่าอยากทำอะไรก็ทำ
หมี่จะรู้สึกว่ามันดูเห็นแก่ตัวจัง
ตอนนี้... ถ้าหมี่ได้ทำอะไรที่หมี่อยากทำจริงๆ
หมี่จะคิดว่าทำไมเรากล้าอย่างนี้วะ

มีเรื่องไร้สาระในสายตาคนอื่นตั้งหลายอย่า่ง ที่หมี่ทำแล้วโคตรมีความสุข
แล้วก็มีเรื่องดีๆ ในสายตาคนอื่นอีกหลายอย่าง ที่หมี่ไม่แม้แต่จะสนใจทำ

ถ้ามีหนึ่งอย่างที่ขอได้ในวันคริสตมาส
อยากขอให้คนรักกัน เชื่อใจกัน และให้เกียรติกันอย่างที่พระเจ้าให้เกียรติเราเสมอ
ดูโคตรนางเอก แต่หมี่คิดว่า
ไม่ว่าใครจะเกิดมาเพื่อคนทั้งโลก หรือเกิดมาเพื่อแค่บางคน
ก็ไม่ใช่เรื่องที่จะต้องมาดูถูกหรือยกหางกันสักหน่อย

ปีใหม่แล้ว เหลือเวลาอีกไม่มาก
ทำสิ่งที่ทำให้คุณมีความสุขและมีรอยยิ้ม
ทำในสิ่งที่คุณรักและเชื่อ แม้ต้องร้องไห้
รักพระเจ้ามากๆ
อย่าลดคุณค่าของตัวเองเพราะคำพูดของใคร
มีความหวังเสมอ
แบ่งปันสิ่งดีที่มีให้กับคนที่ไม่มี
("ให้" จนเรารู้สึกเจ็บปวดบ้างก็ได้นะ)

สุดท้าย อย่าลืมใช้เวลาและสิ่งต่างๆ ที่มีกับคนที่คุณรัก
รวมถึงคนที่คุณควรจะรักให้มากขึ้นด้วยนะคะ
(เพิ่งแปลบทความต่างประเทศ เขาบอกว่า
การใช้เวลา่กับเพื่อนและครอบครัว เป็นสิ่งที่สร้างความสุขให้กับเราได้มากที่สุด
มากกว่าเดิน Shopping อีกค่ะ)

ขอบคุณที่อยู่ด้วยกันบนโลกใบนี้
ขอบคุณที่แลกเปลี่ยนสิ่งดีๆ ให้กัน
แม้มันอาจจะไม่ใช่เรื่องระดับโลกแต่ก็มีคุณค่ากับหมี่นะ ^^

6.12.52

วันพ่อ

วันนี้วันพ่อ เลยไปหาพ่อที่ร้าน
เดินซื้อของแถวๆ นั้นไปฝากพ่อ
ซูชิ 1 กล่อง
ก๋วยเตี๋ยวลุยสวน 1 กล่อง
น้ำส้มคั้น 1 ขวด
กับพวงมาลัย 10 บาท

พ่อไม่ค่อยอยากได้อะไรเท่าไหร่
นึกถึงพ่อ นึกออกแต่เหล้า เบียร์ กับเสื้อห่านคู่
ก็เลยซื้อของที่เราอยากกินไปให้ซะเลย

เดี๋ยวนี้พ่อนอนไม่ค่อยหลับ
ห่วงน้องสาวคนละแม่อีกคน
น้องสาวคนนี้ไม่ค่อยกลับบ้า
พ่อตื่นมาตี 2 ไม่เห็นน้อง ก็นอนต่อไม่ลง
อาทิตย์นึงก็แทบจะไม่ได้เจอกัน

พ่อยังมาขายของทุกวัน
ใช้หนี้ผ่อนนู้นนั้นอีกหลายปี
่พ่อบอกว่า ไม่รีบตายหรอก
จะอยู่ใช้หนี้ให้หมดก่อน

พ่อพาไปเลือกเสื้อร้านข้างๆ
แล้วก็ให้ลองกางเกงในร้านอีก 4-5 ตัว
ให้เป็นของขวัญที่เราไม่ควรจะได้รับ
หรือวันนี้วันพ่อ พ่ออยากมีความสุข
พ่อก็เลย "ให้" แล้วทำให้ลูกมีความสุข

พ่อเป็นคนฉลาด ช่างคิด
คิดจนผมขาวทั้งหัวแล้ว
พ่อไม่ค่อยพูดมาก ขี้เล่น กวน
แต่ถ้าโมโหสุดๆ นี่ น่ากลัวอย่างแรง
พ่อสอนหมี่เล่นกีตาร์ ทำให้หมี่ชอบฟังเพลง
พ่อพาไปสอบโรงเรียนประถม
พ่อสอนวิธีคิดดีๆ หลายอย่างให้หมี่

ชีวิตใกล้ชิดแม่มากกว่า
แต่ว่าพ่อก็สร้างสิ่งดีๆ ไว้ให้หมี่เยอะมากจริงๆ

เสื้อผ้าที่พ่อให้วันนี้เหมือนเป็นของขวัญ
พ่อก็เป็นของขวัญ

วันนี้ที่โบสถ์นิวซอง
เราแชร์ความคิดและความรู้สึกกัน
พี่แพตบอกว่า ถ้าเราู้เห็นว่าทุกอย่างในชีวิตเราคือของขวัญจากพระเจ้
ก็หมายความว่า ทุกวันเป็นวันเกิดของเรา
ทุกวันมีความหมายกับเรา

ถ้าทุกสิ่งที่พ่อทิ้งไว้ ทำให้เราเป็นเราในวันนี้
ก็เหมือนพ่อให้ของขวัญหมี่ทุกวัน
ของขวัญนั้นมีความหมายมากพอที่จะรักพ่อได้ทุกวัน
แม้หมี่กับพ่อจะไม่ได้เจอหรือคุยกัน
แม้ใครจะมองพ่อยังไง

ก่อนออกมาจากร้านพ่อ
บอกพ่อไปว่า พักผ่อนให้มากๆ
ก็รู้ว่า ถ้าพ่อยังต้องตื่นตี 2 ทุกวันเพราะห่วงลูกสาว
ก็คงจะทำไม่ได้อยากที่บอกไว้เท่าไหร่

พระเจ้าคะ ดูแลคุณพ่อด้วยนะคะ
ขอให้พ่อหลับสบายด้วยร่างกายที่แข็งแรง
...ทุกๆ คืน...

4.12.52

สุดสุดไปเลย

Title : นานเหลือเกิน
Artist : อัยย์

ฝันไป ทุกอย่างที่ผ่านพ้นมา นั่นคือฝันไป
หัวใจ เมื่อไรจะหยุดเสียใจ ในเรื่องเก่า
หนทาง ไม่ห่างแต่อาจแสนไกล จะไขว่คว้ามา
ถามใจ ในสิ่งที่ต้องเสียไป ได้เท่าไร

บางสิ่งที่ตามหา จะไขว่คว้า นานเหลือเกิน
บางสิ่งที่ตามหา จะไขว่คว้า นานเหลือเกิน

เข้าใจ ไม่อยากให้เธอเสียใจ หากไม่สัญญา
น้ำตา ไม่หมดไปจากหัวใจ แม้วันเลยผ่าน
หัวใจ ต้องการที่จะก้าวไป แม้ต้องเสียใจ
ถามใจ สิ้นสุดตรงที่ใด นานเท่าไร

บางสิ่ง ที่ตามหาจะไขว่คว้า ยิ่งแสนไกล
บางทีก็อ่อนไหว จะทนไหม ไกลเหลือเกิน

สูญเสียทุกอย่างภายในใจ
เหลือไว้เพียงแต่การรอคอย
นานเหลือเกิน

หนทาง ไม่ห่างแต่อีกแสนไกล จะไขว่คว้ามา
ถามใจ สิ้นสุดตรงที่ใด นานเท่าไร


Title : สุดสุดไปเลย
Artist : นูโว


อยากจะขับรถ ต้องหัดต้องขับรถ ยอมทุ่มเทให้รถรา
อยากจะขี่ม้า ต้องหัดต้องขี่ม้า ยอมทุ่มเทให้ม้าไป
ไม่มีบ่น ไม่ทำเป็นเหมือนคนงอแง
ไม่มีแตร ไม่มัวแต่นั่งทำสงสัย
ไม่มีเบรค ใส่เกียร์เดินหน้าลุยมันเข้าไป
ถ้าหากต้องการได้สิ่งไหน ลุยไป ไม่ต้องยั้ง

หากว่าอยากรัก ถ้าอยากจะถูกรัก มัวแต่ยึกแต่ยักคงไม่ทัน
หากจะอยู่กับฉัน ถ้าอยากอยู่กับฉัน คงต้องทุ่มเทกันทั้งใจ
ไม่ลังเล ต้องเทมาทั้งใจสุดสุด
ไม่มีหยุด ถ้าหยุดคงไม่ไปถึงไหน
ไม่ต้องกลัว จะมัวมาให้คาอยู่ได้ไง
ถ้าหากมีใจอย่าเก็บไว้ เทไปไม่ต้องยั้ง

สุดสุดไปเลย เสียเวลาทำไมอยู่
สุดสุดไปเลย เข้มไปเลยถ้าเอาอยู่
สุดสุดไปเลย เคยไม่เคยจะได้รู้
มีแค่ไหนก็ทุ่มมันทั้งใจ ทุ่มเทเข้าไว้ให้สุดสุด

รักใครก็รัก ให้สุดสุด

++++++

เพลงเก่าๆ นี่มันเจ๋งจริง
สนุกเสมอ เพราะเสมอ
ซึ้งเสมอ เศร้าเสมอ
เป็นแรงบันดาลใจที่ดีเสมอ

ขอบคุณพระเจ้าสำหรับเสียงดนตรี

ได้อ่านหนังสือ "นกของพระเจ้า"
สัมภาษณ์ ตุล อพารท์เมนต์คุณป้า
กับพี่เจ้ย อภิชาติพงศ์
คนในแวดวงศิลปะไทย

คนสมัยนี้กลัวความเงียบ
พักหลังๆ หมี่ก็กลัวเหมือนกัน
แต่ถ้าเราไม่อยู่เงียบๆ บ้าง
เราก็จะลืมมองเข้าไปในจิตใจตัวเอง
ลืมรู้จักตัวเอง

ชีวิตที่มีความสุข เกิดจากการได้เป็นตัวของตัวเองนะ
ทำในสิ่งที่ตัวเองรัก แม้ใครไม่รัก
เดินตามความฝัน แม้ดูไม่น่าไปเท่าไหร่
ความฝันเป็นสิ่งที่ต้องมีการไขว่คว้า ไล่ล่า
ค้นหา ถามและตอบไปเรื่อยๆ
ที่สำคัญคือ ก้าวไปข้างหน้ากับการลองผิดลองถูก
ปล่อยให้ตัวเองโตในแบบของตัวเองไปเรื่อยๆ

ยากว่ะ ยังหาทางแจ่มๆ ไม่เจอ
แต่ก็เอาเถอะ อยู่นิ่งๆ ก็เหมือนตาย
ตายด้วยดาบ (หน้า) ยังดีกว่าเฉาตาย

27.11.52

เป็นคนนี่มันเหนื่อยนะ

ว่าไหม..

เดือนที่แล้ว เศร้าน้ำตาตกไม่รู้สาเหตุ

เดือนนี้ได้ไปเที่ยวรีสอร์ทดีๆ ทะเลสวยๆ ตั้ง 2 ที่
ดูหนังสนุกๆ 2 เรื่อง
(ทไวไลท์ นิวมูน เรื่องนี้ห้ามพลาด)
ได้กินมื้อเย็นหน้าเตาอุ่นๆ ตอนอากาศหนาวๆ
กินกับแม่ น้องชาย กับเพื่อนๆ อีกหลายมื้อ
พ่อโทรมาหาบอกว่าคิดถึง
ตอนสิ้นเดือน มีเงินเหลือ..

แต่...
ทำงานเสร็จไม่ทัน dateline
ไปนวดก็ปวดตัวจนนอนไม่ได้
ง้องแง้งกับแฟนหลายรอบแล้ว
เริ่มเครียดกับงานจนปวดหัว
โดนดุเสียงดังด้วย

มันเหมือนกับ...
เดี๋ยวก็มีเรื่องแย่ๆ แล้วเดี๋ยวก็มีเรื่องดีๆ
เดี๋ยวเราก็โตขึ้น แล้วเดี๋ยวเราก็กลายไปเป็นเด็กน้อยอีก
เดี๋ยวก็ผิดหวัง เดี๋ยวก็ได้ดั่งใจ
เดี๋ยวนั่งดมควันรถติดในกรุงเทพ แล้วเดี๋ยวก็ได้ไปสูดอากาศที่ไกลๆ
เดี๋ยวดูหนังเศร้าน้ำตาซึม เดี๋ยวก็ดูละครรักอมยิ้ม
เดี๋ยวกินบุฟเฟต์อาหารญี่ปุ่น แล้วก็ต้องกลับมากินข้าวโรงอาหารที่โคตรไม่อร่อย

เหนื่อยมากที่ต้องมารับอารมณ์ที่เปลี่ยนไปมาของตัวเอง
รับอารมณ์คนอื่นอีกตะหาก
ต้องทนกับความทุเรศของตัวเอ
แล้วก็ทนกับความบ้าบอของเพื่อนร่วมโลกด้วย
นี่ยังไม่นับการต้องเป็น "คนดี" ของ "คนอื่น" นะเนี่ย

เรื่องราวต่า่งๆ เข้ามา แล้วออกไป
เปลี่ยนใหม่
เริ่มเรื่องใหม่ รับมือกันอีก ด้วยอารมณ์ใหม่ๆ
หนึ่งวันเป็นสิบสิบเรื่อง
ไม่เหนื่อยได้ไงวะ
แล้วอยู่กันมาได้ยังไงตั้งนาน

ขอบคุณพระเจ้าที่อยู่กับเราทุกสถานการณ์และช่วงอารมณ์
เพราะความเจ็บปวดทำให้เรามีความสุขได้ซึ้งมากขึ้นจริงๆ นะ

ขอบคุณสำหรับอากาศหนาวๆ และเกาะช้างด้วยค่ะ
รักพระเจ้าที่สุึด

25.10.52

เหตุผลที่เราต้องรักคนข้างๆ

ระหว่างการแข่งขันนัดแดงเดือดวันนี้
อยู่ดีๆ แม่ก็โวยวาย เปลี่ยนช่อง
ไม่ให้น้องชายดูบอลที่กำลังถ่ายทอดสดอยู่
จนมันหัวเสีย ต้องออกมาดูทางเว็บ จอเล็กๆ ไม่มีแอร์ พากย์ภาษาจีน!!

แล้วสักพักแม่ก็เปิดช่องเดิม
ให้น้องชายหมี่กลับเข้าไปดูในห้องเหมือนเดิม

นึกๆ แล้วก็ตลกดี...
แม่เป็นอย่างนี้มาแต่ไหนแต่ไร
เอาแต่ใจตัวเอง (แบบไม่รู้ตัว) พูดจาไม่รู้เรื่อง
ไม่แปลกที่พ่อกับแม่จะอยู่ด้วยกันไม่ได้
ไม่แปลกที่หมี่กับน้องจะมีช่องว่างกับแม่อยู่บ้าง
เรียกได้ว่า ต้องคอยหาจังหวะดีๆ มุดช่องเข้าไปให้แม่อุ่นใจเรื่อยๆ

หมี่ไม่โทษใคร และไม่รู้สึกว่าใครผิดที่พ่อกับแม่เลิกกัน
มันเหมือนกับ ใครสักคนในสองคนนี้ โตพอ กล้าพอ
และตัดสินใจตามความจริงว่า การอยู่ด้วยกันมันไม่ได้ดีจริงๆ
เขาไม่ได้รู้จักและรักกันอย่างที่เป็นจริงๆ

เหตุผลที่คนมากมายแต่งงานกันแล้วก็หย่า อาจจะมาจากเรื่องนี้
ทั้งสองคนไม่รู้จักกันมากพอในวันที่ตัดสินใจ
ไม่รู้จักอีกฝ่ายมากพอ ว่าเป็นอย่างไร
ไม่รู้จักตัวเองมากพอ ว่าต้องการอะไร

ในสายตาคนอื่น แม่อาจจะเป็นคนใจใหญ่ เป็นคนตลก
...แต่คนที่อยู่ด้วยกันจริงๆ ถึงรู้ว่าเราต้องทนกับอะไร
ในสายตาคนอื่น น้องชายอาจจะเป็นคนไม่สนใจใคร
...แต่คนที่อยู่ด้วยกัน ถึงจะรู้ว่า เขาแคร์คนอื่นมากแค่ไหน
ในสายตาคนอื่น พ่ออาจจะขี้เมาที่สุดในโลก
...แต่คนที่รู้จักพ่อจริงๆ ถึงจะรู้ว่าพ่อพยายามแค่ไหนเพื่อครอบครัว

นี่เป็นเหตุผลที่เราควรจะรักคนที่เราอยู่ด้วยมากกว่าใครๆ
เพราะนอกจากเราแล้ว ไม่มีใครที่รู้จักเขามากพอ...
มากพอที่จะรักเขาได้อย่างที่เขาเป็น

เหตุผลที่เรามักจะไม่น่ารักกับคนในครอบครัวมากกว่าคนอื่น
เพราะครอบครัวเรา คือคนที่รู้จักเรามากพอ
รู้จักอย่างนี้แล้วยังจะรักเราได้อีก
เลยมั่นใจว่า เราทำอะไร ก็คงจะรักไม่เปลี่ยน

เหตุผลเดียวกัน...
เพื่อนจะรักกันมากขึ้น หรือทะเลาะกันจนไม่อยากมองหน้า
ก็เมื่อวันที่ได้ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน (หรือร่วมหุ้นลงเงินกัน)

และเหตุผลเดียวกัน...
เราไม่ควรแต่งงานกับคนที่เราฝันถึง
ถ้าเราไม่ได้เป็นตัวของตัวเองเมื่ออยู่ด้วยกัน
และถ้าเราไม่รู้ว่า จริงๆ คนนี้เป็นยังไง

หมี่ว่าเรามีโอกาสน้อยนะ ที่จะรู้จักใครสักคนมากพอ
และที่ใครสักคนจะรู้จักเรามากพอ

ก็เลยเชื่อว่า ควรจะรักครอบครัวของเราให้มากๆ
ไม่ว่าใครจะเป็นอย่างไร
รักพ่อให้มากๆ แม้จะไม่ได้อยู่กับพ่อ
รักแม่ให้มากๆ แม้แม่จะเอาแต่ใจตัวเอง
รักน้องชายให้มากๆ แม้มันจะเล่นมุขเสี่ยวๆ
รักน้องสาวให้มากๆ แม้มันจะไม่ค่อยกลับบ้าน
รักคู่ชีวิตให้มากๆ แม้เขาจะทำอะไรขัดใจตลอดเวลา

อีกอย่าง
เราควรจะรักเพื่อนเราและคนรอบข้างด้วย
อย่างน้อย ก็พยายามไม่ทิ้งโอกาสที่จะได้รู้จักกัน
พอรู้จักกันมากขึ้น ก็จะได้รักกันมากขึ้น

8.10.52

colorful no more?

โอ้ย คิดถึงหน้าว่างๆ
ไม่ได้เขียน Blog เขียนโน้ตซะนาน
รู้สึกเหงาๆ มือ แล้วก็เหงาๆ หัวใจอยู่บ้างเหมือนกัน

ประมาณกลางสัปดาห์ที่แล้ว ฝนตก
พกร่มออกจากบ้านเป็นครั้งแรกในรอบ 1 ปี
เพิ่งรู้ว่าร่มที่บ้่านของตัวเอง คันใหญ่มากกก
ใหญ่จนถือไม่ไหว ก็เลยตั้งใจว่า จะซื้อร่มพกติดกระเป๋าตัวเองสักที

ระหว่างทางกลับบ้าน ลงป้ายรถเมล์แถวบางพลัดไปต่อรถ
เจอผ้าใบแบะกะดินขายร่มริมถนนร้านหนึ่ง
มีร่มให้เลือกไม่ถึง 10 แบบ
ราคา 100 บาท ทำให้ไม่ค่อยแน่ใจในคุณภาพสักเท่าไหร่

แต่เหตุผลที่ทำให้เดินไปเยี่ยมร้านและได้ร่มพับ 3 ตอนสีน้ำตาลติดมือกลับมา
ก็คือคุณลุงพ่อค้า ที่กุลีกุจอต้อนรับลูกค้าอย่างดี
คุณลุงรื้อร่มจากซองมากางให้เลือก 2 คัน (และมีทีท่าจะรื้ออันต่อไป ถ้าไม่บอกให้หยุด)
บรรยายสรรพคุณ พร้อมชี้เครื่องหมายรับรองรางวัลระดับเอเชียให้ดู
รอยยิ้มจริงใจ ทำให้ไม่ลังเลเลยในการควักกระเป๋า

หลังจากนั้น ก็เศร้าไปอีกหลายวัน ทุกครั้งที่นั่งรถผ่าน
คุณตาขายร่มได้วันละกี่คัน กำไีรที่ได้จะพอกินข้าวไหม
ลูกหลานคุณตาไปไหน
ตอนกลางวัน คุณตานั่งตรงนั้นจะต้องตากแดดหรือเปล่า

เดี๋ยวนี้กลายเป็นคนเศร้าๆ
เศร้ากว่าแต่ก่อนอย่างเห็นได้ชัด
เหมือนกับเพิ่งจะรู้ความจริงว่า
ในโลกนี้มีเรื่องอะไรที่น่าเศร้าและเจ็บปวดเต็มไปหมด
เหมือนกับเพิ่งจะเห็นว่า
มันมีอะไรมากกว่ารอยยิ้มของคนบางคน
มีอะไรมากกว่านิสัยไม่ดีของคนบางคน

ไอ้เรื่องที่เคยคิดว่าดี มันก็กลับกลายเป็นไม่ใช่
ไอ้เรื่องที่เคยไม่เห็นด้วย ตอนนี้กลับทำซะเอง

การเติบโตขึ้นกับมุมมองที่เปลี่ยนไป
บางทีมันก็ทำให้ทุกอย่างดูเป็นเรื่องตลก
ทั้งๆ ที่รู้ว่ามันคือเรื่องจริง
คนแต่ละคนต้องเจอกับเรื่องพวกนี้จริงๆ
ท่าทางจะต้องใช้เวลาปรับตัวอยู่พอควร

ในขณะที่ความฝันและความหวัง ยังรอให้เดินไปหา
ก็เริ่มรู้่อย่างจริงจังว่าโลกนี้มันกว้าง
เรามันแค่เด็กน้อยที่ทำอะไรไม่ได้เท่าไหร่ ช่วยใครได้ไม่มากนัก
ก็เลยจะยากหน่อย ในการรื้อฟื้นความสุขสดใสแบบเดิมให้กลับมา
พยายามที่จะหวังและเชื่อให้เต็มหัวใจเหมือนก่อน
โดยที่รู้ว่าเราควบคุมอะไรไม่ได้เลย

Dark ไหมล่ะคะ
ไม่เป็นไรค่ะ
การมีชีวิตแบบเศร้าๆ ก็ยังดีกว่ามีชีวิตที่รู้สึกอะไรไม่เป็น
ขอบคุณพระเจ้าที่ทำให้เราเห็นโลกอย่างที่มันเป็นซะที
ขอบคุณพระเจ้าสำหรับร่มของคุณลุง

24.9.52

Suicide?

