28.12.51

ล้น....

เมื่อวานนี้ เป็นวันดีๆ (ที่จริงต้องถือว่าดีมาก) หนึ่งวัน ที่ห่างหายไปจากชีวิตอย่างยาวนาน
ตารางเวลาวันดีๆ เป็นประมาณนี้ค่ะ

ตอนเช้า นัดกินข้าวกับพี่น้องกลุ่มหนึ่ง ปรึกษาหารือเรื่องชีวิตกัน
ตอนบ่ายๆ แวะไปหาพ่อที่ร้านในจตุจักร เจอน้องสาว (คนละแม่) และภรรยาคนใหม่ของพ่อ
แล้วก็ไปเดินจตุจักร ซื้อของเป็นเพื่อนอีฟแป๊บนึง
กลับบ้านไปกินข้าวกับแม่และน้องชาย
ตอน 3 ทุ่มไปนัดเลี้ยงรุ่น นิเทศจุฬา 37 ที่พระนครบาร์ สี่แยกคอกวัว

หลังจากที่ชีวิตหายหดจมไปอยู่กับการงานนานหลายเดือน
ไม่ได้โผล่ไปเข้าสังคมที่ไหนใดๆ ทั้งสิ้น
พระเจ้าก็อวยพร ก่อนหยุดปีใหม่ได้ไปเจอผู้คนที่รักใคร่มากหน้าหลายตา
(โปรแกรมแรกเริ่มคือ นอนอยู่บ้าน ขอบคุณพระเจ้าที่หาเหตุให้ออกมาจนได้)
มีความสุขมากอย่างบอกไม่ถูก โดยเฉพาะตอนไปหาพ่อ ^_^

....+++.....+++.....+++.....

วันนี้งานฉลองปีใหม่ที่สโมสรรถไฟ ครั้งแรกของกลุ่ม Nexus
เป็นวันที่ดีมากอีกแล้ว
ตื่นเช้าไม่ปวดหัว แม้จะง่วงนอนเล็กน้อย แต่ก็มีเรี่ยวแรงและมีความสุขมากในตอนนมัสการ
การเข้าโบสถ์วันนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายของปี
สิ่งที่เราคุยกัน คือเรื่องการก้าวไปข้างหน้า เริ่มต้นที่จะทำสิ่งใหม่ๆ
ใช้ความเป็นตัวเราในการสร้างสิ่งดีให้แก่โลกใบนี้ให้มากที่สุด

ปีหน้าคงจะเป็นปีที่ตื่นเต้นมาก
ตอนจับฉลากในงานเลี้ยงวันนี้
อธิษฐานกับพระเจ้าไว้หนึ่งอย่าง เรื่องปีหน้านี่แหละ
บอกพระเจ้าว่า
"หมี่เนี่ย จับรางวัลที่ไหนก็ไม่เคยได้เลย
ขอให้คราวนี้จับรางวัลได้ชื่อหมี่
เป็นการตอบคำอธิษฐานจากพระเจ้านะคะ"
แต่คิดไปคิดมา ก็บอกพระเจ้าว่า
"ไม่เอาดีกว่า หนูไม่อยากให้พระเจ้าคอนเฟิร์มง่ายๆอย่างนี้หรอก
เดี๋ยวไม่ได้ขึ้นมาเดี๋ยวเสียใจ"
(ตลกไหมคะ ไอ้เด็กคนนี้)

ปรากฏว่าระหว่างที่กำลังเมาท์กับเพื่อนย่อย (คนอะไร ชื่อย่อย)
ก็มีคนโวยวายขึ้นมา บะหมี่ บะหมี่
แล้วเราก็วิ่งขึ้นไปรับกระติกน้ำร้อนไฟฟ้าแบบงงๆ
.......


ได้จริงๆ ด้วยค่ะพี่น้อง
ร้อยวันพันปีไม่เคยได้
พระเจ้าน่ารักเป็นที่สุด

เพลงที่ร้องตอนงานจบ ชื่อว่าเพลง "Holding on the Way"
จะถูกใช้เป็นเพลงของกลุ่ม Nexus
หมี่เป็นคนแปลเนื้อเพลงจากอังกฤษมาเป็นไทย
แม้จะมีพี่มาช่วย edit ให้เพิ่ม
แต่ก็ดีใจเป็นที่สุดที่เห็นคนร้องทั้งโบสถ์

ความสุขมันล้นออกมาเลยค่ะพระเจ้า
ขอบคุณพระเจ้าและโลกใบนี้ที่น่าอยู่เสมอ



(แต่กลับมาเครียดเรื่องงานต่อเหมือนเดิมแล้วตอนนี้ เฮ้อออออออ)

