25.2.55

กว่าจะถึง...


อยู่ดีๆ ก็คิดขึ้นมาว่า ชีวิต เปรียบเหมือนกับการวิ่งอยู่บนเส้นทางอะไรสักอย่าง

วิ่ง วิ่ง วิ่ง ให้ไปถึงเป้าหมาย
บางคนวิ่งเหมือนอยู่บนลู่วิ่งในสนามแข่งขัน
ทุ่มเทแรงใจแรงการทั้งหมดเพื่อชัยชนะและอันดับที่ 1

บางคนอาจจะกำลังวิ่งหนีอะไรบางอย่าง
พอรู้สึกปลอดภัยก็หยุดพัก
แล้วก็หนีใหม่ เพื่อหาที่ที่ปลอดภัยอีกครั้ง

บางคนกำลังวิ่งจ๊อกกิ้ง 
สุขภาพดี มีความสม่ำเสมอ 
แวะทักทายคนรู้จักในสวนบ้างอะไรบ้าง
ภารกิจสิ้นสุดเมื่อครบเวลาที่ตั้งใจ 
พรุ่งนี้ค่อยมาวิ่งอีก 

บางคนวิ่งหาหนทางของตนเอง
ทับเส้นทางของคนอื่นบ้าง 
สร้างเส้นทางใหม่ๆ ให้ตัวเองบ้าง
แต่ก็วิ่งไปเพื่อค้นหาว่า ทางไหนคือทางของฉัน 

วิ่งไป เหนื่อยไป ล้มไป แวะพักบ้าง
บางคนวิ่งแต่ไม่รู้ตัวว่าเหนื่อย 
วิ่งจนหมดลมก็น่าจะมี 

หมี่ว่าหมี่กำลังเดิน...
เดินแบบชิลๆ เดินแบบไม่รู้ว่ากูจะไปไหน
เจอทางไหนอยากเดินก็เดินไปเลย 

จังหวะการเดินของหมี่ไม่ค่อยเหมือนคนอื่น 
เส้นทางก็ต่างกันด้วยจังหวะเวลาที่ต่างกัน
พลาดอะไรหลายๆ อย่างที่ช่วงเวลาของคนอื่น
จริงๆ แล้วเหมือนหมี่เดินไปถึงช้ากว่าใครเพื่อน
เดินเส้นที่อ้อมไกล
คนอื่นวิ่งผ่านกันไปหมดแล้ว นานแล้ว
แต่หมี่ยังกำลังค่อยๆ เดินผ่านมันอยู่
จุดที่คนอื่นกำลังยืนอยู่ กำลังเฉลิมฉลองให้กับมัน
มันอีกไกลสำหรับหมี่
นี่ยังไม่นับว่าจะไปอ้อมตรงไหนอีกหรือเปล่า

ข้อดีของการเดินแบบนี้...
มันไม่เหนื่อยดีนะ เหมือนกำลังพักผ่อนไปในตัว ไม่ต้องแวะนั่งพักบ่อยๆ 
แม้บางทีมันงง รู้สึกเหมือนจะหลงทางอยู่ตลอดเวลา 
คือก็ไม่รู้จริงๆ ว่าต้องเดินไปทางไหนกันแน่
แต่ว่าทุกก้าวที่ผ่านค่อนข้างมีความหมาย
ได้ผ่านกระบวนการคิดด้วยสมองตัวเอง ถามใจตัวเอง เลือกตัดสินใจ
เรียนรู้... รึเปล่า ไม่แน่ใจ
แต่ว่าพูดได้เต็มปากจริงๆ ว่าเลือกเอง
พอย้อนกลับมามองแล้วเข้าใจหลักการและเหตุผลของตัวเองในเวลานั้น
แม้หลายอย่างมันจะผิดพลาด งี่เง่า น่าเสียดาย 
แต่เข้าใจ

จริงๆ นะ
รู้สึกว่าอนาคตของตัวเองไม่เหมือนคนอื่น
เกิดมาเป็นคนไม่มีแบบแผน
ชีวิตไม่เคยจดจำแบบแผนอะไรได้เลย 
ไม่รู้ว่าจะเป็นยังไงเหมือนกัน เดาไม่ออก วางเป้าหมายไม่ได้