เมื่อไม่นานมานี้ เพื่อนของแม่ที่ต่างจังหวัดผูกคอตายเพราะปัญหาครอบครัว
แม่บอกว่า
"ไม่เข้าใจเพื่อนแม่ที่ฆ่าตัวตาย เพราะแม่ไม่เคยคิดจะตาย
ยิ่งไปเที่ยวเยอะๆ ยิ่งรู้ว่ามีอะไรที่ตั้งหลายอย่างที่ชีวิตนี้ยังไม่ได้เห็น
ตายไปน่าเสียดาย"

สองวันที่ผ่านมา ได้ตื่นเต้นกับการเจอดาราดังๆ ตั้งหลายคน
วันนี้ก็เจอเพื่อนๆ ที่ new song แล้วก็ได้รับอะไรดีๆ กลับมาเพียบ
ยังมีอะไรอีกตั้งเยอะที่ฝันว่าอยากจะทำ แต่ยังไม่ได้ทำ
อยากไปเที่ยวทั่วไทย อยากเที่ยวรอบโลก

เข้าใจแม่เหมือนกันนะ
ทุกครั้งที่มีปัญหาเข้ามา แม่สู้ตลอด แล้วก็ทำให้ทุกอย่างดีขึ้นได้จนวันนี้

แต่ไม่รู้ว่า ถ้าเป็นตัวหมี่เอง เวลาที่ปัญหาเข้ามา เราจะยังอยากทำสิ่งที่อยากทำอยู่ไหม
เราจะยังเห็นคุณค่าชีวิตของคนอื่นๆ รอบๆ ตัวอยู่ไหม
เราจะตื่นเต้นกับโอกาสต่างๆ ที่ได้รับอยู่หรือเปล่า
เราจะฆ่าตัวตาย หนีปัญหาพวกนั้นหรือเปล่า

ที่ผ่านมาเคยคิดบ้างเหมือนกันว่าถ้าตายไปเลยก็คงสบายดี
แต่ไม่เคยคิดอยากฆ่าตัวตาย
ไม่ได้กลัวตายนะ แต่กลัวเจ็บ กลัวคนอื่นเสียใจ ทำไม่ไหว
ที่สำคัญ พระเจ้าไม่ปลื้มเอาซะเลย

หลายคนดำรงชีวิตอยู่ด้วยความกลัว
แต่หลายคนก็ตัดสินใจตาย เพราะความกลัว
ยิ่งเวลาที่เราอยู่คนเดียว ต้องเผชิญหน้ากับตัวเอง
...ยิ่งรู้สึกกลัว

หมี่ว่า เป็นเพราะมนุษย์ขี้เหงา เวลาอยู่คนเดียวเราก็จะเหงา
แล้วเราก็รู้สึกว่า เราโดดเดี่ยวเหลือเกินในโลกใบนี้
หลายครั้ง ความโดดเดี่ยวทำให้เรามองไม่เห็นอะไร
โลกกว้างใหญ่เกินไปที่จะมั่นใจในสิ่งที่เราหวังได้

แต่เพราะทุกอย่างเป็นไปได้
หมายความว่า ทุกสิ่งที่เรารอคอย มันมีทางที่จะเกิดขึ้นได้จริงๆ
อยู่ที่ว่าเราเลือกที่จะ "เชื่อ" หรือไม่

ขอบคุณพระเจ้าที่ทำให้เรามีความหวังในทุกสิ่ง
หมี่จะไปเที่ยวรอบโลกนะคะ

13.9.52

ย้อนเวลา

เคยฟังเพลง ย้อนเวลา ของ Scrubb ไหมคะ

อยากจะย้อนเวลา กลับไปช้าๆ
ย้อนเวลากลับไปอย่างเดิม
ให้เป็นเหมือนทุกวันที่สดใส
แล้วทั้งสองจะลองเลือกทางก้าวไป
ไม่สนใจ อะไรทั้งนั้น

ไม่กี่วันที่ผ่านมา ได้มีโอกาสกลับไปเจอ ไปคุย ไประลึกถึงเรื่องเก่าๆ ในชีวิต
แล้วก็ทำให้เกิดความรู้สึกบางอย่าง

การที่เรามีความทรงจำดีๆ อยู่เต็มไปหมด ก็มีข้อเสียอยู่บ้างเหมือนกันนะ
ถ้าหากว่าอดีตของเรามันเป็นเรื่องย่ำแย่ ไม่้น่าจดจำ
ก็คงจะรู้สึกดี ที่ผ่านพ้นมาเสียได้
แต่สำหรับหมี่ ที่ "ไม่" เคยรู้สึกเลยว่าเรื่องไหนในชีวิตเป็นเรื่องร้ายๆ
เมื่อมองกลับไป ก็ทำให้เกิดความรู้สึก "เสียดาย" ได้อยู่บ่อยๆ

มันเหมือนกับว่า...
อยากจะเก็บความรู้สึกแบบนั้นเอาไว้
อยากให้ความผูกพันทุกอย่าง ระหว่างคนและเรื่องราวยังคงเดิม
อยากยืนอยู่ตรงนั้นอีักครั้ง

บางเรื่องดีๆ เกิดขึ้นและผ่านพ้นไปตามกาลเวลา
แต่บางเรื่องดีๆ ต้องเปลี่ยนแปลงไปด้วยการตัดสินใจของเราเอง
เพื่อสิ่งที่ดีกว่า...

พอรู้สึกคิดถึงขึ้นมาเมื่อไหร่ ก็อดที่จะคิดไม่ได้ว่า...
ถ้าตอนนั้น เราเลือกที่จะอยู่อย่างนั้นต่อไปล่ะ
คงจะเก็บอะไรดีๆ ที่หวงแหนเอาไว้ได้ใช่ไหม

จริงเหรอ ที่เมื่อเราเลือกจะยืนอยู่ตรงนั้น แล้วพื้นที่ตรงนั้นจะไม่มีวันหายไป
จริงเหรอ ถ้าเราย้อนเวลากลับไปได้ เราจะไม่เลือกเหมือนเดิม

มันก็เป็นแค่การเปลี่ยนผ่านของชีวิต เราเติบโตขึ้นเรื่อยๆ
หมี่อาจจะไม่ได้เลือกทางที่ดีที่สุด ไม่มีใครรู้
แต่หมี่ทำดีที่สุด ในการเคารพตัวเอง เคารพสิ่งที่หมี่เชื่อ ณ เวลานั้น

หมี่ถูกสอนให้เชื่อในสิ่งที่ดียิ่งกว่า
เราตัดสินใจที่จะเชื่อและรอคอยในสิ่งที่ดีที่สุด

และหมี่คิดว่า สิ่งดีๆ นี่แหละ
คือสิ่งที่ต้องแลก
คือสิ่งที่ต้องเสียไปเพื่อสิ่งที่ีดีที่สุด

เสียดายแค่ไหนก็ทำได้แค่ยิ้ม และขอบคุณพระเจ้าสำหรับทุกเรื่องราวในชีวิต
และรอคอยเรื่องราวใหม่ๆ ในเส้นทางที่กำลังเดิน

8.9.52

ช่วงว่าง

ทำงานมาได้เกือบครบ 1 เดือนละ
เรียกว่า งานยุ่ง ชีวิตวุ่นวายมากขึ้นจนไม่มีเวลามาเขียนบล็อก

นั่นคือข้อแก้ตัว ไม่ใช่เหตุผล
จริงๆ แล้วคือ ยังติดนิสัยทำตัวชิวๆ เหมือนตอนว่างๆ มากกว่า

การเข้าไปทำงานที่อัมรินทร์เป็นอะไรที่ Amazing กับชีวิตเป็นอย่างยิ่ง
อยู่ว่างๆ คิดมากๆ แล้วก็ได้เป้าหมายเรื่องหาทุนไปเรียนต่อ
แล้วก็มีงานประจำทำซะอย่างนั้น

ตอนนี้เรื่องภาษา เรื่องหาทุน เรื่องเรียนต่อ เรื่องพัฒนาตัวเองอื่นๆ
ยังไม่ไปถึงไหน...

แต่ก็นอนหลับสบายดี
5555

ไม่น่าเชื่อว่าช่วงว่างงานเดือนกว่าๆ เป็นช่วงฟุ้งซ่านและคิดไม่ตก
นอนไม่ค่อยจะหลับ เพราะไม่ต้องใช้แรงทำอะไร
ไม่ต้องมีตารางเวลาก็ได้ เพราะ free มากจนไม่ต้องจัดเยอะแยะเหมือนเมื่อก่อน
เรียนรู้จักตัวเองมากขึ้น ว่าเรานี่ก็ขี้กังวลมิใช่น้อย

กลับมาถามตัวเองว่า...
ช่วงที่ตัวเองดูเหมือนไร้ค่า
เรารู้สึกไร้ค่าไปตามสถานการณ์ไหม

ที่เคยพูดเองว่า คุณค่าของชีวิต ไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าเราทำอะไร
เราเชื่ออย่างนั้น จริงๆ ไหม

วันที่เดินตามทางที่เราเชื่อ แต่ยังไม่เห็นอะไร
เราหวั่นไหวหรือวางใจ

มีคนเคยบอกว่า ค่าของคนอยู่ที่ผลของงาน
แต่หมี่คิดว่า การทำงาน เป็นกลไกที่ทำให้เราได้ใช้สิ่งที่เราถูกสร้างมา
มันก็เลยเพิ่มความหมายและความเจ๋งของชีวิต
สิ่งที่เราอุตส่าห์มีและเป็น ไม่ได้ไร้ความหมายหรือไร้ค่าต่อโลกนี้
และพลังงานที่เรากินเข้าไปทุกวัน ก็มีที่ปลดปล่อย

หมี่คิดว่า มนุษย์เกิดมาแล้วควรทำอะไรบางอย่างเพื่อคนอื่นนะ อาจจะเป็นงาน เป็นการกุศล
ถ้าว่างงาน แล้วมีัเงินดูแลตัวเองมากพอ ก็เอาเวลาไปช่วยคนอื่น ทำสิ่งที่อยากทำก็ดี
แต่ถ้าว่างแล้วกังวล หางานทำไปก็ดีกว่า

น่าดีใจตรงที่ได้งานที่อยากทำด้วยนี่สิ
ไม่ว่าง (เกินไป) แล้ววว
เย้ๆ

ว่าแล้วก็ต้องจัดการตัวเองให้ดีกว่านี้แล้วล่ะ
งานเริ่มเข้า อย่ามัวแต่ติดนิสัย "ชิว"

19.8.52

แก้ไข & ป้องกัน

วันนี้มีงานแถลงข่าวโครงการ Healthy Avenue
เป็นโครงการที่บริษัทยาแห่งหนึ่งได้ร่วมงานกับรัฐบาลและโรงพยาบาลหลายแห่ง
จัดกิจกรรมตรวจร่างกายให้กับประชาชนฟรี
เป็น 7 โรคที่ความเสี่ยงสูง และมีโอกาสตรวจได้ยาก
และให้คำแนะนำสำหรับแนวทางป้องกัน

(ดีใจจัง ตรวจร่างกายแล้วไม่มีความเสี่ยงใดๆ
ผลออกมาว่า ตอนนี้ร่างกายฟิตเหมือนคนอายุ 18 อิอิ)

แพทย์ท่านหนึ่ง ให้ข้อมูลที่เจ๋งมาก ประมาณว่า
"เดี๋ยวนี้โรงพยาบาลไม่ได้รักษาโรคแบบเดิมแล้ว
แต่เปลี่ยนแนวไปเป็นการให้คำปรึกษาเพื่อป้องกันมา่กกว่า"

พี่แอน บก.นิตยสาร SHAPE ที่หมี่ไปทำงานด้วย
พูดถึงแนวเนื้อหาของนิตยสารว่าเราเน้นการดูแลสุขภาพเพื่อการป้องกัน

หมี่คิดว่าการป้องกัน คือการมองไปที่อนาคต มี Vision แบบก้าวหน้า
ส่วนการแก้ไข คือการจัดการกับผลสืบเนื่องของอดีต ไม่ต่างอะไรกับการย่ำอยู่กับที่
แน่นอนว่าเราละเลยการแก้ไขปัญหาไม่ได้ (ไม่งั้นจะมีปัญหามากขึ้น ย่ำต่อไปอีกนาน)
แต่เราควรยอมรับในหลายๆ ครั้งที่ปัญหาเกิดจากการที่เราไม่ได้ป้องกันให้ดี

คนที่มีอายุมากๆ (ยิ่งมากยิ่งดี) มักจะปลง เข้าใจโลกและเข้าใจชีวิต
มีความสุขได้ในการมีชีวิตอยู่ แม้จะใกล้ตายเต็มที่
ถ้าหากว่ามีโอกาสได้คุยกับคุณยาย คุณย่า ถึงชีวิตที่ผ่านมาของท่าน
ลองเปิดใจถามท่านถึงความสำเร็จ ความผิดพลาดล้มเหลว
มุมมองที่เปลี่ยนไปเรื่อยๆและมุมมองที่ดีที่สุดในการใช้ชีวิต
เผื่อจะสามารถใช้ชีวิตอย่างดี มีัการป้องกันมากขึ้น
ไม่ใช่ต้องมาคอยตามแก้ไขจนไม่มีที่สิ้นสุด
และไม่ได้ทำอะไรดีๆ ให้โลกสักที

เราใช้เวลาอยู่กับความขัดแย้งและความเหงามากไปไหม
คนแก่คงรู้แล้วล่ะ ว่าเงินทองไม่ได้มีค่าไปกว่าความรักของคนรอบข้าง
ถ้าเรารู้แล้วจะได้ป้องกัน ไม่ไปสร้างฐานะมากกว่าสร้างมิตร

เราให้เวลากับงานและการศึกษามากไปไหม
คนแก่คงรู้แล้วล่ะ ว่าความสำเร็จไม่ใช่ทุกสิ่งของชีวิต
ถ้าเรารู้แล้วจะได้ป้องกัน ไม่ปล่อยให้ชีวิตพังเพียงเพราะล้มเหลวกับงาน

เราหดหู่ ผิดหวัง กับคนที่เรารักบ่อยครั้งเกินไปไหม
คนแก่คงรู้แล้วล่ะ ว่าความรักจริงๆ มันคือการให้ไม่หวังอะไรตอบแทน
ถ้าเรารู้แล้วจะได้พยายามทำความเข้าใจ
ว่าไอ้ที่รักๆ และทุ่มเทไป มันจะไม่ได้กลับมาอย่างต้องการทุกครั้งหรอก

เราทำอะไรตามใจคนอื่น จนลืมความรู้สึกของตัวเองไปแล้วหรือไม่
คนแก่คงรู้แล้วล่ะ ว่าการละเลยความต้องการของตัวเองไม่ใช่หนทางที่ดีเลย
ถ้าเรารู้แล้ว จะได้ทำในสิ่งที่เชื่อและต้องการได้อย่างมั่นใจ

ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขให้มากเถอะค่ะ
รักษาสุขภาพกายและใจของคุณเสมอ
มองโลกในมุมที่สวยงาม
เพราะโลกนี้และมนุษย์ไม่ได้มีอะไรน่ากลัวขนาดนั้น
นัดเจอเพื่อนที่อยากเจอ
ไปหาคนที่คุณรัก
นอนให้เพียงพอ กินให้อร่อย
รักตัวเองให้มาก
เห็นคุณค่าตัวเองและคนอื่นให้มากเช่นกัน

เพื่อวันแห่งวิกฤตของคุณมันจะไม่เลวร้ายเกินไป
จนต้องมาตามแก้ไขอะไรไม่รู้ยาวเหยียด

16.8.52

When you're alone.

You have to face the truth of your life,
Sometimes you lost on your way.
Many things in this life you cannot control.
You can do nothing to reach your target, even dream.
Once you meant to be better, you missed it,
again and again.

You have to face yourself,
You'll know that you're lonely.
You're selfish and really greedy.
You ask for somethings in spite of considering you shouldn't receive it.
And when you have a chance to appreciate the grace, you fear to get it,
you fear to be responsible in your life.

You'll grow up through these pain waiting for you when you're alone.
Try it!

(first time writing English blog, sorry for my poor English)

9.8.52

หาดเทียน's week

เมื่อวานนี้ไปโบสถ์
พี่น้องคนหนึ่งแบ่งปันเรื่องราวชีวิตของเขาและแนวคิดของ Jesus Christ
เกี่ยวกับการใช้ชีวิตที่ต้องเผชิญหน้ากับความทุกข์ยากและเจ็บปวด

สัปดาห์ที่ผ่านมาของหมี่ เริ่มต้นด้วยความดื้อดึง
เป็นเด็กน้อยขี้กลัวที่โยนความผิดให้กับคนรอบข้าง
กว่าจะเคลียร์ปัญหาได้ ก็ร้องห่มร้องไห้ไปหลายยก

เวลาที่เรารู้ตัวและยอมรับว่าเราทำผิด
ยากมากเหมือนกันนะ ที่จะบอกตัวเองให้ลุกขึ้นใหม่
เพื่อรอรับอะไรดีๆ ในชีวิต

สถานการณ์ที่เราเจอในแต่ละวัน
บ่อยครั้งที่มันมากระตุ้นให้เรารู้สึก "แย่"
และเราต้อง "เลือก" ว่าจะจัดการกับความ "แย่" นั้นอย่างไร

เช้าวันอังคารอัมรินทร์โทรมา ถามว่ายังอยากทำงานด้วยอยู่ไหม

วันพุธได้ไปเที่ยวหาดเทียน ที่เกาะล้าน พัทยา
จากความวุ่นวายที่เจอและความขี้เกียจ
เลยคิดอยู่นาน ว่าจะไปดี หรือไม่ไปดี

ความรักและแรงกดดันจากพี่ชายน้องสาวที่น่ารัก
ก็ทำให้ตัดสินใจไป (แล้วก็กลัวว่าได้ทำงานแล้วจะอดเที่ยวด้วยล่ะ)













เกาะล้านเป็นเกาะที่มีคนต่างชาติมาเที่ยวเยอะ
โดยเฉพาะหาดเทียนที่หมี่ไป คนไม่ค่อยค้างคืนกัน
หลังจาก 5 โมงเย็น ก็เลยเหลืออยู่แค่ 6 คนบนเกาะ

เป็นอีกช่วงเวลาที่ดีเหมือนกันนะ
ได้เล่นน้ำทะเลเป็นครั้งแรกในรอบ 3 ปี (น้ำใสมากกกกก)
ต้มมาม่าในหม้อต้มยำ ตอนห้าทุ่ม ใช้ทิชชู่เป็นเชื้อเพลิง
นอนหลับริมทะเล ตากลมเย็นๆ ทั้งคืน
อ่านหนังสือจบไป 1 เล่มครึ่ง
















วันพฤหัสบดี เดินทางกลับ
อัมรินทร์โทรมาบอกว่าให้เริ่มงานได้ 17 ส.ค. นี้
ฐานเงินเดือนได้ตามที่ขอไว้

เย็นวันศุกร์ ไปกินข้าวกับเพื่อนสมัยมัธยมที่ไม่ได้เจอกันนานมาก
นั่งร้านริมแม่น้ำ (ร้านใกล้บ้านมากๆ แต่ไม่เึคยไป)
ตั้งแต่ทุ่มครึ่ง ถึงเที่ยงคืน

วันเสาร์นั่งทำงานกับน้องชายสุดที่รัก ตามคำสั่งแม่
ได้คุยกันหลายต่อหลายเรื่อง
เหมือนได้อัพเดทชีวิตและวิธีคิดของกันและกัน
น้องเรานี่มันโตเกินวัย เกินเพื่อนจริงๆ ด้วยนะ

วันนี้ วันอาทิตย์ ตั้งใจจะไปกินข้าวกับแม่
แล้วก็ให้โทรศัพท์มือถือเป็นของขวัญวันแม่ปีนี้


+++++++++++++++++


หลายครั้งที่เรื่องดีๆ ในชีวิต ไม่ได้เข้ามาเพราะว่าเราดีพอจะได้รับสิ่งนั้น

การเติบโตในแต่ละวัน หมี่ว่ามันคือ การยอมรับกับสิ่งที่เราเจอในแต่ละวัน
ยอมรับกับตัวเองว่าเรามันก็แค่เด็กน้อยที่ยังไม่ค่อยจะโต
เราเผชิญหน้ากับสิ่งเหล่าันั้นได้ไม่ค่อยจะดีสักเท่าไหร่
เราควบคุมอะไรไม่ได้มากไปกว่าตัวเราเอง
และหลายๆ ครั้งก็ควบคุมตัวเองให้ทำอย่างที่ตั้งใจไม่ค่อยจะได้ด้วย