25.12.51

Bamee 2009

Merry Christmas สำหรับผู้เยี่ยมเยียนทุกท่าน



ขออภัยที่เขียนเนื้อหาผิดตรง ยัดสรรแน่นพูนล้น
ขอบคุณพี่ป๋อมที่มาเตือนค่ะ ต้องเป็น ยัดสั่นแน่นพูนล้นนะ


ขออภัยที่บางทีก็โวยวายระบายอารมณ์อะไรไร้สาระ ให้คนอื่นเป็นห่วง
ขอบคุณที่เป็นห่วงนะคะ
ยังพอประคับประคองได้อยู่ค่ะ
ยังไหวๆ


ขออภัยที่บางทีก็เขียนเรื่องอะไรก็ไม่รู้ ไร้สาระ
และบางทีก็หายหน้าหายตาไปนานๆ

ขอบคุณที่ยังอ่านกันมาสม่ำเสมอ
ไม่กี่คนที่อ่านบล๊อกของหมี่อยู่เรื่อยๆ
มีคุณค่ายิ่งกว่าร้อยคนที่เปิดผ่านเข้ามาครั้งเดียว แล้วก็ผ่านไป

หมายความว่าคุณกำลังรู้จักหมี่มากขึ้นนะคะ
แล้วหมี่ยินดีมาก ถ้าหมี่จะได้รู้จักคุณมากขึ้นด้วย



มะกี๊นั่งเขียนชีวิตปี 2009 ของตัวเอง
ตั้งชื่อไฟล์ว่า บะหมี่ 2009
(กรุณาอย่าคลิกภาพเข้าไปดูรายละเอียดเลยนะคะ เพราะมีเรื่องน่าอายหลายอยู่)
























หน้าตาประมาณนี้
มีทั้งเป้าหมาย
การจัดเวลา
สิ่งที่อยากทำ
(เพิ่งนึกได้ ว่าลืมใส่หัวข้อการออกกำลังกายเข้าไปด้วย -_-)
ดูมากมายวุ่นวายก็จริง แต่ว่าสนุกดีนะคะ การคิดวางแผนชีวิตตัวเอง
ที่จริงมีไฟล์ Bamee2008 ด้วย เป็นการประเมินผลของปีที่แล้วค่ะ
ถ้าไม่ประเมินผล แผนที่ว่างต่อไปจะดีและครบถ้วนได้ยังไงล่ะ



ขอโทษนะคะพระเจ้า ถ้าปีที่ผ่านหนูพลาดอะไรไปบ้าง
และขอบคุณพระองค์ที่ดูแลและนำมาตลอดทางเดิน
ขอบคุณสำหรับครอบครัวที่น่ารักที่สุดในโลก (ของหมี่)
ขอบคุณสำหรับพี่น้องและคนรอบข้าง
ขอบคุณสำหรับวันเวลาแห่งความสุขทุกๆ วินาที
ขอบคุณสำหรับการไม่เคยขาดสิ่งดีใดๆ


Happy Birthday to Jesus
และ Merry Christmas to everyone ค่ะ

24.12.51

The Last Lecture : The latest book I've read

ใช้เวลาอ่านประมาณ 2 วัน
หนังสือที่ชื่อว่า The Last Lecture
เขียนโดยศาสตราจารย์แห่งวิทยาศาสตร์โลกเสมือนจริง : แรนดี เพาช์
พูดถึงเนื้อหาการบรรยายครั้งสุดท้ายต่อหน้าฝูงชน ในขณะที่เป็นมะเร็งตับขั้นสุดท้าย

เขาใช้ชื่อหัวข้อการบรรยายว่า "ทำฝันวัยเด็กของคุณให้เป็นจริงได้อย่างไร"

มีคนบอกว่า ชีวิตมีช่วงเวลาอยู่แค่ 2 ช่วง
คือช่วงทุกข์น้อย และช่วงทุกข์มาก -_-"
แต่หมี่และศาสตราจารย์แรนดีคิดเหมือนกันว่า ชีวิตและการใช้ชีวิตคือความสุข

.....+++.....+++.....+++

ที่จริงพระเจ้าสร้างเรามาเพื่อให้มีความสุข
เวลาที่เราไม่รู้จักพระเจ้า เราก็รู้จักความสุขแบบหนึ่ง
(ซึ่งจริงๆ มันมีความทุกข์ปนอยู่ด้วยในสัดส่วนที่อันตราย)