หมี่เชื่อว่าไม่ว่ายังไงไปไหน พระเจ้าก็อยู่ด้วยนะ
มีเพลงนึงร้องว่า "เดินกับพระเยซู เดินอยู่ทุกวันวาน เดินอยู่ทุกวิถีทาง"
คิดว่าการเดินทางคงจะปลอดภัย และนอนหลับสบายได้ทุกคืน
คงจะเพียงพอสำหรับชีวิตที่คาดเดาอะไรไม่ได้เลยแบบนี้

24.2.55

บันทึกการเดินทาง ครั้งที่ 4


เพิ่งกลับมาจากฮานอย เวียดนาม ได้ประมาณ 4 วัน
กลับมาพร้อมอาการเจ็บป่วย 
ทั้งเป็นไข้ กระเพาะอาหารกำเริบ ผิวแตกปากแตก นอนน้อย แถมยังเป็นเมนส์อีกต่างหาก
รวมรวบความทรมานทั้งสิ้นไว้ด้วยกัน

การเดินทางครั้งนี้เป็นการเดินทางที่สร้างความรู้สึกหวาดกลัวให้กับชีวิต
แปลกประหลาดมาก ไม่ใช่วิสัยที่เคยเป็น

เราออกเดินทางกันวันศุกร์เช้าตรู่อย่างยิ่ง สะโหลสะเหลวิ่งกันไปขึ้นเครื่อง
กระเป๋าอัดแน่นไปด้วยเสื้อกันหนาว ไม่ได้โหลดเพราะจองตั๋วโปรโมชั่น

ไปถึงฮานอยก็ปะทะกับอากาศเย็นแบบที่คาดหวังไว้ ประมาณ 15 องศา คว้าเสื้อคว้าหมวกมาใส่กันแทบไม่ทัน
เรียกแท็กซี่เข้าเมือง โดนไป 9 คน 50 ดอลล่าร์
การจราจรที่นี่โหดร้ายมาก 
ตลอดทางมีเสียงแตรตลอดเวลา
รถมีสองเลนส์ แต่ขับคร่อมเลนส์เฉยเลย
รถมอเตอร์ไซค์เต็มไปหมด ใครอยากโผล่มาจากรูไหนก็โผล่ 
แต่ที่แย่ที่สุดคือ รถห้ามขับด้วยความเร็วมากกว่า 60 km/h
แปลว่าเราเดินทางกันไปช้ามาก ท่ามกลางการจราจรแบบที่ว่ามา
ผวาไป ขำไป สัปหงกไป 

ถึงในเมืองก็กินข้าวเช้า เดินเล่น
อากาศเย็นลงอย่างต่อเนื่อง ต้องหาซื้อถุงมือเพื่อเตรียมตัวไปฮาลองเบย์ซึ่งหนาวยิ่งกว่า
ฮาลองเบย์ห่างจากฮานอย 180 กิโล
ใช้เวลาเดินทางช้าๆ ท่ามกลางจราจรมหาโหดไป 4 ชั่วโมง
โคตรทรมาน ง่วงชิบหาย นอนก็ลำบาก เพราะเสียงแตรดังตลอดเวลา

ฮาลองเบย์มีทัศนียภาพที่ดีกว่าในเมืองอยู่มากทีเดียว
ห้องนอนเป็น Sea View ในราคาแค่ 700-800 บาท
ตื่นเช้าไปล่องเรือ กินอาหารทะเลสดๆ แบบว่าปลาหมึกซาชิมิหวานบางกรอบเป็นมะพร้าวแก้ว
มีความสุขมาก
เล่นไพ่ได้ตังก็ยิ่งอารมณ์ดีเข้าไปใหญ่

กลับมาอีกวัน ใช้ชีวิตในเมือง อากาศหนาวมากกว่าวันแรก
ไปกินเนื้อแพะย่าง ปลากะทะ เฝอเนื้อ แล้วก็อีกหลายอย่าง
อร่อยแต่ก็สู้อาหารไทยไม่ได้นะ

สนุก เพราะได้ไปเที่ยวกับแก๊งค์พี่น้องที่ไม่ได้ไปด้วยกันนานแล้ว
ทุกคนที่แก่มากแล้ว พออยู่ด้วยกันยังทำตัวเป็นเด็กๆ
เป็นครั้งแรกด้วยโอตได้ไปเที่ยวกับที่บ้าน ดีใจที่เข้ากันได้