เรื่องดีๆ ในชีวิตมีคุณค่ามากมายจริงๆ นะคะ
โดยเฉพาะในเวลาที่เรารู้ตัวว่า เราไม่ควรที่จะได้รับมันสักเท่าไหร่
เรื่องดีๆ เหล่านั้น ช่วยทำให้ความรู้สึก "แย่" ของเราหายไป

ขอบคุณสำหรับทะเลและสายลมที่หาดเทียน
ขอบคุณสำหรับงานที่รอคอยมานาน
ขอบคุณสำหรับเพื่อนๆ ที่ได้เจอกันและคุยกัน
ขอบคุณสำหรับครอบครัวที่ดีมากๆ จริงๆ
ขอบคุณสำหรับทุกๆ อย่างค่ะ

30.7.52

สัญญา

คุณเคยทำสัญญากับใครไหมคะ
สัญญาที่บัญญัติขึ้นด้วยความตั้งใจของคุณข้างเดียว ไม่ขึ้นอยู่กับว่าเขาจะเป็นอย่างไร
สัญญาที่ทำขึ้นด้วยคนทั้งสองฝ่าย ที่ตกลงกันว่าจะทำอะไรบางอย่างร่วมกัน
สัญญาที่มีอะไรบางอย่างอยู่ตรงกลาง เป็นพยานพันผูกข้อตกลงของทั้งสองฝ่าย

น้อยมาก ที่หมี่จะทำสัญญาอะไรกับใคร
เหตุผลหลักคือ ไม่เห็นความสำคัญ
ถ้าสิ่งนั้นจำเป็นและดีเพียงพอ เราจะดูแลรักษามันไปเรื่อยๆ
ไม่ต้องสัญญาก็จะทำ

สัญญาที่ไม่จำเป็นต้องสัญญา ก็ไม่น่าจะต้องสัญญา
ถ้าคุณอยากจะทำอะไรให้ใคร ก็แค่ทำ ไม่เห็นต้องสัญญา
เพราะเมื่อคุณสัญญาแล้ว คุณต้องรักษามัน

เรียนรู้มาเสมอว่า สิ่งต่างๆ เปลี่ยนแปลงได้
ตัวเราเองก็เปลี่ยนไปทุกวัน
ความเข้า้ใจที่เปลี่ยนแปลงไป ก็ทำให้เราเห็นอะไรในมุมมองใหม่ๆ
บางอย่างที่เคยดี เคยเหมาะ อาจจะไม่ดีอีกต่อไป
และบางอย่างที่ไม่ดี เราอาจจะเห็นสิ่งดีที่ซ่้อนอยู่มากกว่าสิ่งไม่ดีที่เคยเห็น
วันใดที่มุมมองและความเข้าใจของทั้งสองฝ่ายต่างกัน
สัญญาก็อาจต้องมีการทบทวนกันใหม่

เพราะสัญญานั้นสำคัญ ทำให้เราไม่สามารถยกเลิกมันได้ง่ายๆ
ถ้าหากทั้งสองฝ่ายเห็นตรงกัน ต้องการยกเลิกสัญญา ก็ถือว่าดีไป

แต่หลายครั้ง ไม่ได้เป็นแบบนั้น...
การกล่าวเลิกสัญญา มักจะนำความปวดใจมาให้กับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง
...หรือทั้งสองฝ่าย
ทั้งที่ไม่ใช่ความผิดของใคร

สัญญาบางอย่าง เมื่อคุณตกลงใจทำสัญญานั้นแล้ว
คุณบอกเลิกโดยตัวคุณเองไม่ได้
อีกฝ่ายก็เช่นกัน
ต้องตกลงกับบุคคลที่สามเพื่อปลดพันธะ
เวลานั้น คุณอาจจะเพิ่งตระหนักได้ว่า...
คุณนั่นเอง ที่ทำให้เรื่องต่างๆ มันยากเกินความจำเป็น

คุณควรจะคิดให้มากเพียงพอกับการกล่าวคำสัญญา
และคิดไตร่ตรองมากขึ้นไปอีกกับการทำสัญญาที่เป็นลายลักษณ์อักษร

สำหรับ "พันธสัญญา"
คุณควรใช้ทั้งชีวิต จิตใจ สมอง และอีกหลายๆ อย่างที่คุณมี
เพื่อประมวลผลว่า "ใช่หรือไม่" และตัดสินใจว่า ตกลงหรือไม่

สัญญาบางอย่าง อาจแค่ไร้ความหมายไปง่ายๆ เมื่อสองฝ่ายไม่ปฏิบัติตาม
สัญญาบางอย่าง เป็นต้นกำเนิดแห่งการสูญเสียความสัมพันธ์ระหว่างกัน

สัญญาบางอย่าง ถูกผูกพันไว้ด้วยกฏเกณฑ์ที่มีคุณค่า เหนือกว่ากฏหมายใดๆ
นั่นคือความรัก...

เราไม่อาจยกเลิกสัญญา เพราะเราไม่อาจยกเลิกความรักนั้น
แม้ต้องอดทนนาน แม้ไม่เข้าใจหรือเจอกับความไม่เข้าใจ
แม้กลัวกับการสูญเสีย
แม้เราต้องพบกับความอ่อนแอของตัวเอง
แม้เราต้องพบกับความอ่อนแอของอีกฝ่าย
แม้จะเหนื่อยกับการเปลี่ยนแปลงกันและกัน
แม้จะดูเหมือนไม่มีอะไรที่ดีขึ้น

แต่เพราะผูกพันกันไว้ด้วยความรัก
และความรักชนะทุกสิ่ง
สัญญาก็จะถูกรักษาไว้ได้จนถึงวันสุดท้ายของชีวิต

ยอมเสี่ยงไหมคะ สัญญานี้ที่จะผูกมัดทั้งชีวิตของคุณ

22.7.52

ที่ระลึก

หลังจากใช้ชีวิตแบบคนว่างงานมาประมาณครึ่งเดือนได้
พักอย่างที่อยากพัก
ทำสิ่งที่อยากทำ
แล้วก็ได้โอกาสมาจัดการชีวิตที่ทิ้งร้างไว้นานเสียที

เริ่มต้นจากตู้เสื้อผ้า ก็ได้เสื้อผ้าไม่ใช้แล้วออกมากองใหญ่
หลังจากนั้นก็เป็น sheet
สมุดจดคำเทศน์ หนังสือเรียนพระคัมภีร์
เอามากองๆ รวมกัน

ตระหนักมานานแล้วว่าบ้านนี้ฝุ่นเยอะ
ตอนนี้ยิ่งตอกย้ำเข้าไปอีก ว่ามันเยอะจริงๆ
ขนาดในตู้ปิดๆ หรือในห้องที่ไม่มีคนอยู่
ฝุ่นก็ยังเข้าไปหมักหมมได้เยอะอย่างไม่น่าเชื่อ

ฝุ่นก็เหมือนนิสัยไม่ดีบางอย่างของคนเรานะ
ยิ่งไม่รื้อ ไม่ทำความสะอาด ก็ยิ่งเยอะ ยิ่งหมักหมม
อยู่ในที่ปิด ที่ไม่มีใครเห็น ไม่ได้หมายความว่าไม่มี
แต่ว่า ยิ่งมีเยอะ ยิ่งทำความสะอาดยากเข้าไปอีก

จัดการเสื้อผ้า เอกสารเรียบร้อย ก็มาถึงส่วนที่ยากที่สุด
ลิ้นชัก ตู้ กล่อง ที่เก็บของที่ระลึกทั้งหลาย
ของขวัญจากเทศกาลต่างๆ
การ์ดและจดหมายจากเพื่อนฝูงตั้งแต่สมัยประถม
ของที่ระลึกจากงานต่างๆ ที่ได้ไป join
ทั้งงานที่ไปเป็นเป็นผู้ชม ไปเป็น staff และไปเป็นแขก

ยากที่สุด เพราะทิ้งไม่ลงสักอัน
แล้วก็จะต้องพยายามไม่เปิดอ่านจดหมายเวลาที่เก็บอยู่

ตอนเก็บของทำความสะอาดวันนี้
ทำให้รู้ว่า เราเกือบจะลืมเรื่องราวหลายๆ อย่าง
และเำื่พื่อนหลายๆ คนไปแล้ว

จริงๆ ด้วยนะ...
เราเปลี่ยนไปเรื่อยๆ เปลี่ยนไปทุกวัน
วันที่เราอยู่มัธยม เราก็ต่างจากวันที่อยู่ชั้นประถม
วันที่เราเรียนมหาวิทยาลัย เราก็มองกลับไปด้วยความรู้สึกอีกแบบ

เคยเห็นหลายๆ คนโหยหาอดีต
อยากกลับไป ณ เวลานั้น
ไปเอาความสุข ความทรงจำ สิ่งที่เราเคยเป็น เคยมีในอดีตกลับมา

แต่ว่า เวลาผ่านไปเรื่อยๆ และเราโตขึ้นเรื่อยๆ
และเรากลับไปเก็บอะไรของวันนั้นไม่ได้เลย
นอกจากความทรงจำ...
ที่ถูกย้ำเตือนด้วยของที่ระลึกที่เก็บเอาไว้จนวันนี้

อดีตมีค่าเสมอ
อดีตไม่เคยเปลี่ยนแปลง
เราเปลี่ยนไปต่างหาก
เวลามองกลับมาที่อดีตในแต่ละครั้ง ก็เลยไม่ค่อยจะเหมือนกันสักที

ดีใจจังที่เราโตขึ้นทุกวัน
แต่ก็น่าเสียดายนะ
ที่เราเก็บทุกภาพและทุกความรู้สึกที่เราต้องการไว้ไม่ได้

ขอบคุณสำหรับทุกอย่างที่ผ่านมา
และขอบคุณทุกๆ เรื่องที่เรากำลังจะเจอต่อไปค่ะ

1.7.52

ไม่หันหลังกลับ

อีกหนึ่งช่วงเวลาที่ตื่นเต้นมากของชีวิต
กว่า 2 ปีแล้ว ที่ไม่ได้เผชิญกับภาวะ ไม่มีงานทำ

เรื่องมันมีอยู่ว่า
เมื่อลาออกจาก Gsus7 เพื่อก้าวเข้ามาทำงานในทีวีไทย
ก็ใช้ระยะเวลา เดือนครึ่ง ในการปรับตัว
และเรียนรู้ว่า งาน Production มันไม่เหมาะกับเราอย่างแท้จริง

ช่วงแรกในการทำงาน ช่างเป็นช่วงแห่งความทรมานสิ้นดี
ก็รู้อยู่ว่าพระเจ้าบอกให้มาที่นี่ แต่ก็ไม่รู้ว่าจะให้อยู่ไปนานแค่ไหน

ใช้สมอง หัวใจ ความเชื่อ คิดแล้วคิดอีก ก็ได้แต่คำตอบที่บอกว่า ไม่ใช่
แต่ก็พยายามเรียนรู้ เข้าใจ มองหาสิ่งดีและทุกโอกาส
จนทุกอย่างก็เริ่มลงตัว ทั้งหน้าที่และหัวใจ เมื่อก้าวเข้าสู่เืดือนที่ 3

สิ่งที่เชื่อมาตลอด คือเราต้องทำเต็มที่ทุกอย่างที่เราเชื่อ
และกล้าวิ่งตามความฝัน แม้มันจะดูไม่มีทาง

ในช่วงระหว่างนั้นก็เลยร่อนใบสมัครไปที่ อัมรินทร์ พับลิชชิ่ง
สมัครเป็น columnist ที่ชีวจิต
นิตยสารที่ตรงกับตัวเองอย่างเดียว คือได้เขียน
ส่งไปแต่ไม่ได้รอด้วยใจจดจ่อ เพราะว่างานเริ่มลงตัวแล้ว

อย่างไรก็ตาม อีก 2 สัปดาห์
อัมรินทร์โทรกลับมา เรียกสัมภา่ษณ์ 2 รอบด้วยกัน
วันนั้นตื่นเต้นอย่าบอกใคร ดีใจมาก
นิตยสารที่จะให้หมี่ไปทำงาน ก็คือนิตยสาร SHAPE
Section ที่เขาสนใจให้หมี่ทำ คือ Lifestyle
ทำให้ผู้หญิงรักตัวเองและมีความสุข
ช่างตรงกับตัวเองอะไรเช่นนี้
เชื่อไปแล้วครับ ว่าจะได้เป็นสมาชิกองค์กรนี้แน่ๆ

ตอนนั้น อีก 15 วันจะหมดสัญญากับทีวีไทย
แต่อัมรินทร์ยังไม่ประกาศผล
ถ้ารอประกาศ แล้วได้ ทีมงานก็จะหาคนมาแทนไม่ทัน
ถ้าหากทำต่อไปก่อนจนกว่าจะรู้ผล ก็ต้องเซ็นสัญญาอีก 3 เดือน

ด้วยควา่มเชื่อ มั่นใจว่าพระเจ้าดูแลแน่ๆ
ก็เลยตัดสินลาออก ด้วยความเสียดายของพี่ๆ หลายคน
(มีอยู่หนึ่งคน ที่เสียดาย แต่ก็ไล่หมี่ไปตามหาความฝันซะ)

อย่างน้อยก็ดีใจ ที่ได้ฝากผลงานและความรู้สึกดีๆ เอาไว้
ตอบตัวเองได้ว่า ไม่ได้ไปอย่างผู้แพ้
แต่ว่าไปด้วยรอยยิ้มและความภูมิใจ
เราได้เรียนรู้หลายอย่างจากที่นี่จริงๆ

(ขอบคุณนะคะ)

แล้วอัมรินทร์ว่าอย่างไร...
.
.
.
.
แผนเรียนต่อในอีก 1-2 ปีข้างหน้า
ทำให้เขายังไม่ตัดสินใจรับหมี่เข้าทำงาน
หาคนอื่นที่น่าสนใจกว่ามาเปรียบเทียบอยู่
(แต่ก็ยังไม่เจอ เลยไม่ประกาศผล)

สิ่งที่ผุดขึ้นมาในหัวสมอง (และหัวใจด้วยมั้ง)

ถ้าบอกเขาไปว่า มีการปรับแผน แต่ถึงเวลาก็ลาออกไป
ก็ดูจะเสียนิสัย
ถ้าอยู่ทำงานที่นี่ 5 ปี ตามความต้องการของเขา แล้วค่อยไปเรียนต่อ
ก็ดูจะช้าเกินไป หรือคงไม่ได้ไป

แต่ถ้าไปเรียนต่อ ไปดูโลกกว้างมันซะตอนนี้เลยล่ะ
ทำในสิ่งที่คิดว่าอยากจะและควรจะทำให้เรียบร้อย
ตอนนั้นกลับมาทำงานให้องค์กรไหนอีก 10 ปีก็คงไม่ต้องคิดมาก

จากที่ survey เสียงมากมาย
ทิศทางคือ ถ้ามีโอกาส ควรรีบไป

พระเจ้าเร่งเวลาและเร่งแผนเหรอคะ
หมี่อยากไปนะเนี่ย

แผนตอนนี้ ก็ใช้เวลาว่างที่มีอยู่สัก 2 เดือน
(หลังจากที่ไม่มีเลยมา 2 ปี)
พักผ่อน ฟื้นฟูสภาพร่างกาย จัดการบ้านช่องห้องหับ
และจัดระบบชีวิตของตัวเองให้ดี
พร้อมเพื่อการสู้ต่อไป

และในขณะเดียวกัน
ก็หาข้อมูลที่เรียน ที่อยู่ ที่ทำงานในอังกฤษ
และวางแผนการเดินทาง การเงิน การใช้่ชีวิต
เอามาขายแม่ผู้เป็นเจ้าของทุน
ต่อยอดความตั้งใจให้กลายเป็นจริง

ไปแล้วนะคะ
ไม่ถอย ไม่หันหลังแล้วค่ะ


PS.ขอบคุณสำหรับครีเอทีพคนใหม่
นามว่า มะนาว
เธอพกเงินหนึ่งแสนบาท ไปอยู่ซานฟรานตัวคนเดียว
เพื่อเที่ยวและใช้ชีวิต เป็นเวลา 1 ปี

ความกล้าหาญของมะนาวเป็นแรงบันดาลใจที่ดีมากของเราเลยล่ะ
ขอบใจมากนะจ๊ะ

ขอบคุณพี่ชาย สำหรับทุกๆ ถ้อยคำ
คนนี้เป็นแบบอย่างของมนุษย์ที่สู้เพื่อความฝัน จนมาถึงฝัน
แม้จะมาถึงช้าไปหน่อย
แต่อย่างน้อย ทุกก้าวของพี่ก็มีพลังและแรงบันดาลใจล่ะ

สู้ต่อไปนะ แล้วมาทำหนังสือด้วยกัน โอเคป่ะ

22.6.52

Happy for no reason

7 ขอบเขตหลักในชีวิต ที่ถ้าเราจัดการได้ เราจะมีความสุขได้ทุกสถานการณ์
จากหนังสือ Happy for no reason
มาดูกันค่ะ ว่ามันคืออะไรบ้าง

1.พลังส่วนตัว (ฐานราก) : รับผิดชอบความสุขของตัวคุณเอง
2.ความคิด (เสาหลัก) : อย่าเชื่อทุกอย่างที่คุณคิด
3.จิตใจ (เสาหลัก) : ให้รักนำทาง
4.ร่างกาย (เสาหลัก) : ทำให้เซลล์ในตัวคุณมีความสุข
5.จิตวิญญาณ (เสาหลัก) : เชื่อมต่อตัวคุณเข้ากับจิตวิญญาณ
6.เป้าหมาย (หลังคา) : ใช้ชีวิตด้วยแรงบันดาลใจจากเป้าหมาย
7.ผู้คน (สวน) : ถนอมรักษาความสัมพันธ์ที่ให้พลัง

บ้านของคุณน่าอยู่หรือยังคะ
มีความสุขกับบ้านของคุณให้ได้นะคะ

เอาใจช่วยให้คุณมีความสุขทุกเวลาค่ะ

19.6.52

ความรักนั้น....

เท่าที่จำได้ เหมือนจะไม่เคยเขียนเรื่องความรักลง Blog สักครั้งเลยมั้ง

"ความรัก" นั้นก็อดทนนาน
และกระทำคุณให้

"ความรัก" ไม่อิจฉา ไม่อวดตัว
ไม่หยิ่งผยอง ไม่หยาบคาย
ไม่คิดเห็นแก่ตนเองฝ่ายเดียว
ไม่ฉุนเฉียว ไม่ช่างจดจำความผิด
ไม่ชื่นชมยินดีเมื่อมีการประพฤติผิด
แต่ชื่นชมยินดีเมื่อมีการประพฤติชอบ

"ความรัก" ทนได้ทุกอย่าง แม้ความผิดของคนอื่น
และเชื่อในส่วนดีของเขาเสมอ
และมีความหวังเสมอ
และทนต่อทุกอย่าง...