พอเรามารู้จักพระเจ้า เราได้รู้จักความสุขอีกแบบหนึ่ง
ที่แม้ในวันแห่งความทุกข์ เราก็ยังมีความสุขได้

หมี่ไม่เชื่อว่าการดูแลชีวิตไม่ให้ทุกข์ เป็นคำตอบที่ถูกต้องในการใช้ชีวิต
แต่หมี่เชื่อว่า เราสามารถเลือกที่จะมีความสุขได้ทุกสถานการณ์
สำหรับคนที่เจอแรงกดดันบีบคั้นอย่างมาก จนไม่อาจมีความสุข
แม้อย่างนั้น เลือกมองที่พระเจ้า เราก็ยังมีความสุขได้

ศาสตราจารย์แรนดีต้องใช้เวลาและกำลังใจที่น้อยนิด
ต่อสู้ในการสร้างความสุขให้ตัวเองและคนรอบข้าง
ให้ภรรยาที่จะไม่มีเขาเคียงข้างอีกต่อไป
ให้ลูกน้อยที่จะเกิดมาโดยไม่มีพ่อ

ศาสตราจารย์แรนดีทำในสิ่งที่ตัวเองทำได้
พระเจ้าสร้างเขามาแบบไหน..
เขาก็เลือกจบชีวิตตัวเองแบบนั้น อย่างน่าประทับใจ

.....+++.....+++.....+++

ก่อนตาย เขาบอกภรรยาว่า....
อย่ารู้สึกแย่หรือเสียใจ เวลาที่เผชิญความผิดพลาด
ก็แค่ยอมรับมัน
อย่าคิดว่าความผิดพลาดเป็นเพราะเธอต้องทำทุกอย่างด้วยตัวคนเดียว
และเขาเสียใจที่ไม่ได้อยู่ร่วมผิดพลาดกับเธอ

ดำเนินชีวิตอย่างมีความฝัน
เป็นตัวของตัวเองและเดินไปอย่างถูกวิธี
ก้าวข้ามผ่านความผิดพลาดและความล้มเหลวบ้าง
เปลี่ยนแปลงตัวเองและเติบโตเรื่อยๆ
ใช้ชีวิตอย่างกล้าหาญ....

ความฝันจะวิ่งมาหาเราเอง

เราเกิดมาเพื่อมีความสุข จริงๆ นะ

19.12.51

วิธีการ "รักในสิ่งที่ทำ"

-_-" เมื่อกี๊พิมพ์ไปหนึ่งรอบ
กดผิด หายไปอีกแล้ววว
อะ เกริ่นใหม่

ช่วงวัยเรียน เวลาที่เราไม่อยากทำอะไร บางทีก็แอบหนี แอบโดดไปไหนต่อไหนบ้างได้
ดื้อด้านกับบุพการีเล็กน้อย ก็ไม่ค่อยจะรู้สึกผิด
แต่ว่าสัจธรรมของโลกก็มาถึง เมื่อเข้าสู่วัยทำงาน
บางทีเราต้องทำอะไรที่เราไม่อยากทำ
เพราะมันคือความรับผิดชอบ

นี่แหละ..
ปัญหาของคนส่วนใหญ่
(โดยเฉพาะคนไทย วัยทำงานต้นๆ)

หมี่เองหลายทีก็ต้องทำในสิ่งตัวเองไม่ได้ชอบเล้ยยย
ก็ต้องคอยตอบตัวเองให้ได้ว่า เราทำเพื่ออะไร
แล้วก็ทำให้มีความสุขกับมันซะ

วิธีการ!! (เท่าที่จะสามารถคิดได้)

1.ทำความรู้จักตัวเองก่อน
เห็นหลายคนแล้วที่คิดว่าตัวเองชอบงานนั้น ชอบงานนี้
เอาเข้าจริงก็ไม่ใช่ แล้วก็ต้องทนทำ เพราะหลวมตัวเข้ามาแล้ว
ช่วงเวลาแห่งความสับสน ใช่ ไม่ใช่ ใช่ ไม่ใช่
อาจจะมีผลทำให้งานที่รับผิดชอบอยู่ กลายเป็นเครื่องมือบั่นทอนชีวิต
แล้วก็ขยาดไปเลยซะนี่
หลายๆ คนที่เรียนรู้จักตัวเองได้เร็ว ว่าเหมาะกับอะไร ถนัดอะไร
พวกนี้มีความสุขง่ายค่ะ
เลือกได้ตั้งแต่ยังไม่โตเลย