กลับมาด้วยอาการป่วย แล้วก็เงินหมด ทั้งที่ไม่ได้ใช้อะไรมาก แต่ก็เหลือเงินไปเมกาน้อยลง
อากาศเย็นๆ ที่เวียดนามทำให้รู้สึกกับตัวเองว่า ถ้าไปอยู่เมกาซึ่งเย็นกว่านี้ แม่งจะรอดเหรอวะ

ไม่อยู่ที่เชียงใหม่หลายวัน มีหลายอย่างเปลี่ยนไปแบบแปลกๆ เหมือนเราไม่อยู่สัก 2 เดือน
รู้สึกยังไงไม่รู้ 
ค่อนข้างว่างเปล่า แล้วก็ไม่รู้จะทำอะไรต่อ
ขายของยอดขายตก ยิ่งเครียดเข้าไปใหญ่
เหนื่อยใจ เหนื่อยร่างกาย ไม่อยากทำอะไร 
การเดินทางครั้งนี้ดูดพลังไปเยอะ 
แต่ถ้าให้อยู่เฉยๆ ไม่ไปไหน ก็ตายดีกว่า น่าเบื่อ

คิดแบบนี้มาได้สัก 3 วัน
วันนี้เจอโปรโมชั่นแอร์เอเชีย ก็เลยจองตั๋วลงไปกรุงเทพวันเกิดน้องชายเดือนหน้า
โห ใช้เวลาเป็นชั่วโมงกับตั๋วไปกลับกรุงเทพเชียงใหม่ที่นั่งเดียว!

แต่หายเบื่อว่ะ
อะไรของมึงเนี่ยยยยยยย 

5.2.55

เมื่อเราไม่ชอบตัวเอง


เมื่อวันก่อน อ่านการ์ตูนเล่มหนึ่ง เป็นเรื่องเกี่ยวกับนักเรียนญี่ปุ่นที่มีการรังแกกัน
ชื่อเรื่องว่า "Life" ลองไปหาอ่านดูก็ได้ สนุกดี
ในเรื่อง ช่วงท้ายๆ นางเอกพูดขึ้นมาคำหนึ่งว่า "ฉันเคยเกลียดตัวเอง" 

เคยเกลียดหรือไม่ชอบตัวเองกันหรือเปล่า
ความเกลียดหรือไม่ชอบตัวเองคืออะไร มันเป็นเรื่องที่ซับซ้อนและลึกซึ้งนะ ว่าไหม
หมี่คิดแบบนี้ว่า ไม่ว่าเราจะเกิดมาอย่างสมบูรณ์ดี มีความสุขอย่างไร
มันก็เป็นไปได้ทั้งนั้นที่เราจะเกิดอาการไม่ชอบตัวเองขึ้นมา อย่างน้อยก็สักแว่บหนึ่ง

เคยเป็นแหละ
ไม่ชอบตัวเองที่รู้สึกอะไรบางอย่างที่ไม่ควรจะรู้สึก เช่น หมั่นไส้ชาวบ้าน อิจฉา
ไม่ชอบตัวเองที่ไม่กล้าทำในสิ่งที่คิดว่าควรจะทำ
ไม่ชอบตัวเองที่ตั้งกฏอะไรไว้กับตัวเอง แล้วไม่เคยจะทำได้สักที
อยากรู้ว่าเพราะอะไรเราถึงไม่ชอบหรือเกลียดตัวเอง ทั้งๆ ที่มันก็คือตัวเราเอง
จะหาเหตุผลหรือที่มาที่ไปที่ทำให้เป็นแบบนั้น ก็เป็นเราเองที่รู้เอง เข้าใจตัวเอง
ให้อภัยตัวเองได้อยู่คนเดียว

นี่เป็นความเป็นมนุษย์อีกอย่างหนึ่งที่ตลกดี 

อ่านหนังสืออีกเล่มของ คำผกา ชื่อ "ยำใหญ่ใส่ความรัก"
เขียนไว้ตอนหนึ่งประมาณว่า ทุกคนคงเคยเป็น ที่รู้สึกมีความสุขจนอิจฉาตัวเอง

อืม เคยเป็นเหมือนกัน
ช่วงเวลาแบบนั้นมักจะเกิดขึ้นเมื่อได้นั่งเฉยๆ ท่ามกลางอากาศดีๆ 
กินอะไรสักอย่างอร่อยๆ
ไปเที่ยวที่ไหนสักที่ที่ชอบมาก  
หรือได้เดินทางไปในที่ใหม่ๆ 

ตอนนี้เริ่มรู้สึกไม่ชอบอะไรบางอย่างในตัวเองอีกแล้ว
เพราะอะไรก็ไม่รู้ หาคำตอบไม่ได้เหมือนเดิม 
คิดไปคิดมาก็ค้นพบว่า อาจจะเป็นเพราะไม่ชอบชีวิตตัวเองตอนนี้ 
มันเรียบเกินไป มันง่ายเกินไป มันเบาเกินไป... รึเปล่า?