การที่เคยมีแฟนมาเกือบ 10 คน
คงไม่ได้หมายความว่าจะเข้าใจความหมายของคำว่า "รัก"
หรือรู้จัก "ความรัก" จริงๆ

ในทางกลับกัน
"ความรัก" อาจมีความหมายชัดเจนขึ้นมาในใจได้
เมื่อเราผ่านเหตุการณ์บางอย่าง ที่ไม่จำเป็นต้องใช้เวลายาวนาน

2 นาที ที่เห็นคุณแม่กำลังกวาดขยะเปียกเหม็นๆ หน้าร้านขายของ
ก็เข้าใจคำว่า "ความรักนั้นก็อดทนนานและกระทำคุณให้"

5 นาที ที่น้องคนหนึ่งขอคุยด้วยเพื่อปรับความเข้าใจในเรื่องที่อึดอัดกันอยู่
และอีกหลายๆ ครั้งของ 5 นาที ที่ได้ตักเตือนคนที่เราห่วงใย และเขาเปลี่ยนแปลง
ก็ทำให้เข้าใจคำว่า "ไม่ชื่นชมยินดีเมื่อมีการประพฤติผิด"

1 นาที ที่ได้ยินเรื่องราวของใครบางคนที่สร้างความเจ็บปวดให้กับใจ
แล้วตัดสินใจที่จะถามเจ้าตัว
เลยได้รู้ว่า การ "เชื่อในส่วนดี" สำคัญอย่างไร

10 นาที ที่ได้คุยกับคนที่คุยไม่รู้เรื่องและไม่เปิดใจ
การที่ต้องสะกดใจไว้และหาคำพูดที่ดีที่สุดเพื่อเขา
ทำให้เข้าใจว่า "ความรัก ทนได้ทุกอย่างแม้ความผิดของคนอื่น"
มันเหนื่อยและเจ็บปวดแค่ไหน

ระยะเวลายาวนานที่เฝ้ามองคนบางคนดำเนินชีวิตอย่างไม่เห็นแสงสว่างที่มากขึ้น
ทำให้ตระหนักว่า ความรักที่ "มีความหวังอยู่เสมอ" สำคัญกับคนอื่นอย่างไร

15 วินาที ที่ได้เห็นแววตาและถ้อยคำบางอย่างออกมาจากใครบางคน
ทำให้รู้ว่า ความรักที่ "ชื่นชมยินดีเมื่อมีการประพฤติชอบ"
สร้างความสุขในใจได้มากมายแค่ไหน

หลายๆ นาที ในหลายๆ ครั้ง ที่ได้เปิดฉากปะทะกับใครบางคน
ไม่ว่าจะด้วยสาเหตุอะไร ความไม่น่ารักของเรา ความไม่น่ารักของเขา
เรื่องไม่เป็นเรื่อง หรือเรื่องสำคัญหลายๆ เรื่อง
ฉากนั้นจบลงด้วยความเข้าใจ คำพูดที่อ่อนโยน และความผูกพันที่มากขึ้น
ย้ำให้หนักแน่นในใจว่า ความรัก "ไม่อิจฉา ไม่อวดตัว ไม่หยิ่งผยอง ไม่หยาบคาย"

ในวันแห่งความสูญเสียและเหน็ดเหนื่อยของใครบางคน
ยังมีเสี้ยววินาทีของสายตา รอยยิ้ม มือที่ยื่นอะไรบางอย่างมาให้
ทำให้มั่นใจว่า ความรักนั้นจะ "ไม่คิดเห็นแก่ตนเองฝ่ายเดียว"


5 นาทีของเมื่อวานนี้ ได้ดูละครเรื่องหนึ่ง
ผู้ชายคนหนึ่ง ถูกแม่ของตัวเองห้ามไม่ให้มีความรัก
เพราะว่าหัวใจของเขาอ่อนแอมาก
การมีความรักจะทำให้เขาตาย

แน่นอน ความรักอาจทำให้คนเจ็บปวด จนกระทั่งถึงตาย
และแน่นอน ผู้ชายคนนั้นก็เลือกที่จะมีความรัก แม้จะต้องตาย

เพราะความรักนั้น "ทนต่อทุกอย่าง"

11.6.52

วิทยาศาสตร์กับความเชื่อ

เมื่อวันก่อน ได้อ่านหนังสือเรื่อง โลกจิตของแทนไท ประเสริฐกุล
พูดถึง โลกของจิตใจ ที่มนุษย์ใช้เวลาหาคำตอบกันมายาวนานหลายศตวรรษ


ใครจะเชื่อว่า กระบวนการวิทยาศาสตร์ที่ทำการศึกษาร่างกายมนุษย์
ให้เหตุผลและที่มาที่ไปของอาการต่างๆ ทั้งในความคิด ความเชื่อ ความรู้สึก ในจิตใจ
ได้เกือบทั้งหมดทั้งสิ้น
หรือบางเรื่องที่เรายังไม่ได้สนใจจะหาคำตอบ
ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ก็มีคำตอบที่ทำให้เราต้องกลับมาค้นหาอะไรมากขึ้น


หนังสืออีกหนึ่งเรื่องที่ไปหยิบมาจากชั้นหนังสือของทีวีไทย
พูดถึงพลังของความเชื่อ พลังของจิตใจที่เหนือทุกอย่าง ชนะความจำกัดของร่างกายทุกส่วน
พลังทางจิตวิญญาณที่นำมาซึ่งความสำเร็จ
ทำให้เกิดอะไรก็ได้ ตามความปรารถนาในใจมนุษย์

อ่านแล้วงงทั้งคู่
ไม่รู้ว่าอะไรมาก่อน มาหลัง
ข้อมูลในสมองมันตีกัน

แต่ที่แน่ๆ ทั้ง 2 เรื่อง แสดงถึงมหัศจรรย์ของธรรมชาติ
หมี่เรียกว่า มหัศจรรย์การทรงสร้าง

อยากจะหายงง อยากจะสยบความเคลื่อนไหวในสมองและจิตใจ
กลับมาถามไถ่จากผู้สร้าง น่าจะง่ายที่สุด

28.5.52

ปกป้อง...ตัวเอง

เวลาที่เรารักใคร เราก็มักจะอยากปกป้องเขา
เช่นเดียวกัน เมื่อเรารักตัวเรา เราก็จะปกป้องตัวเราให้พ้นจากอันตรา่ย

เรื่องมันมีอยู่ว่า...
บางทีเราก็ปกป้องตัวเองจากอันตรายทางความรู้สึกของเรามากเกินไป
ไม่ยอมให้เกิดอาการเจ็บปวดในจิตใจ ไม่ยอมให้ตัวเองเสียใจ

เคยได้ยินเรื่องเม่นหลายตัวที่เบียดกันเพื่อให้อุ่นในหน้าหนาวไหมคะ
เวลาที่เม่นมันเบียดกัน ขนแหลมๆ ของมันก็จะทิ่มแทงกันและกัน
แล้วก็จะเจ็บ...
ทั้งทำให้ตัวอื่นเจ็บ และทำให้ตัวมันเองเจ็บ
แต่ถ้าไม่เบียดกับเม่นตัวอื่น
ก็จะหนาวตาย...

ก็คงต้องเลือก ว่าอยู่ตัวเดียว และตายด้วยความหนาว
หรือเบียดเสียดกับตัวอื่นๆ ให้อุ่น แต่เต็มไปด้วยการทิ่มแทงที่เจ็บปวด

ขั้น advance ที่ทำให้ไม่ต้องหนาวตายและไม่ต้องเจ็บปวดนี่แหละ...
ที่เราเรียกว่าปกป้องตัวเอง

เคยเห็นบางคน ที่สร้างสัมพันธ์กับคนทุกคนได้อย่างดี ไม่มีปัญหา
เขาจะมีคำพูดที่ทำให้ทุกคนสบายใจ ไม่ว่ามันจะดีหรือไม่ดี จริงหรือไม่จริงอย่างไร
และเมื่อเขาเองไม่สบายใจ เขาก็จะมีคำพูดที่ทำให้ตนเองสบายใจ
ไม่ว่ามันจะกระทบกับใคร จริงไม่จริงอย่างไร

เนื่องจากว่าความสัมพันธ์ที่เขามีกับทุกคน เป็นความสัมพันธ์ที่ดี
และตัวเขาเองก็มีเหตุผลที่ดีให้กับตัวเองเสมอ
ทำให้คนรอบข้างก็ไม่อยากจะไปเตือนหรือพูดให้ขัดหู
เดี๋ยวจะเสียความสัมพันธ์

วิธีการนี้ก็ดี ปกป้องตัวเองจากอันตรายทางความรู้สึกได้ดี
.
.
.

มีบางคน เลือกที่จะอยู่ร่วมกับคนอื่นด้วยการไม่แคร์ในสิ่งที่คนอื่นทำ
เลือกที่จะไม่โดนกระทบความรู้สึก ด้วยการไม่ใส่ใจคนอื่น
ส่งผลให้ตัวเอง ทำในสิ่งที่ไม่แคร์คนอื่นด้วยเช่นกัน
เมื่อเกิดความผิดพลาดบางอย่าง
ก็จะไม่มีใครเข้าไปหาเขา เพราะความห่างที่เขาสร้างขึ้น

เป็นอีกหนึ่งวิธี ที่ช่วยสร้างกำแพงกั้นความเจ็บปวดในจิตใจ
.
.

การค้นพบว่าตัวเองล้มเหลว ผิดพลาด ไม่ดีพอที่คนอื่นจะรัก
ไม่ได้รับการยอมรับ ไม่ได้เป็นอย่างที่อยากเป็น...
มันเจ็บปวดอย่างนั้นเลยเหรอคะ

เม่นที่พองขนออก เพื่อป้องกันขนเม่นตัวอื่นมาทิ่มแทงตัวเอง
มันก็ทำให้เม่นตัวอื่นเจ็บมากขึ้นอีกนะ

และถ้าเม่นตัวอื่นเจ็บปวดมากเข้า ทนไม่ไหว
ขอถอยออกไป แล้วทิ้งมันไว้อยู่ตัวเดียว
วันหนึ่ง มันก็จะหนาวตายอยู่ดี...


ความสัมพันธ์ของมนุษย์เป็นเรื่องเลวร้ายอย่่างนั้นเลยเหรอคะ
หมี่ไม่เชื่อนะ...

ถ้าเราหยุดกลัวที่จะเจ็บ กล้าหาญที่จะรู้จักกัน
และเปลี่ยนแปลงกันและกันอย่างจริงใจ

ขนแหลมๆ ของเม่น น่าจะกลายมาเป็นขนนุ่มๆ ได้นะ
ทีนี้ยิ่งเบียดกันก็ยิ่งนุ่ม ยิ่งอบอุ่น

20.5.52

ฺBamee's Belief

1. พระเยซูเป็นพระเจ้า และเรารอดพ้นจากการพิพากษาได้โดยการเชื่อวางใจ รับการไถ่ของพระเยซู
2. การใช้ชีวิต คือ การมีความสุข
3. ชีวิตคือการค้นหา เรียนรู้ และค้นพบ
4. มนุษย์ต้องการเสรีภาพ เพื่อการเติบโต
5. กฏหลักของทุกการกระทำ คือทำให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้
6. ไม่มีอะไรในโลกนี้ที่เป็นของเรา นอกจากคนนั้นที่พระเจ้าสร้างมาเพื่อเรา
7. จิตวิญญาณของมนุษย์ คือสิ่งที่สำคัญที่สุดในโลก
8. เราไม่ได้เกิดมาเพื่อทุกคนบนโลก
9. เราไม่มีทางอยู่เพื่อสิ่งที่เราไม่ได้ให้ความสนใจ
10. สิ่งต่างๆ เกิดขึ้นจาก 3 ปัจจัย ได้แก่
สิ่งที่เราทำ
สิ่งที่คนอื่นทำ
และสิ่งเหนือธรรมชาติที่ควบคุมไม่ได้
11. ทุกคนมีที่และทางของตัวเอง และเขาเพียงแค่หาให้เจอ
(ปัจจัยอื่นๆ อาจทำให้ทุกอย่างยากขึ้น แต่ถ้าเขาพยายาม ก็จะหาที่นั้นเจอ)

ความเชื่อกำหนดสิ่งที่เราจะทำ
มาดูกันต่อไปค่ะ ชีวิตของหมี่
^^

19.5.52

สี...ฟ้า

ไม่เคยไปจังหวัดสงขลา
วันนี้เป็นครั้งแรกที่ได้นั่งรถ เลียบทะเลสงขลา
มองไปเห็นเกาะยอ ท้องฟ้า ดวงอาทิตย์สีส้มๆ
แอบเปรยๆ ด้วยความตื่นเต้นว่า "สวยจัง"

พี่โปรดิวเซอร์ถามพี่ดุลย์ คนสงขลาที่ขับรถมารับเราว่า
"ขับรถเลียบทะเลทุกวันแบบนี้ ก็ไม่ตื่นเต้นกับทะเลแล้วสิ"
ก็อาจจะจริงนะ
.
.
.
แต่หมี่ก็พูดกับพี่ๆ เขาว่า
"แต่ท้องฟ้ามันก็ไม่เคยเหมือนกันสักวันเลยนะพี่"

รูปร่างของเมฆก็ไม่้เคยเหมือนกัน
สีของท้องฟ้าก็เปลี่ยนไปตามสีของดวงอาทิตย์
แสงสะท้อนของทะเล
แสงสะท้อนจากก้อนเมฆ

น่าค้นหาและประทับใจทุกครั้งที่ได้มอง

วันนี้ได้ไปคุยกับน้องๆ ในสถานพินิจจังหวัดสงขลา
เป็นน้องกลุ่มหนึ่งที่ได้รับการคัดเลือกมาเข้าร่วมโครงการที่ชื่อว่าสะพานชีวิต
อยู่ในกระบวนการ Media Education
เพื่อฝึกคิด วิเคราะห์ ประเมิน และผลิตสื่อ

สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ
น้องคิดวิเคราะห์ได้แล้ว
แต่ประเด็นที่ถูกนำมาใช้ผลิตสื่อ
ยังคงเป็นประเด็นที่เดิมๆ เรื่องการทะเลาะวิวาท
เรื่องการสัก เรื่องที่วนเวียนอยู่ในที่ๆ ที่เขาอยู่

ความฝัน แรงบันดาลใจของเด็กแต่ละคนหายไปไหน
สิ่งที่ผู้ใหญ่มองเขา บอกเขา ด่าเขา สร้างเขาโดยไม่รู้ตัว
สร้างกรอบและกำแพงอะไรให้เขาบ้าง
ตัวตนและัความเป็นมนุษย์ที่ดีงาม ที่ถูกใส่ไว้ในทุกคน
มันหายไปไหน

แววตาของเขามันดูเศร้า แข็ง พร้อมที่จะกลัวและต่อต้าน
พร้อมที่หยุดฉายแสง...

ทำยังไงนะ
ให้แววตาของเราเป็นเหมือนท้องฟ้า
ที่มีสีสันและรูปแบบไม่เหมือนกันเลยในแต่ละวัน

บางวันที่เรามองท้องฟ้า ทำให้เรารู้สึกสดใส
วันที่ฟ้าหม่น ฝนกำลังจะตก เราก็รู้สึกกลัวบ้าง
และบางวัน สีของท้องฟ้าก็ทำให้เราเศร้า

แต่ไม่ว่าอย่างไร การมองท้องฟ้าทำให้เราฝัน
ทำให้เรารู้สึกว่า ตัวเราเล็กนิดเดียว
โลกนี้กว้างใหญ่ และมีอะไรให้ค้นหา
มองท้องฟ้าแล้วมีความสุข...

ทำยังไงให้ในแต่ละวัน เป็นวันที่นับได้ชีวิต
เมื่อมองเข้าไปในแววตาของตัวเอง
เป็นแววตาที่มีประกาย
ทุกๆ วันเต็มไปด้วยความรู้สึก
เต็มไปด้วยความทรงจำใหม่ที่ไม่เหมือนเดิม
ทำทุกสิ่งให้ตอบโจทย์ในหัวใจได้
และใช้ทุกสิ่งที่มีอย่างคุ้มค่่า มีคุณค่า

กำลังตามหาทั่วฟ้า
ที่นั้น วันเวลานั้น
ที่ทำให้ได้แววตาแบบท้องฟ้า

พอไปถึงแล้วจะได้ไปช่วยคนแบบน้องๆ บ้านพินิจ
ให้ได้แววตาแบบท้องฟ้ากลับคืนมาด้วยกัน...

โอย... เจ็บหัวใจ
เศร้าจัง

12.5.52

New World: โลกแบน

เมือวันก่อนได้อ่านหนังสือ The World is Flat
"ใครบอกว่าโลกกลม"

ไม่ใช่หนังสือต่อต้านการทรงสร้างของพระเจ้าหรือล้มล้างข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ใดๆ
แต่หนังสือเล่มนี้อัพเดทให้เราฟัง ว่าเทคโนโลยีและความก้าวหน้าของโลกนั้นไปถึงไหนแล้ว
กำแพงชนชั้นวรรณะ การเมือง ศาสนา ความห่างไกลของพื้นที่ ถูกทำลายไปมากมายเหลือเกิน
โลกถูกต่อเชื่อมกันอย่างทั่วถึง

ปัจจุบันมีการขยายและกระจายงานจากประเทศชั้นนำ ไปสู่ประเทศที่กำลังพัฒนา
มีการร่วมงานกันของบริษัทเล็กใหญ่ สร้างเป็นระบบเครือข่าย หากำไรจากทั่วโลก
เด็กอายุไม่เกิน 20 ปี สามารถสร้างพลังแห่งความคิดเห็นที่กระทบไปยังผู้นำสูงสุดของใดๆ ในโลกได้
ระบบถูกสร้างขึ้น เพื่อ support องค์กรหลายๆ องค์กร ให้ได้ประโยชน์สูงสุดพร้อมๆ กัน จากธุรกิจเดียวกัน

มีอะไรที่ไม่น่าเป็นไปได้เกิดขึ้นบนโลกกลมๆ ใบนี้อย่างต่อเนื่อง

สิ่งที่หมี่ค้นพบและเชื่อก็คือว่า...
มนุษย์กำลังใช้สติปัญญาของตัวเองอย่างมีคุณภาพและกว้างมากขึ้น
กรอบต่างๆ ที่เคยมี ถูกปรับ เปลี่ยน ขยายออกไปจนแทบไม่มีขอบเขต

และตัวแปรสำคัญ คือคนอื่น องค์กรอื่น
ที่เมื่อนำมาวางอย่างถูกตำแหน่งในงานธุรกิจของเรา
จะเกิดประโยชน์ได้อย่างมหาศาล ต่อเรา และต่อเขา
ก็จะทำให้เกิดประโยชน์ต่อชุมชนได้ในมุมมองที่ไม่น่าเชื่อ

เป็นปรากฏการณ์แบบ Win Win คือได้ประโยชน์ทุกฝ่าย
ถามว่าดีไหม "ดี"
แต่ถามว่ายากไหม ก็ตอบว่า "ยาก"

ขณะที่โลกกำลังหมุนไปเรื่อยๆ
ความแบนของมัน ก็ทำให้คนต่างก็ต้องการจะเสนอความคิดเห็นของตนเองให้มีผลต่อสังคม
เรียกร้องพื้นที่ เรียกร้องประโยชน์และสิทธิ
บริษัทและองค์กรต่างๆ ต่างก็ต้องการการขับเคลื่อนที่มากขึ้น ผลกำไรที่มากขึ้น
ชื่อเสียง การมีอิทธิพลต่อสังคม

สำหรับคนที่อยู่ในโลกเดิมๆ คนเหล่านี้ดูจะก้าวร้าวและใช้เสรีภาพเกินขอบเขต
บริษัทต่างๆ ดูจะเริ่มหาประโยชน์จนไม่สนใจความเป็น "มนุษย์" อีกต่อไป
(อันนี้ลองวัดความรู้สึกของคนในโลกเก่าอย่างประเทศไทย กับบริษัทแนวใหม่ที่ชื่อว่า Amway)

จุดเสี่ยงของคนและบริษัทในโลกใหม่ คือ คุณไม่สามารถที่จะไม่มีความมุ่งมั่นแนวแน่
คมชัด ฉลาดเฉลียว และความเป็นตัวจริงของคุณที่อยู่เพื่อคนอื่น
การอยู่เพื่อคนอื่นสร้างความกล้าหาญ...
เพราะไม่ต้องปกป้องตัวเองหรือผลประโยชน์ของตัวเองเป็นอันดับหนึ่ง
ความฉลาดเฉลียวและคมชัด ทำให้คุณรู้จักสิ่งที่คุณจะทำ
จุดเด่นขององค์กรที่คุณจะร่วมงานด้วย คนที่คุณจะสัมพันธ์
รวมไปถึงเนื้อหาที่คุณจะสื่อสาร
ความมุ่งมั่นแน่วแน่ ทำให้คุณไม่หันหลังกลับไปจากทางใหม่ที่คุณกำลังฝ่าดงเดินไป จนกว่าจะถึงเป้าหมาย

จุดเสี่ยงของคนและบริษัทในโลกเก่า คือ ถ้าคุณไม่เปิดใจยอมรับกรอบที่คุณไม่เคยเชื่อ และไม่ค้นหา ไม่เปิดใจเรียนรู้และยอมรับตัวตนของคนและความเป็นไปของโลกอย่างที่มันเป็นจริงๆ คุณจะเป็นผู้แพ้
ต้องอาศัยความใจกว้างเป็นอย่างมากทีเดียว ที่จะรับฟังคำวิจารณ์ในเรื่องที่เราเป็นจากคนอื่นที่เราไม่ได้รู้จัก
แต่มันก็เป็นการดีทีเดียวที่จะช่วยให้เราได้พัฒนา
และต้องอาศัยความไว้เนื้อเชื่อใจอย่างมากเช่นกัน ที่จะยอมให้บริษัทใดมาร่วมอยู่ใน Function ที่องค์กรของเราไม่มีวันทำได้
อาจทำได้เพียงแค่เลือกที่จะเชื่อจากข้อมูลและการเจรจาที่พยายามทำให้เราได้รู้จักกันมากที่สุด และจากความรู้สึกในสัญชาติญาณมนุษย์

คนในโลกเก่าที่ถูกสอนให้ระวังคนรอบข้าง กลัวการเปลี่ยนแปลง และ Play Save ตลอดเวลา จะกล้าทำอะไรแบบนี้ได้อย่างไร
แล้วคุณจะไปสู้พลังของหลายๆ บริษัท ที่เอาจุดแข็งมาช่วยกันทำงานได้อย่างไร

หมี่เคยเขียนไว้ใน review ของ multiply
ตัวจริงเท่านั้นที่จะอยู่รอด
ตัวจริงในโลกใหม่ คุณจะอยู่ได้คงทน และโตขึ้นเรื่อยๆ
ส่วนตัวจริงในโลกเก่า
หมี่เชื่อว่า ถ้าคุณเป็นตัวจริง
คุณจะหลุดกรอบ "เก่าๆ" นั้นออกมาได้ในวันหนึ่งค่ะ

สู้เพื่ออยู่รอดกับกระแสโลกต่อไปนะคะ ชาวโลก

28.4.52

CHANGE!!

"ถ้าคุณได้เป็นนายกรัฐมนตรี จะเปลี่ยนแปลงประเทศไทยอย่างไร"

ทีวีไทยจัดโครงการเจ๋งๆ ขึ้นมาหนึ่งโครงการ
ให้คนส่ง Clip สุนทรพจน์ 2 นาที ตามหัวข้อด้านบนนี้เข้ามา
พร้อมกับเปิดตัว Series ญี่ปุ่นที่มีชื่อว่า CHANGE
นายกมือใหม่ หัวใจประชาชน

Keyword ของ speech contest นี้ตามความคิดของหมี่ มี 2 คำ
คือ "นายกรัฐมนตรี" เป็นเรื่องของสิทธิ์ และอำนาจในการจัดการ
และ "เปลี่ยนแปลง"

การเปลี่ยนแปลงนำมาซึ่งการเคลื่อนไหว
จะไปข้างหน้าหรือถอยหลัง จะไปช้าหรือเร็ว จะไปผิดทางหรือถูกทาง
เริ่มต้นจากจุดแห่งการเปลี่ยนแปลง

จากที่ฟังผู้เข้าร่วมกล่าวสุนทรพจน์ที่ส่งมาจากทางบ้าน
หลายแนวคิด น่าสนใจแต่ทำไม่ได้จริง
หลายแนวคิด ใครๆ ก็รู้
หลายแนวคิด ฟังแล้วเข้าใจ แต่บางคนอาจจะไม่เข้าใจ

ว่าแล้วก็สงสัยว่า สุนทรพจน์ของหมี่จะพูดเรื่องอะไร
อะไรคือการเปลี่ยนแปลง ที่อยากจะทำให้เกิดขึ้น
เพื่อคนไทย กับการอยู่ร่วมกันอย่างดี ยั่งยืน

มีผู้เข้าร่วมกล่าวสุนทรพจน์ท่านหนึ่ง พูดเรื่องการเข้าใจวิถีธรรมชาติ
เข้าใจความเป็นไปของธรรมชาติ มนุษย์ ป่าไม้
และใช้ความรัก...
เข้าทีที่สุดละ

สิ่งที่มนุษย์ทุกคนแสวงหา คือ ความสุขในชีวิต
ทุกคนเห็นตรงกับหมี่ไหมคะ
บางคนคิดว่าความสุข มาจากเงิน
บางคนคิดว่าความสุข มาจากอำนาจ

บางคนรู้แล้วว่า ความสุข หาได้ไม่ยากจากเรื่องรอบตัว
เพราะชีวิตของคุณพร้อมจะมีความสุข

ปัจจัยสำคัญของการมีชีวิตที่พร้อมจะมีความสุข
เป็นเรื่องภายในจิตใจ...
เป็นเรื่องของทัศนคติ

คนไทยมีความเก่งกาจในตัวสูงส่ง
แต่ว่าระบบ ระบอบ ก็ตีกรอบแห่งความกลัวให้เขาเหลือเกิน
กลัวผิด กลัวโดนด่า กลัวถูกซ้ำเติม กลัวไม่มีใครยอมรับ
กลัวแล้วก็ไม่กล้าลุกขึ้นมาทำอะไร
จนความเก่งกาจในตัว เริ่มฝ่อ ซ่อน ดองไว้อยู่เฉยๆ
จะถูกดึงออกมาได้ ก็ต้องอาศัยการขับเคลื่อนที่เป็นรูปธรรมมากพอที่จะ "เชื่อ"
เงิน
ชื่อเสียง
การยอมรับจากคนภายนอก
บุคคลที่ควรตาม
เป้าหมายของผู้อื่น ที่ชัดเจนมากพอที่จะตาม

น้อยนัก ที่แรงขับเคลื่อนจะมาจากตัวตนของตัวเอง หรือสิ่งที่ตัวเองเป็น...