2.ทำในสิ่งที่รัก
งานถือเป็นส่วนสำคัญในชีวิต
แต่ว่าทั้งชีวิตไม่ได้มีแค่งาน
มีอะไรอีกตั้งหลายอย่างที่ทำแล้วมีความสุข
บางคน เบื่อ เซ็งกับงาน พาลโทษทุกอย่างในชีวิตไปซะงั้น
มีอะไรบ้างที่เรารักที่จะทำ ดูหนังฟังเพลง เที่ยวกับครอบครัว
ทำเลยค่ะ เพิ่มเติมช่วงเวลาดีๆ ของชีวิต

3.นับความสำเร็จทุกๆ อย่าง
บางทีความรู้สึกที่เราคิดว่าเราทำไม่ได้
ทำให้งานนั้นน่ากลัวเกินไปสำหรับเรา
ประมาณว่า รักไม่ลง -_-
ที่จริงทุกอย่างอยู่กับความเชื่อ
เริ่มต้นสร้างความเชื่อใหม่โดยการนับความสำเร็จทุกอย่างนะคะ
จดหมายหนึ่งฉบับ เคลียร์เอกสารหนึ่งครั้ง
ลูกค้าตอบรับหนึ่งเจ้า ทำงานทันเวลาหนึ่งชิ้น
นับมันไว้ให้หมด สร้างความมั่นใจให้ตัวเอง
แม้เราไม่รักในสิ่งที่เราทำ
อย่างน้อยเราก็จะเริ่มต้นมีความสุขกับการทำงานนั้น
แต่งๆ กันไป เดี๋ยวก็รักกันเองนั่นแหละ
(ยืมๆ มาใช้ แม้ไม่ได้เข้ากับบริบท 555+)

4.กลับสู่สัจธรรม
4.1 เราสามารถเลือกได้ ว่าเราจะทำอะไร
4.2 เราไม่สามารถทำทุกสิ่งที่เราต้องการได้
4.3 การเรียนรู้ตลอดชีวิต มีจริง! และสำคัญ!
4.4 การรอคอยเป็นสิ่งจำเป็น เพราะไม่มีอะไรที่ได้มาง่ายๆ
เรียนรู้จักและยอมรับสัจธรรมของชีวิตเรื่อยๆ นะคะ
เพื่อเราจะเข้าใจและเติบโตขึ้น มันจะทำให้เราจะรักและเห็นคุณค่าตัวเรามากขึ้น
และจะทำให้เรารักและเห็นคุณค่าสิ่งต่างๆ รอบๆ ตัวรวมถึงสิ่งที่เราทำด้วยค่ะ

ฝันดีและมีชีวิตที่มีความสุขค่ะ
ใกล้คริสต์มาสแล้วนะ
เร็วจังเลย

18.12.51

ยัดสรรแน่นพูนล้น

เวลานึกถึงคำนี้ทีไร มักจะเห็นภาพของหม้อ หรือถ้วย หรือพาชนะอะไรสักอย่าง
มีวัสดุมีค่าอยู่ข้างใน เช่น เงิน แบงค์ อัดยัดกันแน่นเต็มจนเกินออกมานอกพาชนะ

พระเจ้าบอกกับเราไว้ว่า พระเจ้าจะอวยพรเราอย่าง "ยัดสรรแน่นพูนล้น"
ไม่ต้องกลัวอด ไม่ต้องกลัวจะไม่มีหรือไม่พอ

อีกไม่กี่วันก็จะถึงวันคริสต์มาส
ต่อจากนั้นก็เป็นเทศกาลปีใหม่
อบอวลไปด้วยความรู้สึก อุ่นๆ ประหลาดๆ ใจหาย ตื่นเต้นเสมอ..
กับช่วงเวลานี้

ทบทวนชีวิตที่ผ่านมา สิ่งที่เราได้ให้ สิ่งที่เราได้รับ
คิดถึงวันข้างหน้า สิ่งที่เราควรจะให้ และสิ่งที่เราอยากจะได้รับ

ใครๆ ก็พูดเหมือนกันหมด ว่าเวลาผ่านไปเร็วมาก
รู้สึกเหมือนว่าเวลาหนึ่งปีนี้ มันสั้นมาก อาจเป็นเพราะพระเจ้าอวยพรชีวิตการทำงานอย่างยัดสรรแน่นพูนล้น