ไม่รู้แฮะ 

อยากโกยเสื้อผ้าใส่เป้แบกขึ้นรถทัวร์ไปเที่ยวคนเดียวสักสามวัน 

อยากทำอะไรตามใจตัวเองโคตรๆ แบบไม่ยุ่งเกี่ยวกับคนรู้จักสักสามวัน

วุ้ย!

My 3rd journey story


Yesterday I already wrote my second one into my email from BB. After saying that I will wake up very early and go to the top of Inthanon, I got it!

6.30 washing my face with cold water helped me fully get up. In fact, I love cold weather so it's ok to be active today on Inthanon hill.

I have a plan to go to USA in next 4 months, that's the reason why I write this note in English. Yes! To practice.

Now I'm sitting beside Pra Mahatart near Inthanon's top and watching view of the mountain and the country, also people who's traveling, photographing and, just, walking. You know, "Top of the world" view always make us clam and comfortable.

Year 2011 is my grateful year. The reason is not only I could live near top of Thailand as I wanted, but I also saw    unlimited grace of our God through every channel of life. I means every life not just mine, and every channel not just from a church or a pastor.

I believe that one of the most important things of life is relationship and I thanks God that he always give it to me enough to live gratefully. That's the main channel to show his grace and, sure, I got it

!Sent from my BlackBerry® by dtac.
เขียนเมื่อวันที่ 29 มค. 2555
เวลาประมาณ 9.30 น.
ณ ดอยอินทนนท์ เชียงใหม่

บันทึกการเดินทางครั้งที่ 2



ในขณะที่นอนอยู่ชั้นใต้หลังคาของบ้านพักท่ามกลางอากาศหนาวเหน็บอุณหภูมิ  10 องศานิดๆ ของดอยอินทนนท์ และอินเตอร์เน็ตไวไฟใช้ไม่ได้ ประภาวี เหมทัศน์ก็อยากจะอัพบล็อคขึ้นมา

ทริปอินทนนท์ครั้งนี้เป็นครั้งที่สองของเรา ครั้งก่อนมาเที่ยว (แบบไม่ได้ตั้งใจ) ครั้งนี้มาทำงาน (แบบตั้งใจ) ไม่ใช่ครั้งที่สองแบบธรรมดา พักสถานีเกษตรหลวงอินทนนท์เหมือนครั้งก่อน แล้วยังนอนบ้านหลังเดิมด้วย ไม่น่าเชื่อ

พรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้า หกโมงครึ่ง ไปกิ่วแม่ปานและขึ้นยอดดอย ซึ่งคาดว่าน่าจะหนาวกว่านี้ และนี่แหละ ความหนาวของอินทนนท์ที่เย็นตลอดเวลาไม่ว่าฤดูไหน แล้วก็ระยะทางไม่ไกลจากตัวเมือง ทำให้ใครๆ ก็ชอบมาเที่ยว อยู่ที่นี่แล้วรู้สึกดี มีความสุข

มีเรื่องแย่ๆ ในรีสอร์ทนี้เหมือนกัน เกี่ยวกับความเยอะและการไม่ให้เกียรติกันในการต้อนรับของร้านอาหารที่นี่ ไม่ว่าอะไร (แค่นั่งคิดวิธีแก้แค้นอยู่สักพัก) แต่คราวหน้าไม่กินแน่เท่านั้นเอง

เมื่อกลางวันเดินเล่นในสวนดอกไม้แล้วคิดถึงแม่ชะมัดเลย
ถ้าปีใหม่หน้ายังอยู่ที่นี่ จะจองบ้าน จองตั๋วเครื่องบินให้แม่มาเที่ยวให้ได้ ดอกไม้สวย วิวสวย อากาศเย็นๆ ไม่ต้องทำอะไร เดินเล่นเฉยๆ ก็รู้สึกดีมากแล้ว ชอบมาก