ขนบของไทยไม่สอนให้คนเห็นคุณค่าของตนเอง คุณค่าจากสิ่งที่ตัวเองคิดและเป็น
คุณค่าที่ไม่เกี่ยวกับปัจจัยภายนอกใดๆ ทั้งสิ้น
ทำให้เราไม่เห็นคุณค่าผู้อื่นด้วย
และไม่เห็นคุณค่าสิ่งต่างๆ อย่างที่ควรจะเป็น

เมื่อไม่เห็นคุณค่า ก็ไม่มองหาสิ่งดีที่มีอยู่
และไม่ลงไปใส่ใจ ไม่ลงไปจับต้องและดึงออกมาใช้ เพราะมองไม่ค่อยจะเห็น
จึงต้องเอาสายตาไปจับกับสิ่งที่มองเห็นเป็นรูปธรรม ที่คิดว่า "มีดี"
ซึ่งเหตุที่มันไม่ใช่ตัวตนจริงๆ ก็ทำให้พร้อมจะเปลี่ยนแปลงไปตามเวลาและสถานการณ์

แล้วทุกอย่างก็กลายเป็น "ไม่มีดี"
ทัศนคติที่ "มีดี" ก็หายไป
ทัศนคติที่ "ไม่มีดี" ต่อตัวเองและคนอื่นก็มักจะนำมาซึ่งความไม่เชื่อ ไม่ไว้วางใจ
ไม่เคารพ ไม่กล้าแสดงความคิดเห็นออกมา
ความสุขตามอัตวิถีแห่งเสรีภาพในสิ่งที่ตนเองเป็น ก็อันตรธานหายไป
เมื่อไม่มีความสุข จิตใจไม่ปกติ ก็ไม่พร้อมที่จะสร้างสิ่งดีให้แก่ผู้อื่น

เป็นวัฏจักรสังสารา ที่นับวันก็ดูจะเลวร้ายลงกว่าเดิมในคนไทยบางกลุ่ม
แต่ก็ยังดีที่มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นแล้ว ในคนไทยบางกลุ่ม

การเปลี่ยนแปลงที่หมี่จะทำ เมื่อมีสิทธิ และอำนาจ
คือการเปลี่ยนกรอบ...
เริ่มต้นด้วยการเรียกรัฐมนตรีทุกกระทรวงมาคุยและหารากความคิดทั้งมวล
ปรับให้ "กรอบ" ถูกต้องตรงกัน
ลงไปรื้อฟื้นการศึกษา
ต่อยอดไปถึงความเข้าใจในการสร้างครอบครัว
ทำลายกรอบที่ทำลาย "ตัวตน" ของคนเสียให้หมดสิ้น

สื่อสารแนวคิดแห่งการเห็นคุณค่าในตัวเองให้กับประเทศอย่างบ้าคลั่ง
สร้างความท้าทายในการทำงานรัฐบาล โดยไม่มีลำดับ ชนชั้น วรรณะ
สร้างโปรเจ็คประเภท "ใครกล้าก็จัดมาก่อน"

ทั้งนี้ทั้งนั้น สำคัญที่สุด
ตัวหมี่เองต้องเรียนรู้จักที่จะใช้สิทธิและอำนาจได้ถูกต้อง
อย่างไม่กลัวอันตรายและความขัดแย้งใดๆ...

เปลี่ยนเถิดค่ะ ชาวไทย

22.4.52

ฟ้ากาง == ^^ ==

ระหว่างที่นั่งประชุมด้วยอาการไม่ปกติของร่างกาย
(และอาการไม่ปกติของจิตใจเล็กน้อย)
ก็รู้สึกได้ว่า ต้องมีปากกา ต้องมีกระดาษ และต้องเขียนอะไรสักอย่าง
วันก่อนๆ และช่วงก่อนๆ ที่ผ่านมา จะเน้นวาดรูปก้นหอยกับดอกไม้
ให้มือมันไหลๆๆๆ ไปเรื่อยๆ

วันนี้ไม่อยากวาดแล้ว
เลยกลับไปใช้วิธีการเดิม

เขียนเพลงที่อยากเขียน...


คงมีเพียงเรา เรากับขอบฟ้ากาง
มองดูท้องฟ้า ฟ้ากว้างไกล เหมือนใจเธอ
มองดูเมฆขาว พราวล่องไป หัวใจเก้อ
เธอมาวนเวียนไม่ไกล...

เดินไปบนทราย ทรายก็คิดถึงเธอ
ใจมันละเมอ ว่ารักเธอ นั้นเหนือใคร
จันทร์งามลูกโต ลอยเลื่อนโล้ โย้เกไป
อ่อนไหว ลึกลับ ใครไม่เกินเธอ...

ดังดวงดาว ดังตะวัน รักของเธอกว้างไกลใครจะรู้
อาจะเกินฝันใฝ่ อาจไม่เหมือนใคร
อาจเกินใจก็เพียงใจ เปิดใจให้ดวงใจเรียนรู้...

คงมีเพียงเรา รักเธอเท่าแขนกาง
มองใจเธอกาง เท่าฟ้าไกลยิ่งไกล
ดึงใจให้กาง เท่าักับทางรักเธอได้
ความหมายรักเธอนั้นยิ่งใหญ่...


รู้จักเพลงนี้มาเกือบสิบปีแล้วมั้ง
อยู่ดีๆ ก็นึกถึง
พอได้ร้องแล้วก็รู้สึกแบบที่เคย
.
.
.
.
.
อยากไปทะเล...นอนดูท้องฟ้า

13.4.52

ชอบธรรม

13 เมษายน 2552
สุขสันต์วันสงกรานต์ชาวบ้านคนไทยทุกคนนะคะ

ตอนนี้หมี่อยู่ที่หนองคาย
พักสงบ หลบร้อน นอนและกิน อย่างเปรมปรีดิ์
ไอ้ที่จะไม่ปรีด์ ก็เพราะข่าวเสื้อแดงในกรุงเทพนั่นแหละค่ะ

ไม่รู้จะแสดงทรรศนะอย่างไร
ไม่มีความรู้เรื่องที่มาที่ไปและเรื่องการเมือง

เรื่องเสื้อเหลืองก็จบๆ ไปแล้ว จะมาแค้นเคืองหาเรื่องเอาคืนกันอีกทำไม
คิดถึงบ้านเมืองกันบ้างสิ...

เอ่อ มันไม่มีใครคิดถึงบ้านเมืองหรอกแม่ คิดถึงแต่ตัวเองกันทั้งนั้น
คนดีๆ ที่คิดถึงบ้านเมือง แต่ว่าดันไปให้คนที่คิดถึงแต่ตัวเองเขาใช้เป็นเครื่องมือ
ก็ไม่รู้จะทำยังไงอ่ะนะ...

ตอนนี้สะพานไทย-ลาว ก็ปิดไปแล้ว ด้วยมอบเสื้อแดง
พัทยาที่จะมีการจัดอาเซี่ยนก็ไม่ได้จัด

มันจะเหมือนเหตุการณ์วันที่พระเยซูถูกตรึงไหมนะ
ที่คนโห่ฮา มุ่งร้ายกัน ทำสิ่งไม่ถูกต้องที่เขาคิดว่าถูกต้อง
เหมือนมีอำนาจมืดบางอย่างครอบงำอยู่
คนทำตัวเหมือนคิดไม่เป็น ไร้สติ ลืมไปแล้วว่าอะไรคือสิ่งที่ควรไม่ควร
อะไรคือความชอบธรรม...

ไม่อยากโทษรัฐบาล เพราะเขาก็ทำในสิ่งที่เขาคิดว่ามันดีที่สุด
คนอาจจะด่า ไม่เห็นด้วยกับวิธีการหลายๆ อย่าง
แต่หมี่คิดว่าหน้าที่ของการพัฒนาประเทศไปพร้อมๆ กับปกป้องประชาชน มันคงเหนื่อยหนักอยู่

สู้ต่อไปนะคะ
อย่าให้ใครประมาทความหนุ่มแน่น และความพยายามที่จะชอบธรรมของท่าน
สถานการณ์อาจจะดูเลวร้าย แต่เมื่อมันคลี่คลาย มันก็จะนำมาซึ่งการเริ่มต้นค่ะ

สงกรานต์นี้..ร้อนนะเนี่ย

12.4.52

เริ่มต้น...

เวลาคนมองเห็นหมี่ภายนอก มักจะบอกว่าหมี่เหมือนเด็กมหาวิทยาลัย
ถ้าก่อนหน้านี้สัก 3 ปี คนก็จะบอกว่าเหมือนเด็กมัธยม...
แต่ถ้าเข้ามาถามไถ่ ก็จะรู้ว่าหมี่อายุ 25 ปีแล้วนะคะ

เวลาคนรู้จักหมี่ครั้งแรก จะบอกว่าหมี่เป็นคนเนียน ^^
ร่าเริง คุยเก่ง เข้ากับคนง่ายมากกกก
คนที่คุยกับหมี่แรกๆ อาจจะคิดว่า หมี่ใจดี ยอม...
แต่ถ้าได้ลองลงลึกใช้เวลาด้วยกัน จะรู้ว่าหมี่จี้ จิก สุดยอดแห่งการไม่ยอมใครเหมือนกัน
ลึกที่สุดแล้ว หมี่พร้อมจะเข้าใจ พร้อมจะให้อภัย พร้อมจะช่วยเหลือเสมอ
ขอแค่คุณยอมรับและรู้จักตัวเอง เข้าใจสาเหตุของตัวเองและสิ่งรอบข้าง และแก้ไขมันไปพร้อมๆ กัน

คนชอบบอกว่า หมี่เก่ง...
รู้ไหมคะ ว่าหมี่รู้อะไรน้อยกว่าคนอื่นมาก มีอยู่ไม่กี่เรื่องที่หมี่อยากจะเรียนเพื่อรู้จริงๆ
หมี่ไม่ใช่นักคิด ไม่ได้คิดแบบมีวิสัยทัศน์ ซับซ้อน หรือมีกลยุทธ์อะไรเลย
แค่ชอบเรียนรู้ ซึมซับอะไรง่าย รับผิดชอบ
จริงก็ว่าจริง ไม่ก็ว่าไม่ เท่านั้นเอง

บางคนบอกว่าหมี่เร็ว
ทำอะไรเร็ว คิดอะไรเร็ว
นำมาซึ่งอาการโลเล สับสนง่าย...
เรื่องนี้หมี่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันจริงไหม
หมี่รู้สึกทุกครั้งที่ตัดสินใจอะไรผิด เสียใจทุกครั้งที่รู้ว่าเราเร็วเกินไปจริงๆ
แต่หมี่เคารพในการตัดสินใจของตัวเองเสมอ และยินดีรับผิดชอบ 100%
และในเปอร์เซ็นต์ที่มากกว่ามาก...
สิ่งที่หมี่ตัดสินใจ ไม่ได้ผิด ไม่ได้เกิดจากความไม่รู้จะเอายังไง ไม่ได้ไม่คิดถึงคนอื่น
และผลของมันเป็นสิ่งที่หมี่เชื่อว่าดีที่สุดกับทุกคน

มีไม่กี่คนหรอกที่รู้จักหมี่ในสิ่งที่หมี่เป็นจริงๆ
หรือรู้จักและเข้าใจหมี่มากขึ้นเรื่อยๆ จริงๆ
Wording หนึ่งในหนังเรื่อง Knowing บอกว่า
คนมักจะเห็นในสิ่งที่เราอยากเห็นเสมอ...

หมี่ไม่ได้ต้องการให้คนทั้งโลกรู้จักและเข้าใจหมี่นะคะ
ขอแค่คุณให้เกียรติพอที่จะรู้ว่า หมี่อาจจะไม่ได้เป็นอย่างที่คุณเห็นก็ได้
เชื่อในความเป็นผู้ใหญ่ของหมี่ เชื่อมากพอที่จะเข้าใจทุกๆ การตัดสินใจ
และปล่อยให้หมี่โต อย่างที่ควรจะเป็น

ถ้าจะเตือนหมี่ ขอให้เตือนด้วยความเข้าใจและให้เกียรติ
อย่าตัดสินหมี่เลย เพราะมันจะทำให้หมี่รู้สึกว่า เรากำลังทำร้ายใครหรือเปล่า
แล้วหมี่จะอึดอัด กลัว เสียใจ กังวลมากกับเรื่องนั้น...
คุณจะรู้และเข้าใจจริงๆ ใช่ไหมคะ ว่าการตัดสินใจของหมี่แต่ละครั้ง
หมี่ต้องเผชิญกับความจริงและความรู้สึกแบบไหนบ้าง

ในความเป็นมนุษย์ของหมี่เอง ความตั้งใจดีเท่าที่จะมีปัญญาทำได้
ความเชื่อที่บอกว่า เราเกิดมาเพื่อทำให้โลกนี้และชีวิตคนอื่นดีขึ้น
การเคารพในความรู้สึกของตัวเอง และในสิ่งที่ตัวเองเป็น
และพระเจ้าที่ดีที่สุด ที่สถิตอยู่ในชีวิตของหมี่...
เป็นองค์ประกอบที่เพียงพอจะปล่อยให้หมี่โตและตัดสินใจอย่างที่หมี่เป็นไหมคะ

หมี่ไม่มีเพื่อนสนิทที่จะบอกทุกความรู้สึกและสิ่งที่หมี่เป็นให้เขาเข้าใจทั้งหมดได้
เพราะว่าหมี่ตั้งใจจะเป็นคนหนึ่งที่ช่วยดูแลความรู้สึกและความจริงของเขา
ความรู้สึกที่หมี่คิดว่ามันงี่เง่าเหลือเกิน (เพียงแต่ว่าหมี่รู้สึก)
หมี่คิดว่า มันไม่จำเป็นต่อชีวิตของเขา
ในความเป็นมนุษย์ เราอาจต้องบอกใครสักคนเพื่อให้เราดีขึ้น
แต่ถ้าไม่มีคนที่เราเชื่อว่าเขาจะฟังและเข้าใจจริงๆ ก็ไม่เป็นไร มันไม่ได้แย่มากค่ะ

คนที่หมี่จะเล่าบางความรู้สึกให้ฟัง โดยที่รู้ว่า มันไม่ได้จำเป็นต่อชีวิตของเขา
ก็คือคนที่รักและรู้จักหมี่มากพอที่จะอยากฟัง
(คนทั่วๆ ไปคงเรียกว่าแฟน แต่สำหรับหมี่ อาจจะเป็นคนที่หมี่จะเลือกเป็นแฟน)

ถ้ามีใครมาบอกหมี่ว่า อย่าเพิ่งรู้จักเขาให้มากเลย
อย่าเพิ่งทำความรู้จักกันเกินเพื่อน เดี๋ยวจะเจ็บและทำร้ายคนอื่น
ให้รอดูกันไปจนกว่าจะมั่นใจ...
หมี่ก็จะได้คบคนที่หมี่แค่ชอบ เพราะดูดี มีอะไรบางอย่าง
แต่หมี่ก็จะไม่ได้รักใคร เพราะวันหนึ่งหมี่จะรู้ว่าเขาไม่ใช่แน่ๆ
และจะไม่มีใครที่รักหมี่อย่างที่หมี่เป็นได้หรอกค่ะ
เพราะมันยากสำหรับหมี่ที่จะแบ่งปันทุกความรู้สึก...

มันไม่ใช่เรื่องของ ใช่ หรือไม่ใช่คนนี้
มันไม่ใช่เรื่องของการควบคุมความรู้สึก
มันไม่ใช่เรื่องของเวลา (มีคนเป็นห่วงว่าหมี่เร็วเกินไป แม้กระทั่งเรื่องความสัมพันธ์)
มันไม่ใช่เรื่องของการไม่ให้เกียรติ ไม่เชื่อฟังผู้ที่ดูแลและหวังดีกับเรา

ที่จริงหมี่เคยรักและรู้จักใครบางคนจนคิดว่าจะแต่งงานด้วยแล้วนะ
เชื่อไหม ว่าหมี่เข้าใจ...
คนไหนเราชอบแบบ...แค่ชอบ
หรือคนที่ใช่แบบ...อยู่ด้วยได้
คุณรู้จักหมี่พอที่จะเชื่อไหมคะ

ขอบคุณมากนะคะ ถ้ามีใครสักคนอ่านมันตั้งแต่บรรทัดแรกจนถึงบรรทัดนี้
มันแค่มีความรู้สึกและเรื่องราวบางอย่าง ที่หมี่ไม่รู้จะจัดการมันอย่างไร
สิ่งที่หมี่พูดทั้งหมด คงไม่ได้ทำร้ายใคร
หรือถ้ามันทำร้ายคุณ มันทำให้คุณเจ็บ อึดอัดใจ งง สับสน หรือสงสาร
โดยที่ไม่รู้สาเหตุด้วยซ้ำ...
หมี่ก็ขอโทษด้วยนะคะ

หมี่เป็นตัวของตัวเองมานานแล้ว
หมี่ไม่เคยหลอกตัวเองได้เลย
และเช่นเดียวกัน หมี่ก็ไม่เคยหลอกคนอื่นเลยด้วย
ถ้าสิ่งที่หมี่เป็นมันไม่ได้ผิด หรือทำบาป...
หมี่ก็ขอบคุณนะคะ ที่คุณได้รู้จักและเข้าใจหมี่มากขึ้น

แต่ถ้าสิ่งที่หมี่เป็นมันเห็นแก่ตัว มันผิด
เราคงต้องคุยกัน...
หมี่จะเริ่มต้นทำให้คุณรู้จักและเห็นหมี่อย่างที่หมี่เป็น
ไม่ใช่อย่างที่คุณอยากเห็น

พระเจ้าสร้างคนทุกคนมาอย่างพิเศษมากจริงๆ ค่ะ

4.4.52

เปิดฉาก...

ครบ 5 วัน สำหรับที่ทำงานแห่งใหม่
เป็น 5 วันที่หนัก เหนื่อย
แสนสาหัสสำหรับหมี่พอดูเหมือนกันนะ
เพราะนอกจากงานที่ทำ ยังต้องมีงานอื่นๆ ที่รับผิดชอบอยู่ด้วย

กลับบ้านไม่ต่ำกว่า 23.30 น.ทุกวัน
แล้วก็ต้องมาเคลียร์งานค้าง
แล้วก็.....
แล้วก็.....

ใช้ร่างกายได้คุ้มจนไม่สมดุลเลยล่ะ
ทำให้กาแฟที่ไม่ได้กินไปหลายวัน ก็กลับมาเป็นยากระตุ้นยามเช้า
ตั้งใจจะเลิกอีกครั้ง
สัปดาห์หน้าจะใช้ชีวิตใหม่

เมื่อวานนี้ถึงบ้านตอน ตี 3
ตัดต่อรายการที่ออกอากาศวันนี้
เปิดฉากสัปดาห์แรกก็โหดใช้ได้
(หลายๆ คนก็ตกใจว่า หมี่ทำงานมา 5 วันเองเรอะ)
แต่หมี่ว่า แบบนี้ล่ะ กำลังดี
ใช้ชีวิตแบบที่คนอื่นเขาทำๆ กันบ้าง

ทำในสิ่งที่ตัวเองต้องทำ
นี่คือความรับผิดชอบ
หลังจากนั้นก็ทำในสิ่งที่ตัวเองควรทำ
นี่คือจริยธรรมและความถูกต้อง

จะได้มีเวลาและเรี่ยวแรงไปทำในสิ่งที่ตัวเองอยากทำ
นี่คือความสมดุลของการพักผ่อน

....
คิดทฤษฎีใหม่แบบเอาแต่ใจตัวเองเกินไปไหมเนี่ย

จะได้มีเวลาและเรี่ยวแรงไปทำในสิ่งที่ตัวเองอยากทำ
สู้ต่อไป
ท่องโลกกว้างต่อไป...หมี่เอ๋ย

2.4.52

เปราะบาง

เปราะบาง...
เวลาที่ได้ยินคำนี้ มักจะรู้สึกถึงภาชนะทำด้วยอิฐหรือดินบางๆ
พร้อมจะแตกได้ทันที เมื่อเราเคาะ เจาะ หรือทำตกพื้น

มีพี่คนหนึ่งบอกว่าหมี่เปราะบาง...
หมี่ไม่ได้เป็นคนเปราะบางเลยนะ
หมี่ไม่ได้ถูกทำลายง่ายๆ ด้วยอะไรบางอย่าง
สิ่งที่อยู่ข้างในมันค่อนข้างจะ ...แน่น..