ไม่ใช่เงินเดือน ไม่ใช่กำไร ไม่ใช่ชื่อเสียง
แต่เป็นประสบการณ์ทำงานที่เปิดหูเปิดตาและแหวกสมองอย่างมหาศาล
ตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบัน (จะว่าไป ก็เริ่มเห็นชีวิตตัวเองในปีหน้าแล้ว)
เห็นภาพตัวเองเหมือนเป็นกล่องกระดาษ
พระเจ้ายัดของหลายๆ อย่างลงมาในกล่อง
พอดีว่าของที่พระเจ้ายัดลงมาเป็นของนิ่ม ก็ยืดหยุ่นได้

พระเจ้าไม่ได้แค่เอาของใส่เข้ามา
แต่พระเจ้ายัดลงมาด้วยมือ กดๆๆ แล้วก็เข้ามายืนในกล่อง และก็กระทืบๆๆ
อันแน่นมาก เกือบๆ จะพูนล้นแล้ว
แต่ความยืดหยุ่นสูง บวกกับน้ำหนักการกระทืบมีมากเพียงพอ

ก็เลยยังมีที่เหลือใส่ได้ต่อ
ยังกดและกระทืบได้อีก

เกือบเต็มแล้ว...
กล่องใบนี้ เริ่มมีอะไรมากพอแล้ว
แต่ด็ยังใส่ได้อีก

อยากจะเขียน Pocket Book เล่าเรื่องราวและประสบการณ์ทั้งหมด
ที่ล้วนแล้วแต่เป็นประสบการณ์สุดแสน Amazing ให้คนทั้งโลกได้อ่าน...

สำหรับเรื่องราวของปี 2008 ขอสัก 1,000 หน้า จะเขียนจบไหมนะ

16.12.51

อารมณ์ความรู้สึก

อารมณ์ความรู้สึก
อารมณ์ความรู้สึก


มีผลต่อความคิด จิตใจ
และการกระทำ

ไอ้เด็กผู้ชายเอ๊ย!!

9.12.51

อินเนอร์อีกแล้ววววว

อากาศหนาวเชียวช่วงนี้
เกิดอาการป่วยหนักอีกครั้ง
แม้จะดีขึ้นบ้างแต่ก็เรื้อรังมาเกือบสัปดาห์แล้ว

สัปดาห์ที่ผ่านๆ มา มีงานเข้ามาค่อนข้างเยอะ
ทั้งงานราษฏร์ งานหลวง
งานทบวง งานกรม
(ก็เห็นเยอะอยู่ตลอดเวลาเหอะ)
แล้วก็ดันป่วยๆ เหนื่อยๆ งานก็ไม่เสร็จ
ใครชวนไปไหนก็ไม่อยากไป ชวนไปดูหนังก็ไม่ไป
จะนอนอย่างเดียวเลย
แบบว่าจิตใจยังดีอยู่ ไม่ต้องการการหย่อนใจ
ขอหย่อนกายเป็นพอ

เมื่อวานนี้ หลังจากเลิกโบสถ์ ต้องรอไปเก็บของเดอะมอลล์งามวงศ์วาน
ตั้ง 4 ชั่วโมง ไม่รู้ทำอะไรดี ก็เลยไปซื้อตั๋วหนังเรื่อง Twilight
เกือบจะกลับไปนอนอยู่แล้วเชียว ปวดหัว
แต่ก็นะ มีคนโฆษณาไว้หลาย ดูซะหน่อย หลังจากที่ไม่ได้ดูหนังมานานแสนนาน

ปรากฏว่า......
ดูจบแล้วโรคเก่ากำเริบครับผม
อินกับความโรแมนติกของหนังไปซะนั่น
แถมยังอินกับหน้าตาและบทบาทของพระเอกนางเอกไม่แพ้กัน

เป็นเสมอๆ เวลาที่ดูหนังรักและดราม่า
รู้สึกมีความสุขและจมเข้าไปในโลกของหนังเรื่องนั้นซะ
(เป็นสาว emotion เหมือนกันนะคะ จะบอกให้)

ก็ดีเหมือนกันนะ
นานๆ ได้พักผ่อนอะไรแบบนี้สักที
จิตใจอ่อนไหวและลึกซึ้งขึ้นนิดๆ

พระคัมภีร์บอกว่าอย่าใส่ใจกับนิยายที่หาสาระไม่ได้
แต่ว่าถ้าดูแล้วสร้างสรรค์และจรรโลงจิตใจ อย่างนี้ก็ได้อยู่
แหม พระเจ้าอุตส่าห์สร้างอารมณ์ ความรู้สึก ศิลปะการเล่าเรื่อง
และความงดงามบนแผ่นฟิล์มมาให้มนุษย์ขนาดนี้
ต้องใช้ให้เป็นประโยชน์สิคะ