เมื่อกี๊พ่อโทรมา คุยกันหลายเรื่อง
พ่อเป็นผู้ชายที่น่าทึ่งคนหนึ่งนะ โอตบอกว่าตอนเราแก่ๆ กัน ก็คงเหมือนพ่อหมี่ เหมือนยังไงไม่รู้ คงอารมณ์ประมาณว่าเปิดร้านขายของ พื้นที่เยอะๆ แล้วกางเตียงผ้าใบนอนเปิดเพลงฟังดังๆ ในร้านของตัวเอง แบบนี้รึเปล่า

พ่ออายุขนาดนี้แล้ว แต่ก็ยังมีเรื่องใหม่ๆ มาให้คิดตลอด (อาจจะเป็นกับทุกคนก็ได้ แต่ดูเหมือนพ่อจะชอบสร้างเรื่องเองด้วย ก็เลยเรื่องเยอะหน่อย) ความน่าทึ่งของพ่อก็คือ ดูเหมือนพ่อจะจัดการทุกอย่างได้ หรือจัดการไม่ได้ก็ยังทำตัวชิลๆ สบายๆ ไป

วันนี้พ่อพูดคำนึงว่า โตแล้ว ทำอะไรคิดถึงความสุขเอาไว้ เรื่องเงินเรื่องทองอย่าไปใส่ใจมาก มีความสุขไว้ดีกว่า
หมี่ไม่คิดว่าพ่อไล่ไปหาความสุขใส่ตัวแบบไม่ต้องแคร์อนาคตนะ แต่หมี่ว่าพ่อหมายถึง สิ่งสำคัญในชีวิตของเรา ไม่ว่าจะเมื่อไหร่ ก็คือการอยู่อย่างมีความสุข พอ ไม่ร้อน ไม่กระวนกระวาย ถ้าอนาคตข้างหน้าจะรวย แต่วันนี้ต้องร้อน ต้องกังวลอยู่ตลอดเวลา คงจะไม่ใช่ คนอื่นอาจจะเรียกปล่อยวาง พอเพียง แต่หมี่ว่ามันคือการวางใจในชีวิตนะ เมื่อเราเชื่อว่าชีวิตเราปลอดภัย จะเกิดอะไรขึ้นก็ไม่ต้องเดือดร้อน เพราะมันอยู่ในความปลอดภัย แบบนั้นเรามีความสุขได้ง่ายดี เดินเล่นเฉยๆ ก็มีความสุขแล้ว

อืม ชอบมากเลยแหละ


28 มค 2555ห้าทุ่มพอดีมั้งบะหมี่

บันทึกการเดินทางครั้งที่ 1


การเขียนโน้ตอันนี้ มีเรื่องตลกอยู่ 3 อย่าง
หนึ่ง เดินทางไปที่ที่น่าสนใจมาเป็นร้อย แต่เพิ่งจะมีบันทึกการเดินทางอันแรก 
สอง ชื่อโคตรโหลและเชย... บันทึกการเดินทาง อะไรกันนี่ ไม่มีชื่ออื่นอีกแล้วเหรอ!?
สาม เป้าหมายหลักของการมาที่นี่ นอกจากจะเป็นการถ่ายทำรายการ XCNX ให้ลุล่วงแล้ว
ยังมีเรื่องการดูสามหนุ่มเนื้อทองผ่านทีวี ณ เวลาฉายจริงอีกด้วย!!!

วันที่ 7 มกราคม 2555
มาถ่ายรายการ XCNX ที่รีสอร์ทสวยๆ เงียบสงบแห่งหนึ่งใน อ.สันกำแพง บ้านแม่ปูคา
ชื่อว่า The Puka Boutique Resort
(สงสัยอยู่เหมือนกันว่าการมี Boutique นี่แสดงถึงความแตกต่างจากที่อื่นยังไง ยังไม่มีคำตอบ)
ความเก๋ของรีสอร์ทนี้คือ คุณเอ๊ะ วงละอองฟอง เป็นคนออกแบบ
ดัดแปลงสถานที่มาจากยุ้งข้าว ภาษาเมืองเรียกว่า หลองข้าว
เป็นยุ้งข้าวทำจากไม้สักทองขนาดใหญ่มาก 
ใหญ่ขนาดที่ว่า เอามาทำห้องพักเป็นห้องพักแบบมีห้องโถงตรงกลางและห้องน้ำใหญ่ๆ ได้ 6 ห้อง 
คือเรียกว่ายุ้งข้าวเศรษฐี คนรวยเอาไว้เก็บข้าว เก็บเยอะขนาดนี้ กินกันร้อยปีจะหมดมั้ย

เช้าวันนี้ออกจากบ้านตอนเก้าโมงครึ่ง มีข้าวเหนียวสังขยากล่องเล็กๆ ให้ติดมือออกมากิน
(ตอนเขียนนี่คือ นั่งอยู่ในรีสอร์ทสวยๆ และมือตักข้าวเหนียวสังขยาค้างคืนกิน...)