อาจจะมีบางครั้งที่รู้สึกกลวงบ้าง แต่ก็เพื่อให้ความแน่น มันแน่นมากขึ้นน่ะ

วันนี้ตอนเดินทางไปทำงาน
อยู่ดีๆ ก็คิดถึงเรื่องความสัมพันธ์ของคน..
ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ ระหว่างกันและกัน

ความสัมพันธ์ในหลายๆ รูปแบบ มีความ "เปราะบาง"
และความสัมพันธ์ของคนหลายคนที่ดูแนบแน่น ก็อาจจะ "เปราะบาง"
ทำให้เรา "เจ็บ" แบบแตกกระจายได้ง่ายเกินไป

เวลาที่หมี่จะสร้างสัมพันธ์หรือรู้จักกับใครสักคน
มันเป็นการก่อตัวจากข้างในนะ ค่อยๆ แน่นขึ้นจากข้างใน
มันก็เลยไม่ค่อยเปราะบางมากนัก สำหรับตัวหมี่เอง

ความสัมพันธ์ที่อบอุ่น แนบแน่น..
สร้างความมั่นใจและมั่นคงให้กับเราเสมอ
ในเวลาทุกข์ร้อน เหนื่อย อ่อนแรง หมดหวัง
ความอบอุ่นและความเต็มในใจ เป็นอาวุธสำคัญในการใช้ชีวิตนะคะ

ถ้าหากเราเป็นอิฐกลวงๆ ที่หนาหน่อย อาจจะทะลุเข้าไปข้างในได้ยาก
แต่ว่าความกลวงของมัน ก็ทำให้มันเปราะบาง
หมี่คิดว่า บางทีอาจจะต้องเอาไม้ปลายแหลมค่อยๆ เจาะทะลุเข้าไป
เพื่อเปิดช่องว่างสำหรับการเติมเต็ม โดยไม่ให้อิฐก้อนนั้นแตก
แน่นอนล่ะ มันจะเจ็บ จี๊ดๆ และมีบาดแผล
คงต้องใช้เวลานาน...
กว่าช่องว่างข้างในจะถูกเติมเต็มจนแผลนั้นไม่เป็นแผลอีก
แต่ดีกว่าปล่อยให้มันกลวงไปเรื่อยๆ
และต้องคอยรักษาเอาไว้ด้วยความกลัว
กลัวว่ามันจะแตกวันไหน เมื่อไหร่ จะเจ็บแค่ไหน...
ทรมาน

หมี่ตั้งใจว่า ทุกความสัมพันธ์ที่จะเจอต่อไป
คุณแม่ คุณพ่อ น้องชาย น้องสาว
เพื่อนใหม่ เพื่อนเก่า เพื่อนสนิท เพื่อนในพันธสัญญา
ทุกคนที่อยู่ในขอบข่ายที่หมี่จะรัก และห่วงใย
และคนที่หมี่จะใช้ชีวิตด้วยจนถึงวันสุดท้าย

จะทำพันธสัญญากันว่า ความสัมพันธ์ของเราจะเริ่มจากภายใน
หมี่จะยอมให้เขาเจาะเข้าไปในหัวใจ ยอมเจ็บก็ได้ ถ้าเราจะรักกันมากขึ้น
และถ้าเขายอม หมี่จะเจาะเข้าไปในหัวใจของเขา
แล้วก็ช่วยกันเติมให้เต็ม ให้หนักแน่น มั่นคง

แล้วไม่ว่าจะถูกทุบ กระแทก ตกแตก ก็จะไม่มีวันทำลาย
ความสัมพันธ์ที่หมี่เลือกและตัดสินใจสร้าง จะไม่เปราะบาง..
.
.
.
.
วันนี้เป็นโหมดจริงจังและลึกซึ้งค่ะ
^_^

31.3.52

Creative ++++

เคยมีหลายคนเรียกหมี่ว่าเป็นนัก "creative"
ชอบสร้างสรรค์ บรรเจิด วาดวิมานในอากาศ
.
.
.
.
Gsus7 ช่วยตอกย้ำตัวเองได้ชัดเจนมากขึ้นว่า หมี่ไม่ได้เป็นนักฝัน
ไม่ได้มีความคิดสร้างสรรค์แหวกแนวมากกว่าคนอื่นเท่าไหร่เลย

หมี่ได้เจอนักฝัน นักสร้างสรรค์โลกใบใหม่ใน Gsus7 หลายคนเลยค่ะ
ขอให้มีอะไรจุดประกายมา เขาพร้อมสร้างฝัน ต่ิอยอดจินตนาการได้ทันที
และเรื่อยๆ...

หมี่ amazing กับเขามากๆ เลยนะคะ เพราะว่าหมี่ทำอะไรแบบนั้นไม่ได้น่ะ
แต่สงสัยไหมว่า ทำไมหมี่ได้รับหน้าที่ creative มาตลอด
(ปัจจุบัน ทำงานที่ใหม่ก็ได้เป็น creative)
.
.
.
.
เคยอ่านหนังสือเล่มหนึ่ง จำชื่อไม่ได้แล้ว
หน้าปกเป็นรูปหลอดไฟ เนื้อหาเกี่ยวกับการ creative

เขาบอกว่า ไม่มีสิ่งใหม่ในโลกใบนี้
การ creative คือการเอาสิ่งที่มีอยู่แล้ว มาปรับ เปลี่ยน ประยุกต์ แปะเข้าด้วยกัน
จนเกิดอะไรบางอย่างขึ้น โดยมีวัตถุประสงค์ "เพื่อการใช้งานได้จริง"

งาน creative ที่หมี่ทำ คือเอาสิ่งที่ทุกคนคิด มารวมกับสิ่งที่มีอยู่แล้ว
มารวมกับเป้าหมาย แล้วก็เขียนมันออกมาให้คนเห็นและเข้าใจ

ท่านที่เป็นนักฝันก็ฝันไปเถิดค่ะ โลกใบนี้จำเป็นต้องมีจินตนาการ
ท่านที่เป็นบริหาร ก็บริหารเถิดค่ะ มีหลายอย่างมากเหลือเกินที่ต้องจัดการ
ท่านที่เป็นนักประสานงาน ก็ประสานงานอย่างดี อย่างที่ท่านทำอยู่แล้ว
ท่านที่เป็นนักขาย ก็นำเสนอสิ่งดีที่ท่านมีด้วยความรักต่อไป...

หมี่ขอเป็นนักเล่าเรื่องที่เก็บเกี่ยวเรื่องราวของทุกคน ทุกสิ่ง ทุกอย่าง
แล้วสร้างสรรค์เป็นเรื่องราวใหม่...
ที่จะส่งผลให้เกิดสิ่งดีๆ มากมายบนโลกใบนี้นะคะ

โลกนี้อาจจะไม่มีสิ่งใหม่
แต่โลกนี้มีเรื่องราวใหม่เสมอค่ะ

28.3.52

ความรับผิดชอบ...

หนึ่งเรื่องสำคัญที่ได้เรียนรู้จาก Gsus7
คือ ความรับผิดชอบ...

ความรับผิดชอบเป็นต้นกำเนิดของความสำเร็จ
คนที่มีความรับผิดชอบ เขาจะได้ดูแลสิ่งที่ใหญ่โตและมากขึ้นเรื่อยๆ
แต่ความรับผิดชอบนั้นต้องประกอบด้วยความรู้ ความเข้าใจ
และการเปลี่ยนแปลงเติบโตในแต่ละวัน

2 เดือนแรก หมี่อยู่ที่ Gsus7 ในฐานะของ Producer รายการโทรทัศน์ 4 รายการ
ด้วยความกดดันเป็นอย่างมาก เพราะเรารู้สึกอยู่เสมอว่าตัวเองไม่ชอบทำงานโทรทัศน์
และในตอนนั้น ไม่มีทีมงานที่เชี่ยวชาญ ไม่มีอุปกรณ์ใดๆ ไม่มีอะไรเลย
มีแต่ช่วงเวลาที่ว่างๆ รอรายการเราเข้าไปออกอากาศ
และใจของคนทำงาน งงๆ ไม่กี่คน

หลายๆ ครั้งมันก็รู้สึกว่าอยากจะทิ้ง แล้ววิ่งหนีออกมาทำในสิ่งที่อยากจะทำ
แต่พ่อกับแม่เลี้ยงดูหมี่มาดีมาก สิ่งที่แม่สร้างคือความรับผิดชอบในตัวเอง
หน้าที่ของตัวเอง สิ่งที่ตัวเองมีอยู่ถืออยู่ และการรับผลของ "ผิดและชอบ"
จากการเลือกด้วยตัวเอง

สิ่งนี้เป็นสิ่งที่สำคัญนะคะ
มนุษย์กล้าเลือก กล้าทำ แต่เมื่อเกิดปัญหาก็โทษกันไปมา
ปกป้องตัวเอง เพราะไม่กล้ารับผิด

ช่องว่างของงาน เกิดขึ้นเพราะบางคนไม่รับผิดชอบมันจนถึงที่สุด

ความกดดันที่มากเกินไป
เกิดจากความไม่เข้าใจ ว่าแต่ละคนต้องรับผิดชอบกับตัวเองอย่างไร

หมี่เคยทำงานหนักมาก จนป่วย
เครียดมาก คิดว่าทุกอย่างเป็นความรับผิดชอบของหมี่
พอมีอะไรผิดพลาดก็รู้สึกว่า ทำไมชีวิตนี้ชั้นทำอะไรล้มเหลวตลอดเวลา
ทั้งที่จริงแล้ว มันไม่จำเป็นต้องคิดอย่างนั้นเลย

หมี่เคยได้รับงานที่มีหน้าที่เข้าไปจัดการช่วยในความรับผิดชอบของคนอื่น
กลายเป็นจุ้นจ้าน หาเรื่อง ทำงานเกินความรับผิดชอบของตัวเอง

หมี่เคยรับทำงานทั้งที่เราไม่มีความรู้อะไรเลย
แม้ด้วยความรับผิดชอบเต็มที่ของเรา งานก็ยังออกมาน่าสมเพช

หลายๆ ครั้งเหนื่อย เือือมระอา แล้วก็ทำนิสัยเหมือนคนเห็นแก่ตัว
ไม่ร่วมมือ ไม่ช่วยงาน...
เพราะอยากให้หลายๆ คนเข้าใจคำว่า รับผิดชอบ ให้มากขึ้น

ความรู้สึก เจ็บๆ ปวดๆ แย่ๆ ในใจ หลายครั้งเกิดจากการ "รับผิด"
แต่มันทำให้หมี่โตขึ้น และเตรียมหมี่ให้พร้อมกับการ "รับชอบ"

เวลาที่เราไม่รู้สึกว่าเรากำลังผิดพลาดอะไรเลย หรือต่ิอสู้กับอะไรเลย
บางทีก็ต้องกลับมาย้อนคิดว่า เอ หรือเรากลายเป็นคนไม่รับผิดชอบไปเสียแล้ว

ครั้งที่รับผิดชอบตำแหน่ง Project manager งานแถลงข่าวรายการนิยมกล้อง
ความรับผิดชอบในตอนนั้นมันใหญ่หลวงมาก
แต่ปัญหาที่ลอยมาให้แก้ไขเป็นแพ ก็คลี่คลายด้วยดี
สิ่งที่ดูเหมือนไม่น่าเิกิดได้ภายในไม่กี่วัน ก็เกิด
ทีมงานมากมาย แม้จะใหม่กันหมด แต่ก็ตบเท้าไปด้วยกันเต็มที่
ความเครียด ความกดดัน ความเหน็ดเหนื่อย คุ้ม เมื่อแลกกับความภูิมิใจ

ผ่านมา 2 ปี หมี่ค้นพบว่า ความรับผิดชอบเป็นของขวัญที่มีพลังในการขับเคลื่อนของชีวิต
หมี่ได้รับมันมาเยอะ ไม่ต้องสร้างใหม่มาก...
แต่ที่นี่สอนให้หมี่พัฒนา รู้จัก เข้าใจ และใช้มันอย่างถูกต้องมากขึ้น
และสิ่งที่เหลือไว้ และปรารถนาจะให้เป็น
คือ คนที่อยู่ที่นี่ทุกคนจะรู้จักคำว่า "รับผิดชอบ" อย่างดี
ถ่องแท้ ลึกเข้าไปในหัวใจ

27.3.52

ทบทวน...

เมื่อวันพุธที่ผ่านมา ชั้นเสวนาตอนเช้าของบริษัท
พูดถึงเรื่องที่น่าสนใจ 3 หัวข้อ

ข้อแรก... ได้อะไรจากการทำงานที่นี่
ข้อสอง... ทำงานที่นี่เพื่ออะไร
ข้อสาม... สิ่งที่ต้องเปลี่ยนแปลง

อืมมม
น่าตื่นเต้นเหมือนกันนะ
มีคำตอบมากมายหลายข้อเลยทีเดียว

ไหนๆ ก็ทำงานที่นี่มาหลายปีแล้ว (2 ปีนี่ถือว่าเยอะสำหรับหมี่แล้วค่ะ)
ลองทบทวนกันหน่อย....

20.3.52

พรมแดนท้าทาย

วงจรการพัฒนาชีวิตมนุษย์รูปแบบหนึ่งในการเติบโต...
ที่จะเรียนรู้จักตัวเองและพัฒนาด้านต่างๆ ในชีัวิต
เป็นวงจรที่ประกอบไปด้วย
"สภาวะเสถียรภาพ"
"่พรมแดนท้าทาย"
และ "สภาวะใหม่"
และเมื่อปรับตัวได้ ก็เข้าสู่ "สภาวะเสถียรภาพ" อีกครั้ง

ความเสถียรภาพทำให้ชีวิตดูมั่นคง (มองข้อดี)
สิ่งใหม่ๆ ทำให้ชีวิตตื่นเต้น (มองข้อดีเช่นกันค่ะ)
สิ่งสำคัญอยู่ในช่วงเวลาแห่งการตัดสินใจว่า จะเปลี่ยนแปลงไหม

การเปลี่ยนแปลงมักนำมาซึ่งความรู้สึกบางอย่าง
ที่กระทบต่อความมั่นคงในจิตใจ

คิดถูกหรือเปล่า...
ควรหรือไม่ควร...
เพราะข้อมูลที่มีและความเข้าใจเราอาจจะน้อยเกินไป

หวาดกลัว...
ไม่มั่นใจ...
เพราะถ้าตัดสินใจแล้ว ก็ไม่รู้จะเจออะไรต่อไป

แปลกใหม่...
ตื่นเต้น...
เพราะลุ้น ว่าถ้าตัดสินใจแล้วจะเจออะไรต่อไป

พรมแดนท้าทายเป็นเรื่องของการตัดสินใจ
เป็นความท้าทายในการเลือก...

เลือกว่า จะอยู่ในสภาวะเดิมที่ดูมั่นคงอยู่แล้ว
ไม่ต้องปรับตัว ไม่ต้องเจอกับแรงเสียดทานใหม่ๆ

หรือ จะก้าวไปสู่สภาวะใหม่
ที่ต้องมีการเรียนรู้และปรับตัวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

===============

กับคนอื่นๆ ความมั่นคงอาจจะเป็นเรื่องสำคัญในชีวิตนะ
แต่สำหรับหมี่...

ความมั่นคงในจิตใจ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่า เรายืนอยู่ที่ไหน
เราทำอะไร หรือเรากำลังจะเจออะไร

ความมั่นคงในชีวิต ไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่า
เรามีเงินเท่าไหร่ เรามีเพื่อนกี่คน
ร่างกายของเราใช้การได้ดีหรือไม่
ตำแหน่งงานของเราคืออะไร
เราทำงานอยู่ในองค์กรอะไร

แต่ขึ้นอยู่กับว่า เรามองที่อะไร โอกาสหรือปัญหา
และสิ่งที่เรามีทุกอย่าง เรามองมันอย่างไร

=============

ทุกครั้งที่เราจะตัดสินใจ เรามักจะประเมินและประมวลสิ่งต่างๆ ที่เรามี
การเรีัยนรู้ที่ผ่านมา ความเติบโตของเรา
สถานการณ์รอบด้าน ความคิดเห็นของคนอื่นๆ

ผลลัพธ์เป็นอย่างไร ก็จะเป็นคำตอบของคำถามที่บอกว่า...
ควรก้าวข้ามพรมแดนนั้นไปหรือไม่

แต่ไม่ว่าคำตอบเป็นอย่างไร อย่างน้อยเราก็จะได้ประเมินผลตัวเราเอง
จุดอ่อน/จุดแข็ง
ความสามารถที่เพิ่มขึ้น/ ลดลง
นิสัยที่เปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น/ แย่ลง

เนี่ยแหละ...
จุดเริ่มต้นของการเติบโตที่จะเรียนรู้จักตัวเองและและพัฒนาชีวิต

===============

หมี่กำลังจะเปลี่ยนงาน...

ย้ายไปทำงานเป็น Co-Producer ที่ TPBS ตามโอกาสและคำแนะนำที่เข้ามา
กลับเข้าสู่งานโทรทัศน์เต็มตัวอีกครั้งหนึ่ง

กลัวเหมือนกันนะ กับงานโทรทัศน์ที่เรารู้สึกว่ามันกดดัน
แต่ก็มั่นใจว่าองค์กรที่ยิ่งใหญ่และดูมั่นคงขึ้น จะเปิดโหมดการเรียนรู้ใหม่ๆ
หมี่ก็โตพอที่จะทำได้ แล้วก็จะโตขึ้นไปอีก
แล้วเอาสิ่งดีๆ ที่ได้รับมาเพิ่มเิติมให้คนอื่น

จริงๆ แล้วเรื่องการเปลี่ยนงาน ก็ถูกคิดและตัดสินใจมาสักพักแล้วล่ะ
ตอนนั้นแหละ เป็นช่วงเวลาของพรมแดนท้าทาย

ตอนนี้ก้าวข้าม "พรมแดนท้าทาย" ไปแล้ว เตรียมตัวเข้าสู่และเข้าสู้ "สภาวะใหม่"

ชีวิตเป็นเรื่องท้าทายนะคะ

ล้มบ้าง ถึงจะรู้ว่าความสำเร็จเป็นยังไง
หลงบ้าง ถึงจะรู้ว่า การเดินในเส้นทางที่ถูกมันสำคัญแค่ไหน
หัวแข็งบ้าง ถึงจะรู้ว่า มีที่ปรึกษามากก็ปลอดภัย
อ่อนแอบ้าง ถึงจะรู้ว่า มิตรสหายมีไว้เพื่ออะไร

นี่คือเหตุผลที่ ทำไมหมี่ถึงสนุกกับการก้าวเข้าไปสู่พรมแดนท้าทายเสมอ
ตอนนี้อายุ 25 ปี
เปลี่ยนงานมา 4 ที่แล้ว
ยังไม่เคยได้ Bonus จากบริษัทไหนเลย

หมี่น่าจะถูกสร้างมาเพื่อการแสวงหาและตักตวงประสบการณ์
มากกว่า วางรากฐานลงบนสิ่งที่มั่นคงในสายตามนุษย์นะคะ

คิดว่าอย่างนั้นล่ะ
^_^

12.3.52

......

รุ่นพี่ทีนิเทศศาสตร์ เป็นโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว
เพิ่งเสียชีวิตก่อนหน้านี้ไม่กี่ชั่วโมง
ที่ผ่านมาไม่เคยบอกเพื่อนเลยว่าเป็นโรค
รู้อีกทีก็อยู่ ICU

ย้ำกับเพื่อนทุกคนว่า
งานศพ ห้ามใส่้สีขาวดำ
ขอสีสันสุดๆ

เศร้าอะ
วันนี้อยู่ดีๆ ก็เศร้า
เจอเรื่องนี้ยิ่งเศร้าผิดปกติ

........................

9.3.52

Ralationships

เมื่ออาทิตย์ก่อนนู้น เบญ เพื่อนเก่าสมัยม.ต้น MSN มาทัก
ชวนไปเยี่ยมเพื่อนเก่าอีกคนที่สามีไม่สบาย
รอกันไป รอกันมา ก็อดไป

เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ตวน เพื่อนเก่าสมัยม.ต้น โทรมาบอกว่ามีเพื่อนเสียชีวิต
ชวนไปงานศพที่ราชบุรี แต่ว่าไปตั้งแต่บ่ายสาม ก็เลยไม่ได้ไปด้วย

อาทิตย์ก่อนไปรับงานเข้าบริษัท ติดต่อใหุ้ พี่มิตรตรี รุ่นพี่ที่นิเทศเป็น outsource เสนอราคามา
บริษัทเก่าที่เราทำงานด้วยเองล่ะ โทรไปล้วก็คิดถึงเหมือนกันนะ

มุกกี้ เพื่อนมหาวิทยาลัยโทรมา ขอให้ช่วยส่งงานเก่าๆ ไปให้
เพราะจะไปเรียนต่อ ต้องเสนอ Port ขอทุน

เพื่อนที่มหาวิทยาลัยอีกคน ไอ้โจ้ (เรียกโจ้ธรรมดาไม่ได้จริงๆ ค่ะ)
ขึ้น MSN ว่า มีเพื่อนที่คณะได้ลง Inn Magazine
พอไปทักก็ลีลา แล้วมันก็ให้คำมาคำหนึ่งว่า "บะหมี่ที่ทำด้วยแป้งชั้นดี"
ต่อด้วยบริบทอะไรไร้สาระนี่ล่ะ
แต่ชอบคำนี้จัง

โอ๊ตจิ๋ม เพื่อนที่เคยกินเหล้าด้วยกันตอน ปี 3 ก็ ทัก MSN มาหา
จะให้่ช่วยคิดงานให้ ไม่ได้คุยกันจริงจังตั้งนานแน่ะ

วันนี้ ไอซ์ เพื่อนม.ปลายอีกคนหนึ่ง จัดงานแต่งงาน แถวหลักสี่นู้นแน่ะ
แล้ววันพฤหัสที่จะถึงนี้ ภัทร (หรือให้เราเขียนว่า ทอย อะ)เพื่อนอีกคนจะผ่าตัดเปลี่ยนไต
ต้องไปเยี่ยมให้ได้

นี่โหมดเพื่อน

วันอาทิตย์ที่แล้วไปทานอาหารเย็นกับ พี่แฟนต้า พี่สาวที่อยู่ฝรั่งเศส พาลูกกับสามีมาเที่ยวที่ประเทศไทย
ลูกชายอายุขวบกว่าๆ หน้าตาน่ารักที่สุดในโลก
ชื่อน้องลูกชิ้น ชื่อจริงว่า ตะลันต์
อยู่ฝรั่งเศส พ่อเป็นคนตูนีเซีย แต่ลูกชิ้นพูดไทยได้
น่ารักมากๆๆๆๆๆๆ

เหมี่ยว น้องสาวคนสวย (แต่หัวสีส้ม) ส่งขนมถุงใหญ่มาให้จากอังกฤษ
บอกว่า มันเยอะมากๆๆๆๆ เธอต้องตื่นเต้นๆๆ
(มันใกล้หมดแล้วล่ะเธอ)

นี่โหมดครอบครัว

เมื่อวันก่อน พี่ที่เคยจ้างทำงาน
อยู่ดีๆ ก็โทรมาหา ถามสารทุกข์สุขดิบแบบงงๆ (เรางง)

คืนวันศุกร์ พี่อีกคนที่เคยมาช่วยๆ งานกัน เคยส่งงานมาให้ทำ
็ทักเราทาง MSN แล้วชวนไปช่วย creative บทการ์ตูน

เมื่อวานนี้ พี่เค พี่ชายที่ออฟฟิศเก่า ก็แวะมาทักทายผ่าน MSN ขอ URL Blog นี้
(ดีใจนะคะ ที่พี่อ่าน ^_^)

แล้วเมื่อวันจันทร์ พี่ไก่ อดีตช่างภาพสารกระตุ้น (ตอนนี้เป็นช่างภาพสุดสัปดาห์)
ก็โทรมาขอเบอร์ติดต่อคนที่เคยทำงานด้วย

ได้คุยกับพี่โอ๊ต บก.สารกระุตุ้น พี่ชายที่น่ารักอีกคน
ขอเบอร์ ขอชื่อนามสกุลและิอาชีพ ไปทำ resume
คุยกันแล้วนึกถึงสารกระตุ้นนะ

อืม.....

อยากเก็บทุกๆ คน ในทุกๆ ช่วงของชีวิตเอาไว้
ไม่ให้หายไปไหนเลย

ช่วงนี้ำทำงานเยอะๆๆ
ลืมติดต่อชาวบ้านอย่างที่ควรจะทำ
เสียดายเวลาที่ผ่านไปตั้งนาน
ที่ไม่ได้ใส่ใจ...
มีเพื่อนที่เสียชีวิตไปแล้ว
คุณป้าที่เสียชีวิตไปแล้ว
เพื่อนอีกหนึ่งคน นอนป่วยอยู่ ยังไม่ได้ไปเยี่ยม
เพื่อนอีกคนกำลังจะเข้าผ่่าตัด ก็ยังไม่ได้ไปเจอ

สงสัยต้องปรับโหมดการบริหารเวลาชุดใหญ่แล้วล่ะ

++++ -_-" +++++++++

6.3.52

เหตุเกิดของความเครียด

ไม่ได้อัพเดท blog หลายวันมาก
พอมาอ่าน ก็รู้สึกว่าทิ้งท้ายเป็นเรื่องเครียดๆ เอาไว้นานเชียว
ไม่ได้ ไม่ได้ เดี็ยวคนอ่านจะไม่สดชื่น

ว่าแล้วก็มาเขียนเรื่อง "เหตุเกิดของความเครียด"
เรื่้องเครียดเป็นเรื่องที่หมี่พูดบ่อยมาก
เพราะว่าเครียดบ่อย
ยิ่งช่วงที่ผ่านมา มีคนทักเรื่องความเครียดของเราหลายคนเชียว
ประมาณว่าสัมผัสออร่าได้
ไม่ดีเลย ทำให้คนอื่นไม่สบายใจ

พี่คนหนึ่งก็เลยให้แจกแจงความเครียดออกมา ส่งเป็นการบ้าน
เขียนแล้วก็กลัวเขาจะยิ่งไม่สบายใจ

แต่หมี่เขียนแล้วสบายใจขึ้นนะ
ถึงว่า คนเก็บกด มีปัญหา ต้องให้เขียนไดอารี่

เหตุเกิดของความเครียดสำหรับหมี่นะคะ
ไม่รู้คนอื่นเป็นไหม

1.กังวลว่างานจะไม่เสร็จตามที่ได้รับมอบหมาย
จะรู้สึก (ไปเอง) ว่างานกระชั้นอยู่ตลอดเวลา งานไม่เคยเสร็จและไม่มีวันเสร็จ
ต้องทำๆๆๆ ให้เร็วที่สุด ไม่พักก็ต้องทำ
ซึ่งบางทีก็ไม่ได้จำเป็นอะนะ

2.กังวลว่าคุณภาพงานจะออกมาไม่ดี
รู้สึกว่าต้องรับผิดชอบในสิ่งที่ถูกคาดหวังคุณภาพสูง แต่เราไม่ได้เชี่ยวชาญ ไม่ได้มีความสามารถด้านนั้นอย่างครบถ้วน ก็กลัวมันจะออกมาไม่ดี

3.กังวลว่าตัวเองจะทำสิ่งต่างๆ อย่างไม่เต็มที
ในความอ่อนแอและจำกัดของมนุษย์ มันก็มีหลายอย่างที่เปลี่ยนไม่ได้ แล้วถ้ามันเป็นอุปสรรคในการทำสิ่งต่างๆ ก็จะยิ่งเครียดถ้าเราเปลี่ยนมันไม่ได้ รู้สึกว่าเป็นต้นเหตุเล็กๆ ที่มีผลต่อความผิดพลาดน่ะค่ะ

4.กังวลว่าตัวเองจะไม่พัฒนา
กลัวว่าจะไม่โตขึ้นอย่างที่ควรจะเติบโต และไม่กว้างขวางพอที่จะดูแลและช่วยเหลือคนอื่นได้ หรือเอาความรู้ข้อมูลที่มีมาทำสิ่งที่เกิดประโยชน์ไม่ได้อย่างดีที่สุด

อ่านแล้วเป็นไงคะ
เครียดไหม
ไร้สาระเนอะ

ที่จริงทุกเรื่องทุกความเครียดมันก็มีคำตอบและหลักการปรับโหมดของมันอยู่แล้วล่ะ
เพียงแต่ความเป็นมนุษย์ มันก็ควบคุมตัวเองไม่ได้ทั้งหมดหรอก
แต่ความเป็นมนุษย์เนี่ยแหละ ที่จะช่วยให้เราเข้าใจ เติบโตขึ้น เรียนรู้
และอยู่อย่างมีความสุขทุกสถานการณ์ได้

เพราะมนุษย์ไม่ได้ถูกสร้างมาเป็นผู้วิเศษ ทำทุกสิ่งได้
เราก็เลยต้องเรียนรู้ที่จะเป็นอะไรที่เล็กน้อยในการทำสิ่งใหญ่ๆ
แล้วก็ร่วมมือกับคนอื่น ยอมรับในความผิดพลาดบ้าง

เพราะหมี่ชอบคิดว่า หมี่ต้องแบกๆๆ อะไรไว้เต็มไปหมด ทั้งที่ไม่จำเป็นเลย
มีคนช่วยแบกอยู่ตั้งเยอะแยะ
กลายเป็นคนช่างเครียด ช่างขมวดคิ้ว

สรุปว่าช่วงนั้น
ปลงได้ เพราะเหตุการณ์ขำๆ บางอย่าง
มีอย่จันทร์หนึ่ง
ขึ้นรถเมล์ตั้งแต่เช้า เช้ากว่าปกติเยอะอยู่ แล้วก็ไปถึงออฟฟิศสายเท่าเดิม
แถมขึ้นไปแล้วไม่ได้นั่งอีกต่างหาก

ก็คิดได้ว่า อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด
พยายามตื่นเกือบตาย
พอตื่นได้ ก็ดันเป็นวันที่รถติดหนักซะนี่
เราควบคุมได้เท่าที่เราถืออยู่นั่นแหละ
ซึ่งนับไปนับมาก็ไม่ได้มีอะไรเท่าไหร่หรอก

ยืนอ่านหนังสือบนรถเมล์ 2 ชั่วโมง พร้อมกับฟังเพลงไปด้วย
ก็ไม่ได้เป็นชีวิตที่เลวร้ายนักนี่นา
จะเครียดให้ชีิวิตมันหดหู่ไปทำม้ายยยย

20.2.52

บทเรียน

วันนี้ได้เจอกับเรื่อง shock หนึ่งเรื่อง
เป็นความ shock ที่ปนมากับความเสียใจ ความอาย สำนึกผิด และเรียนรู้...

เคยมีน้องคนหนึ่งมาปรึกษาเรื่องบางเรื่อง
แล้วเราก็ให้คำปรึกษาไปตามความคิด ความเห็นด้วยของเรา
ซึ่งมีหลายคน ไม่เห็นด้วยกับการตัดสินใจของเขา

ความรู้สึกที่เกิดขึ้น ณ เวลานั้นคือไม่เข้าใจ
รู้สึกไม่ดีกับบรรดาคนที่ไม่เห็นด้วยนั้น
บริบทรอบข้างและหลักการเหตุผลทั้งหมด
ยังไงก็ไม่ใช่คำตอบแบบนั้น

ความจริงเปิดเผย
ข้อมูลบางอย่างที่เราไม่รู้ ก็ได้รู้
เข้าใจเหตุผลของการไม่เห็นด้วย
ได้รับรู้ว่า ความมั่นใจของเราและการสนับสนุนน้องคนนั้น...

สร้างปัญหาให้กับคนอื่นอย่างมากมาย

มีการพยายามสื่อสาร พยายามให้ข้อมูลอีกด้านเท่าที่ให้ได้
แต่ด้วยความเชื่อและความมั่นใจของเรา...
ก็ทำให้ความสามารถในการได้ยินพังทลาย
ทิ้งเวลาล่วงเลยมายาวนาน โดยที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลย

วันนี้พระเจ้าคงอยากจะให้ฉลาดขึ้นแล้วล่ะ
แต่ก่อนจะฉลาด ก็ต้องก้าวข้ามผ่านความโง่ซะก่อน

หนังเรื่อง สามก๊ก มีคำพูดที่บอกว่า
"เรื่องโง่น่ะ เรื่องเล็ก แต่อย่าเอาความโง่ไปแปดเปื้อนคนอื่น"
โอย เอาความโง่ไปแปดเปื้อนใครบ้างแล้วล่ะเนี่ย
เวลาที่รู้ว่าตัวเองโง่และหยิ่งในสายตาคนอื่น มันน่าอายมากเลยนะ
แล้วเวลาที่รู้ว่าตัวเองโง่และหยิ่งจนทำร้ายคนอื่น มันก็เจ็บปวดมากด้วย

สิ่งที่กำลังคิดว่ามันเป็นจุดอ่อนของเรา
มันเป็นจุดอ่อนที่แข็งแรงแน่นหนามากทีเดียว

พระเจ้าคะ จะเปลี่ยนมันยังไงดี
แล้วเมื่อไหร่จะหายเจ็บ แล้วก็หายอาย
ทำยังไงดีคะ

17.2.52

หนึ่งวัน=หนึ่งนาที

มีคนบอกว่า ไอสไตน์ ให้ทฤษฎีเกี่ยวกับเวลาเอาไว้หนึ่งอย่าง
"หนึ่งวันที่อยู่กับคนที่เรารัก จะรู้สึกสั้นเหมือนหนึ่งนาที
แต่หนึ่งนาที ที่อยู่กับคนที่เกลียด จะยาวนานเหมือนหนึ่งวัน"
อันนี้ไม่รู้ข้อมูลจริงเท็จแค่ไหน ไอสไตน์พูดจริงหรือไม่

อย่างไรก็ตาม หลังจากใช้ชีวิตมากว่า 25 ปี
พิสูจน์ (ด้วยตนเอง) แล้วว่า หลักการนี้เป็นจริงในชีวิต

ในพระคัมภีร์สดุดี ดาวิดพูดว่า "หนึ่งวันในพระนิเวศของพระเจ้า ก็ดีกว่าพันวันในที่อื่น"
ประมาณว่า มีเวลาอยู่ใกล้ๆ พระเจ้าแม้เพียงสักแป๊บ ก็ดีกว่ามีเวลาเยอะๆ อยู่ที่อื่น
หลักการคล้ายๆ กัน

ช่วงเวลาแห่งความสุข อยากได้ไว้นานๆ แต่มักจะรู้สึกแป๊บเดียว
ช่วงเวลาเหน็ดเหนื่อยแสนสาหัสของชีวิต
นับวันเช้าเย็น รอจะให้มันผ่านไป

หมี่ว่า กลไกของชีวิต เราต้องเจอกับเรื่องที่ชอบบ้าง ไม่ชอบบ้าง
สุขบ้าง ทุกข์บ้าง เป็นวาระและเวลาเพื่อการเรียนรู้
แต่ว่า มนุษย์ ก็จะแสวงหาการเติมเต็มให้กับตัวอยู่เสมอแหละ

กลไกของหมี่เอง ถ้าหากว่าเจอกับความกดดัน เครียด หาสาเหตุไม่ได้
ก็มักจะหาเรื่องและเวลาคลายทุกข์ให้ตัวเองอยู่เรื่อยๆ
เช่น นั่งรถเมล์ฟังเพลง กินเค้กอร่อยๆ
อะไรก็ได้ที่ไม่ต้องใช้สมอง

แต่กลไกที่พระเจ้าสร้างให้มนุษย์เจ๋งมาก
คือ ถ้าหากรับรู้และมั่นใจได้ว่ามีพระเจ้าอยู่ข้างๆ
หนึ่งวัน ก็จะกลายเป็นหนึ่งนาที
ไม่นาน ความเหนื่อยยากที่เรามีก็จะผ่านไป

เริ่มติดความรู้สึกแบบนี้ซะแล้ว
ช่วงไหนที่ไม่ค่อยมั่นใจว่าพระเจ้าอยู่ด้วย มันค่อนข้างเหือดแห้งนะ
อะไรมาเติมก็ไม่ค่อยเต็มเท่าไหร่

คิดว่าน่าจะเป็นสิ่งดี
เพราะเวลาพระเจ้าเติมชีวิตเราให้เต็ม มันจะมีพลังชีวิต ส่งผ่านออกมา
ช่วยเราในการทำนั้นทำนี้ ผ่านปัญหาสถานการณ์ได้อย่างดี มั่นคง

ในเวลาที่โลกใบนี้ไม่ค่อยน่าอยู่เท่าไหร่
คงจะช่วยให้อยู่และผ่านไปได้แบบไม่โหดร้ายเกินไปนัก

นิรันดร์กาลในนรก ไม่มีแสง ไม่มีพลัง ไม่มีความรัก ไม่มีความอบอุ่น
แล้วก็ยาวนานไปเรื่อยๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
โอย ไม่อยากจะนึก
คิดแล้วทรมานจัง

14.2.52

Happy Valentine's Day

เวลาคิดว่าใกล้ถึงวันวาเลนไทน์แล้ว ก็จะนึกถึงเหตุการณ์รถคว่ำทุกที
ยิ่งปีนี้ peak กว่าปีที่แล้วเยอะ
เพราะต้องตะบี้ตะบันหาเอกสารทำเรื่องยื่นฟ้องบริษัทสัมพันธ์
ถ้ายื่นไม่ทันวันวาเลนไทน์นี้ อาจจะชวดเงิน 310,000 ได้

วาเลนไทน์ไม่ได้ไปไหนกับใครหรอกค่ะ
ตื่นเที่ยง เพราะเมื่อวานสมบุกสมบันไปเยอะ
เมื่อวานจัดงานปาร์ตี้วาเลนไทน์กับเพื่อนๆ แถวๆ สีลม
บรรยากาศอย่างดีเลย ประทับใจ


Happy Valentine's Day แด่เพื่อนร่วมโลกทุกๆ คน
ขอให้ความรักเป็นสิ่งสวยงามของคุณนะคะ

12.2.52

การเดินทาง

วันก่อนฟังเพลงนี้ของเชษฐา ยารสเอก
เพื่อนทอยส่งมาให้ฟัง...เก่าเชียว

การเดินทางยาวไกลที่เราตามหา...ใครบางคน...นั้นได้สิ้นสุดลง
เมื่อได้มาพบเธอ
กับทุกความฝันที่เคยมี
จะวางตรงนี้ไว้คู่กับเธอ
และพร้อมจะทำเพื่อเธอ...
เพื่อเธอคนนี้ที่ฉันรอคอย

วันนี้เป็นวันแห่งการเดินทาง
ถ้ามี Google Earth ก็อยากจะทำเส้นทางให้เห็นกันเลยทีเดียว

เริ่มต้นจากพระราม 5
ไปลาดพร้าว 71
ต่อด้วยแยกสุทธิสาร
เซ็นทรัลเวิล์ด ราชเทวี
นั่งวินกลับมาที่โรงพยาบาลยันฮี พระราม 7 อีกครั้ง
กลับไปลาดพร้าว 26 ใหม่
และค่อยได้เวลากลับบ้าน พระราม 5

ได้นั่งโดยสารเกือบครบประเภทเลย
รถยนต์คนอื่น รถเมล์ปรับอากาศ รถเมล์ไม่ปรับอากาศ ทั้งฟรี และไม่ฟรี รถมอเตอร์ไซค์
เหลือตุ๊กๆ กะสองแถว
ขำดี ระหว่างเดินทางก็ประสานงานเป็นสิบๆ เรื่องเลย

เหนื่อยนะนั่น

Partner ที่ไปเจอวันนี้ 2 คน ทักเหมือนกันว่า อายุยังน้อยแล้วหน้าก็เด็กกว่าอายุจริง >_< จริงๆ นะ
แต่พี่ศรัณย์บอกว่า พอผ่านอายุ 25 เราจะเริ่มเอากำลังและทรัพยากรเก่าๆ ในร่างกายมาใช้
ไม่มีเติมใหม่แล้ว...

ชีวิตที่ผ่านๆ มา นั่งอยู่แต่หน้าคอมพิวเตอร์
พอเริ่มออกเดินทางเหมือนสมัยก่อนๆ บ้างก็สนุกดี
แต่หมดแรงเร็วเหลือเกิน

สงสัยของเก่าเราจะเริ่มหมดแล้วเนี่ย
โอ้ พระเจ้าคะ ช่วยด้วยยยยยยยยย

6.2.52

ไฟดับ -_-"

เป็นเหตุการณ์ที่ผ่านมากว่าสัปดาห์ละ
แต่จำเป็นต้องบันทึกไว้ในความทรงจำ
ประกอบกับเรื่องราวมากมายที่ต้อง "เคลียร์"
ก็เลยยิ่งต้องเขียนไว้เพื่อเป็นบทเรียนสอนใจ

วันอังคารที่ 27 มกราคม เวลาประมาณ 2 ทุ่ม
มีโทรศัพท์เข้ามาระหว่างการคุยงาน

แม่โทรมาถามว่า "กินอะไรไหม"
ขอบคุณพระเจ้า ได้กินยำอร่อยแน่ คืนนี้
อีกสักพัก ประมาณ 15 นาที น้องชายโทรมาอีกครั้ง
.
.
.
.
.
บ้านไฟดับ!!
ไม่ได้จ่ายค่าไฟมา 3 เดือน เป็นเงิน 4,000 กว่าบาท
ปัญหาไม่ใช่ไม่มีเงิน
แต่ปัญหาคือ ไม่มีใครดูบิล ไม่มีใครเช็คความเรียบร้อยในการตัดบัญชี
ไม่มีใครสนใจ...
พ่อกับแม่มีปากเสียงผ่านลูก เพราะว่าคนหนึ่งไม่ดูบิล อีกคนหนึ่งก็ไปตัดบัญชีไม่เรียบร้อย
อยากจะร้องไห้ -_-"


เป็นอีกหนึ่งบรรยากาศ กินยำวุ้นเส้นกับข้าวผัดใต้แสงเทียน
ขอบคุณพระเจ้า นอนระเบียง อากาศเย็นสบาย
แต่ยุงกัดจนแทบหลับไม่ได้
สงสัยต่อไปต้องจัด กย 15 เอาไว้สำรองละ
.
.
.
.
.

Internet ที่บ้านค่อนข้างช้า ก็เลยเปลี่ยน Hi Speed ของ True มาใช้ Broadband
จัดการอะไรให้มันดีขึ้นอีกสักอย่าง...

ปรากฏว่าค่าโทรศัพท์ที่บ้านค้างอยู่ 900 กว่าบาทอีกเช่นกัน
ใครจะจ่ายก็ไม่รู้ จะพ่อหรือจะแม่ก็ค้างมาเป็นเดือนละ
พรุ่งนี้โทรศัพท์จะตัด ต้องไปต่อ

อยากจะหยุดใช้ Internet ต้องเอาบัตรประชาชนเจ้าของหมายเลขไปยื่นด้วย
แล้วก็จ่ายเงินที่ค้างอีก 1200 บาทกว่า
Azzzzzzzzzz (เป็นเสียงอุทานที่ใช้อยู่ในปัจจุบันค่ะ)
ต้องขอพ่อแล้วล่ะสิเนี่ยยยย
.
.
.
.
.