ก่อนเข้ามาที่รีสอร์ทไปแวะกินมื้อสายที่ เฮือนสล่า อยู่ที่ดอยสะเก็ด  
เป็นร้านอาหารที่เมือง มีหมด เนื้อควาย กบ แลน (ตะกวด) 
รอบนี้ของลองแค่เนื้อควายนึ่งก่อนละกัน...
ที่ร้านเฮือนสล่านี่ มีแปลงผัก กับบ่อปลาของตัวเอง เลี้ยงไก่ไข่เองด้วย
ก่อนกินก็ไปเดินเล่นแปลงผัก 
แปลกดีเหมือนกัน เป็นเด็กเมือง ไม่ค่อยได้เห็นอะไรแบบนี้
พริก กะเพรา ปลูกยังไงยังไม่รู้เลย

บ่ายโมงมาถึงรีสอร์ท
พอได้เห็นรีสอร์ทแล้วเกิดความรู้สึกอย่างหนึ่ง ก็คือ ดีจังที่เราได้ทำงานสื่อ
ได้ไปไหนมาไหนในที่ดีๆ แปลกๆ มาตลอด
รีสอร์ทนี้ ถ้าไม่ค้นหาข้อมูลถ่ายรายการคงไม่มีโอกาสรู้จัก และไม่ได้มา
ที่นี่ก็ปลูกผักเอง ทำนาเอง
คิดดูว่าข้าวมื้อเย็นที่เรากินกัน เป็นข้าวที่มาจากนาในรีสอร์ทที่เห็นๆ กันอยู่นั่นแหละ
ตื่นเต้นมาก นอกจากจะแกรนด์แล้วยังแฮนด์เมดอีกตังหาก (ไม่รู้ใช้คำว่าไร)

ก่อนนอน ไปเดินถนนคนเดินสันกำแพง
ที่เชียงใหม่นี่ ไม่ว่าวันไหน ที่ไหน ก็มีถนนคนเดินให้ได้เดินแฮะ 
ดีตรงที่มีอะไรทำ แต่ไม่ดีคือเป็นช่องทางให้ช็อปได้ตลอดเวลา
จ่ายครั้งละ 300 บาท เดินอาทิตย์ละ 3 วันก็เป็นพันแล้วค่ะ

ถนนคนเดินที่นี่ ตรงทางเข้ามีชมรมรำวงอะไรสักอย่างอยู่ด้วย
สมาชิกใส่เสื้อสีฟ้าจับกลุ่มรำวงกลางถนนเลย (เหมือนเสื้อบริษัทคุณกริชในสามหนุ่มเนื้อทอง :p)
เปิดเพลงลูกทุ่งเสียงดัง น่ารักดี ไม่ค่อยได้เห็นบ่อยๆ
ถนนคนเดินที่นี่ มีอาณาจักรลมยางให้เด็กเล่นตั้งหลายหลังแน่ะ ที่อื่นไม่มี น่าจะเป็นเพราะไม่มีพื้นที่
ของเล่นเด็กก็มี คิดถึงหลานที่กรุงเทพ อยากจะซื้อไปฝาก
แต่ก็นะ สุดท้ายจบลงที่เสื้อมือสองตัวละ 40 บาทตามเคย

มาทำงานครั้งนี้ได้พักเยอะหน่อย นอนกลางวันไปซะ 2 ชั่วโมง
พี่อ๊องผู้จัดการที่นี่ ดูแลดี เป็นกันเองมาก นี่ก็เป็นสิ่งสำคัญนะ ที่ทำให้การเดินทางแต่ละครั้งเป็นเรื่องดีๆ

ตอนนี้ ห้าทุ่มยี่สิบ พรุ่งนี้ต้องตื่นหกโมง ถ่ายน้องขี่จักรยานไปตลาด เช้าขั้นสุดยอด
เป้าหมายเรื่องการดูสามหนุ่มเนื้อทองบรรลุผล 
แต่ทีวีช่องสามที่นี่ ไม่ชัดอย่างแรง!! น้ำตาจะไหล...