วันนี้เดินทางไปศาลแพ่ง
ทำเรื่องยื่นคดีสัมพันธ์ประกันภัย เอาทุนประกัน 310,000 บาท
ถ้าไม่รีบทำภายใน Valentine นี้ ก็จะหมดอายุคดีความเพราะว่าครบ 2 ปีแล้ว

บัตรประชาชนแม่ ใบมอบอำนาจ ใบรับเช็ค ทะเบียนรถ
เอกสารมากมายเท่าที่มีก็พยายามเตรียมไป

แต่ว่ายังยื่นไม่ได้!
ต้องไปคัดลอกหนังสือนิติบุคคลของสัมพันธ์ที่กรมพัฒนาธุรกิจการค้า ราคา 200 บาท
ต้องตามหลักฐานที่แสดงถึงเหตุการณ์รถคว่ำ เช่น กรมธรรม์ ใบแจ้งความ ใบแจ้งที่เกิดเหตุ
ต้องเขียนสำนวนคดีความของทั้งหมดตามข้อเท็จจริง หาพยานหลักฐานเท่าที่หาได้ทั้งหมดกลับมา

พอดีว่าให้สัมพันธ์ประกันภัยไปหมดแล้ว
ไม่ได้เก็บไว้ ไม่มีสำเนา
โฮ T_T
แทบไม่อยากเอาเงินคืนแล้ว
.
.
.
.

ถ้าทำเรื่องให้มันเสร็จๆ จบๆ ไปตั้งแต่ปีก่อน ก็ไม่ต้องมาเร่งเอาช่วงนี้ เครียดนะเนี่ย!
ถ้าตรวจสอบจดหมาย จัดระบบเอกสารดีๆ ก็คงไม่มีค้างค่าไฟ
ถ้าเคลียร์หนี้ internet ให้เร็วกว่านี้หน่อย ก็ไม่ต้องจ่ายเงินทีเยอะๆ

Azzzzzzzz


ขอบคุณพระเจ้าค่ะ
ได้บทเรียนทรงคุณค่า...

คงต้องโตเป็นผู้ใหญ่
ละเอียดรอบคอบ
และรับผิดชอบมากขึ้นนะ

1.2.52

เป้าหมาย >>>>>>>>>>

จะว่าไปแล้วก็เคยได้อ่านหนังสือหลายๆ ฉบับ และได้ฟังคำแนะนำจากหลายๆ คน
ว่าทำอะไร ควรตั้งเป้าหมาย
ชีวิตต้องมีเป้าหมาย ไม่งั้นจะไม่ประสบความสำเร็จ
เจอมาก็หลายปี แต่มาสำนึกสำเหนียกเอาจริงๆ ก็ไม่นานมานี้ถึงความสำคัญของมัน

รู้สึกว่า...
เราถูกสอนให้มีเป้าหมาย
แต่เราไม่ค่อยถูกสอนวิธีการตั้งเป้าหมายแบบสมดุลในความฝัน และความจริง
เราไม่ค่อยถูกสอนว่า เราวางเป้าหมายในชีวิตของเราได้เอง เพราะเราต้องรับผิดชอบมันเอง...

เราก็เลยมีเป้าหมายของตัวเองด้วยการเอาเป้าหมายมาจากคนอื่น
ให้คนอื่นตั้งเป้าหมายให้
หรือไม่ก็ตั้งเป้าหมายแบบ งงๆ
หรือสุดๆ ก็ไม่มีเป้าหมาย ใช้ชีวิตไปเรื่อยๆ และเรื่อยๆ...

โอ้ ชีวิตมันไร้ค่าขนาดดดด แล้วที่เห็นๆ มาหลายคนก็เป็นแบบนั้นจริงๆ
พระเจ้าอุตส่าห์สร้างสรรค์ปั้นแต่งมาอย่าง perfect
แถมพร้อมทุกเวลาในการเป็นที่ปรึกษาตลอดย่างก้าว

บางคนอาจจะไม่มั่นใจในสิ่งที่ตัวเองมีและเป็น
ก็เลยไม่กล้าตั้งเป้าหมายของตัวเอง
อาจจะกลัวไปไม่ถึง

บางคนอาจจะรอโอกาสและเวลา (คริสเตียนบางคนเรียกว่า การทรงนำ)
ถ้าโอกาสไม่เหมาะ ไม่ฉลุย ไม่เห็นทาง
ถือว่ายังไม่ใช่เวลาที่ดีในการกำหนดเป้าหมาย

ในทรรศนะที่หมี่ตกผลึกมาได้
การตั้งเป้าหมายทั้งระยะใกล้และไกล เป็นความรับผิดชอบของเราเอง
ที่ปรึกษาและผู้นำ มีหน้าที่ในการให้คำปรึกษาและนำให้ถูกต้อง
คนตัดสินใจคือเรา และคนที่รับผิดชอบกับผลเหล่านั้น คือเรา

พระเจ้าคือผู้ดูแลอยู่เคียงข้างเมื่อเรากำลังเดิน
นำหน้าเมื่อเราไม่เห็นทาง
และลากเรากลับ เมื่อเราหลง

ข้อพระคัมภีร์ในสดุดี 23:6 กล่าวว่า
"แน่ทีเดียว ที่ความดีและความรักจะติดตามข้าพเจ้าไป ตลอดวันคืนชีวิตของข้าพเจ้า"
ข้อพระคัมภีร์ในโยชูวา 1:9 กล่าวว่า
"เพราะว่าเจ้าไปในถิ่นฐานใด พระเยโฮวาห์พระเจ้าของเจ้าทรงสถิตกับเจ้า"
กำลังหมายถึงว่า คนของพระเจ้าไปไหน พระเจ้าอยู่ด้วย
ความรักและความดีงามของพระเจ้าตามเราไป ไม่ใช่สั่งให้เราไป
เราเลือกก่อน ใช่หรือไม่ใช่ พระเจ้าจะบอกเรา นำเรา และพาเราไปต่อเอง

หากเรากล้าคิด กล้าตั้งเป้าหมายชีวิตไกลๆ กล้าตัดสินใจ ด้วยสิ่งที่เรามี สิ่งที่เราเป็น และสิ่งที่เราฝัน
แบบนี้น่าจะเป็นการใช้ชีวิตที่เจ๋งกว่านะ
ก็เป้าหมายชีวิตและเส้นการเดินทางเป็นเรื่องซับซ้อน ละเอียดอ่อน และต้องค้นหา
ทำอะไรให้มันตื่นเต้นก็น่าจะดีกว่านี่นา

31.1.52

มหกรรมตีแบต

เมื่อวานนี้ กลับถึงบ้านตี 2
เวลาใกล้เคียงกับตอนเที่ยวกลางคืนในช่วงชีวิต มหา'ลัย

แต่ว่าไม่ได้ไปเที่ยวกลางคืน...
ไปเล่นแบตมินตัน!
ไกลด้วย พระราม 3 เชียว

หลังจากที่ไม่ได้เข้าร่วมกิจกรรมเยี่ยงนี้มานานนับแรม (หลาย) ปี
เห็นเพื่อนพี่น้องรวมตัวกันอย่างแข็งแรงเพื่อการนี้ ก็ต้องไปซะหน่อย
ก็ไปซะ... กะว่าจะไม่เล่นด้วยนะ
เล่นไม่เป็น
.
.
.
.
3 รอบเท่านั้น
อะดรีนาลีนหลั่งไหล
เหงื่อออก
แล้วก็หมดแรงง

ตั้งใจไว้กับตัวเองและพระเจ้าว่า
จะกลับมาดูแลตัวเองในปีนี้
จะออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
(ว่าแล้ว ผ่านมาเดือนนึง ก็ยังไม่ได้ไปฟิตเนสแม้สักครั้งเดียว)

ก็คิดว่าจะไปทุกสัปดาห์ล่ะนะ
ครั้งๆ ต่อไป คงจะเล่นได้อึดกว่านี้ล่ะ

>_<

24.1.52

Sunset....Sunrise

เป็นคนไม่มีความสามารถเรื่องการถ่ายรูป
ไม่ว่าจะเป็นด้านอาร์ต หรือด้านเทคนิค
แต่ว่าคราวนี้อยากลงรูปที่ตัวเองถ่าย (มั้ง)
เพราะเป็นรูปแห่งความทรงจำ

อาทิตย์ตกครั้งสุดท้ายของปี 2008

















และ....


อาทิตย์ขึ้นครั้งแรกของปี 2009
ณ ภูชี้ฟ้า ที่เต็มไปด้วยทะเลหมอก

















เคยเห็นรูปนี้แต่ใน Internet ก็ว่าสวยแล้วนะ
แต่เพราะว่าอากาศหนาวๆ และทางเดินขึ้นภูเขา 700 เมตร
ทำให้ของจริงสุดยอดกว่ามาก

รูป 2 รูปนี้ เวลาถ่ายห่างกันชั่วข้ามคืน
แต่กลายเป็นรูปถ่ายคนละปีกันซะแล้ว

++++++++

เคยดูหนังเรื่องหนึ่ง
เป็นหนังในดวงใจอันดับต้นๆ

มี 2 ภาค
ภาคแรกชื่อว่า Before Sunrise
และภาคต่อชื่อว่า Before Sunset
จากภาคแรกไปถึงภาคที่สอง มีระยะเวลาห่างกัน 9 ปี....
พระเอกและนางเอก เจอกันโดยไม่ได้ตั้งใจระหว่างการเดินทาง
ตกหลุมรัก
และก็ต้องจากไปเมื่อถึงเวลา

9 ปีผ่านไป แม้ความรู้สึกยังอยู่
แต่อะไรๆ ก็ไม่เหมือนเดิม

เห็นภาพถ่ายแล้วนึกถึง
แค่ข้ามคืนเดียว อะไรๆ เปลี่ยนไปตั้งเยอะ
ขนาดปีค.ศ. บนโลกใบนี้ก็ปลี่ยนไปทั่วทุกที่
ถ้าเวลาผ่านไป 9 ปี จำนวนสิ่งที่เปลี่ยน ถ้านับได้นี่จะขนาดไหนนะ
++++++++


เป้าหมายของชีวิตนี้อีกหนึ่งอย่าง
เก็บประสบการณ์ชีวิตด้วยการเที่ยวทั่วไทย
ไม่ไปไม่รู้


...

นอกจากว่าบนสวรรค์จะมีเจ๋งกว่านี้
อิอิ

21.1.52

ไม่เคยลืม

ย้อนกลับไปดูบทความเมื่อวันเก่าๆ
(ทำตัวเหมือนคนแก่)
ชีวิตแต่ก่อนมันช่าง... นะ
เต็มไปด้วยพลังและความคิดที่สดใสสวยงาม
มีความสุขทุกเวลา
กระตือรือร้นแบบไม่มีแบตอ่อน

ผ่านมา 1 ปีถ้วนๆ กับนิดๆ
รู้สึกว่าตัวเองเปลี่ยนไป
แต่ไม่ว่าเราจะเปลี่ยนไปยังไง
พระสัญญาพระเจ้าที่เคยมีก็ไม่เคยเปลี่ยน

ได้อ่านบล๊อกของวันที่ 18.12.2007
"ใกล้จะสิ้นปีแล้ว...
ปีที่ได้รู้จักตัวเองมากอย่างไม่น่าเชื่อ
ปีที่เปลี่ยนแปลงเส้นทางชีวิตไปทางที่ควรไป
ปีที่รู้สึกว่าตัวเองได้พัฒนาในหลายด้านมากขึ้นมากกกกกกกกก"

"การเป็นตัวของตัวเอง อาจไม่ได้หมายความถึงการตามใจตัวเอง
แต่อาจหมายถึงการเอาอะไรๆ ออกไปจากชีวิต
เพื่อที่จะเรียนรู้สิ่งที่อยู่ในตัวเองให้มากขึ้นและเดินต่อไปด้วยสิ่งนั้น ++ ด้วยความมั่นใจ"

"อีกหนึ่งสิ่งที่ต้องพัฒนาในปีต่อไปคงเป็นการเอาอะไรๆ ออกไปจากหัวในเวลาที่ควร..."

ปีที่แล้ว ได้รู้จักตัวเองมากขึ้นขนาดนั้น
แล้วปีนี้ได้รู้จักตัวเองมากขึ้นขนาดไหนเนี่ย
รู้สึกว่ามากกว่าเดิมเป็น 10 เท่า
แต่อากัปกิริยาแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

เรียนรู้เป็นอย่างมากจริงๆ ว่า
ยิ่งเราเป็นผู้ใหญ่ในการดำเนินชีวิตมากขึ้นเท่าไหร่
เติบโตในการเดินกับพระเจ้ามากเท่าไหร่
ชีวิตยิ่งไม่ค่อยจะเหลืออะไร
เหลือแต่คุณค่าที่มันอยู่ "ข้างใน" นั่นแหละ ที่จริง!

พระเจ้าช่วยหมี่ในการเอา "อะไรๆ" ออกไปมากมายเหมือนกันนะคะ
ขอบคุณพระองค์

11.1.52

เติบโต...

ผ่านปีใหม่มา 11 วันแล้ว...
มีเรื่องในหัวเยอะแยะไปหมดที่อยากมาเล่าลง blog
วันแต่ละวันในปีใหม่ มีความหมายอย่างไม่น่าเชื่อในก้าวต่อไปของชีวิต

ของขวัญชิ้นแรกจากงานฉลองปีใหม่ของโบสถ์

วันส่งท้ายปีเก่า
ได้เห็นดวงอาทิตย์ตกครั้งสุดท้ายของปี
และได้เห็นดวงอาทิตย์ขึ้นครั้งแรกของปีในวันขึ้นปีใหม่
บนภูชี้ฟ้าที่สูง หนาว งดงาม มหัศจรรย์ไปด้วยทะเลหมอก
ของขวัญชิ้นที่สองจากพระเจ้า

Hillsong's worship และเพลง Saviour King
เพลงนมัสการที่อธิษฐานขอพระเจ้าในวันสัมมนาผู้นำนมัสการ
ของขวัญชิ้นที่สามจากพระเจ้า

ความเข้าใจผิดและปัญหาที่เกิดขึ้นระหว่างคนสองคน
ความรักและความเข้าใจที่มากขึ้นกว่าเดิม เมื่อเราได้เคลียร์กัน
ของขวัญชิ้นที่สี่จากพระเจ้า

Power of promise กับเรื่องราวของอับราฮัม
Promise land ในหนังสือเรื่อง the last lecture
และ Promise land and Israle ในคำเทศน์ของ Joyce Mayer
การตอกย้ำในพระสัญญาและการก้าวออกไปเพื่อเข้าสู่ดินแดนแห่งพระสัญญา
ของขวัญชิ้นที่ห้าจากพระเจ้า

สิ่งที่ค้นพบและรู้สึกดีใจมากที่สุด
คือการได้เรียนรู้ว่า เราโตขึ้น
เป็นผู้ใหญ่ที่รู้ในสิ่งที่ควรรู้
เห็นในสิ่งที่ควรเห็น
เข้าใจในสิ่งที่ควรเข้าใจ
เข้าใจความเป็นไปของโลกใบนี้
เข้าใจตัวเอง
เข้าใจคนอื่น
เข้าใจพระเจ้า
ของขวัญชิ้นที่หกจากพระเจ้า

ก็ 2 ปีที่แล้วใน Gsus7 ผ่านอะไรมาตั้งเยอะ
ต่อสู้กับตัวเอง (และคนอื่น) มาตั้งเท่าไหร่
วันนี้คงจะยังไม่โตเท่าที่เราจะสามารถโตได้
แต่มั่นใจว่าเราเติบโตขึ้นสมกับขนาดและเวลาที่พระเจ้าวางไว้

ได้ค้นพบว่า
ชีวิตที่มีความหมาย
ยิ่งเดินไปเรื่อยๆ ยิ่งไม่เหลืออะไร
เพราะว่าความหมายอยู่ในตัวของมันเอง

ได้ค้นพบว่า
พระเจ้าไม่เคยมาสาย และพระเจ้าไม่เคยผิดพลาด
ชีวิตมีคุณค่าเสมอเมื่อฟังเสียงพระเจ้า
เพราะพระเจ้าโปรดปรานลูกของพระองค์ที่รักพระองค์มากกว่าสิ่งใด

บางทีมนุษย์ก็สร้างความเศร้าเสียใจให้เราบ้าง
บางทีมนุษย์ก็ทำให้เราหวั่นไหวและหวาดกลัวบ้าง
บางทีตัวเราก็ไม่เชื่อในตัวเราเองบ้าง
บางทีเราก็หยิ่งและเร็วเกินไปที่จะฟังคนอื่น

แต่ว่าขอบคุณพระเจ้า
พระองค์ให้เกียรติและเห็นคุณค่าหมี่ พระองค์ให้ความมั่นใจในสิ่งที่หมี่คิด
พระองค์รักและดูแลหมี่เหมือนพ่อที่รู้ใจ พระองค์ให้ในสิ่งที่หมี่ขอ
พระองค์รู้จักหมี่ และพร้อมจะสนับสนุนในสิ่งที่หมี่เป็น
พระองค์สอนหมี่ พระองค์สร้างหมี่ผ่านการเตือนที่อ่อนโยน
การผ่านความเจ็บปวดในชีวิตไม่ยากเกินไปเมื่อมีพระเจ้า

ใช้ชีวิตที่มีให้ 100%
เรียนรู้ให้ได้ 100%
รักให้ได้ 100%
ทำในสิ่งที่เชื่อให้ 100%
และไว้วางใจในแผนการพระเจ้า 100%

เรียนรู้จักวิธีการที่ดีที่สุดของเราในการใช้ชีวิต
เรียนรู้จักวิธีการของพระเจ้าในชีวิตของเรา
อย่าหยุดที่จะเติบโต
อย่าหยุดที่จะเปลี่ยนแปลงไปสู่สิ่งที่ดีกว่า เพื่อตัวเอง เพื่อคนรอบข้าง เพื่อโลก
เรียนรู้ที่จะมีความสุขและอย่าหยุดที่จะมีความสุข

บนโลกใบนี้ ทุกอย่างมีเหตุผล
มีสิ่งที่เราควบคุมได้ จงควบคุมให้ดีที่สุด
และมีสิ่งที่เราควบคุมไม่ได้ จงไว้วางใจพระเจ้าอย่างที่สุด

คนทุกคนมีรายละเอียด
จงใส่ใจและเห็นความสำคัญ
อาจจะทำให้เจ็บปวดหรือน้ำตาไหลไปกับเขา
แต่มันดีกว่าไม่รู้สึกอะไรเลย

สิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตคือ
ความรักพระเจ้า คุณค่าของตัวเอง และความสัมพันธ์

ขอบคุณที่อ่านจนจบค่ะ
ขอบคุณพระเจ้า
ไม่ว่าอะไรจะเกิด ไม่ว่าโลกจะเป็นยังไง
But God!
But God!
But God....!

To...2009...

" เธออออออ
ขอบใจมากสำหรับน้ำหอม
ชั้นเพิ่งกลับมาจากเชียงใหม่ เลยเพิ่งได้ของ
แล้วก็เพิ่งจะเห็นการ์ด
พอเห็นแล้วก็มาพิมพ์เมลส่งให้เธอเลยเนี่ย

อากาศหนาวมากตอนนี้
แล้วก็ไอเป็นระยะ
แต่ไม่ต้องห่วง ยังแข็งแรงดี

ชั้นตัดสินใจแล้วว่า.... [ละไว้ในฐานที่ (เธอ) เข้าใจ (คนเดียว)ก็พอ]


อ่านการ์ดเธอแล้วชั้นจะร้องไห้
คิดถึงเธอมากเหมือนกันว่ะ

ช่วงปีใหม่นี้ ชั้นเรียนรู้อย่างหนึ่งว่า
เราควรต้องทำในสิ่งที่คิดว่าดีกับตัวเราและอนาคตของเรามากที่สุด
ในขอบเขตความคิดที่มีคนอื่นมาอยู่ด้วยแล้ว
หมายถึงคิดเผื่อคนอื่นแล้ว
ไม่ได้แปลว่าเห็นแก่ตัว
แต่แปลว่าความฝันและแรงบันดาลใจมีจริง
การค้นหาเป้าหมายของชีวิต จำเป็นต่อการใช้ชีวิตจริงๆ
วันนี้อาจจะดูดื้อด้าน ดื้อดึง ไม่มั่นคงในสายตาคนอื่นบ้าง
แต่ว่าวันหนึ่งสิ่งที่เราตัดสินใจมันจะดีต่อเขาและเราเอง

เว่อร์มะ
5555

ชั้นแค่จะบอกว่าชั้นภูมิใจในตัวเธอว่ะ
อย่างน้อยการตัดสินใจครั้งนี้มันน่าจะเปลี่ยนเธอ เปลี่ยนความคิดของเธอ
เปลี่ยนนิสัยแย่ๆ ของเธอ และเพิ่มนิสัยดีๆ ของเธอให้เธอโตขึ้น

ดีใจมากที่ได้อ่านการ์ดของเธอในวันปีใหม่นี้
ชั้นไม่มีของขวัญอะไรจะให้เธอหรอก
ไม่มีเงินและไม่มีเวลาไปซื้อ
ที่จริงก็ไม่มีเวลาคิดด้วยว่าจะให้อะไร
555
พูดเล่นนะ
รอชั้นเอาไปให้ทีเดียวตอนเดือนเมษายนละกัน

ขอบใจมากสำหรับกำลังใจจากแดนไกล
มีประโยชน์มากกว่าตอนอยู่ใกล้ๆ เยอะ
55555
Happy New Year! 2009
โตขึ้นสองพันก้าว

เสี่ยวมะ
5555 "

หมี่ส่งอีเมลให้น้องสาว
ทันทีที่ได้รับของขวัญปีใหม่ เป็นน้ำหอม 3 ขวด
และการ์ดอวยพร handmade ที่สวยกว่าซื้อที่ร้านซะอีก

ช่วงก้าวข้ามผ่านปี 2008 เข้าสู่ปี 2009
เป็นช่วงแห่งความอัศจรรย์อีกครั้งในชีวิต

ย้ำเหมือนที่เคยย้ำ
ชีวิตเป็นสิ่งมีคุณค่า
และชีวิต "หมี่" (และของทุกคนด้วย ถ้าคุณเชื่อแบบนั้น) ถูกสร้างมาเพื่อให้มีความสุข
เป็นวัตถุประสงค์หนึ่ง (ในหลากหลายข้อ) ที่ละเลยไม่ได้เชียวล่ะ

ขอบคุณพระเจ้าสำหรับทุกสิ่งจริงๆ ค่ะ