31.10.51

นักแก้ปัญหา

นั่งรถกลับบ้านด้วยความเหนื่อยอ่อนหมดพลัง

เมื่อวานนี้นอนตี 2 ครึ่ง
เพื่อจัดการกับสรุปแผนและข้อมูลต่างๆ ในหัวลงมาเป็น paper
และเขียนใบโครงการที่ต้องส่งในตอนเช้าวันต่อมา (วันนี้นั่นแหละ)

ตอนเช้าไปพารากอนเพื่อดูเรื่องพื้นที่จัดการแข่งขัน
ตอนบ่ายทำจดหมายกว่า 20 ฉบับให้น้องๆ ที่เข้ารอบ แล้วก็โทรแจ้งและโทรแจ้ง
และทำเอกสารใบเบิกอภิมหาโปรเจ็คอีกหลายๆ ใบ
สรุปโปรแกรมและรายละเอียดงานต่างๆ
แล้วก็ประชุมงานวันเสาร์
แล้วก็ประชุมงาน 27th Hope Anniversary

ชีวิตเรานี้มันทำอะไรได้เยอะดีเหมือนกันนะ
แต่ว่าเห็นเยอะๆ ขนาดนี้ ยังจะทำไม่ค่อยทันงานที่วิ่งๆ เข้ามาเอาซะเลย

ระหว่างทางกลับบ้าน (ที่เหนื่อยอ่อนหมดพลัง)
อีฟก็พูดถึงการประชุมรายการให้ฟัง
รายการนิยมกล้อง ที่ต้องหาวิธีการประคับประคองให้สูงขึ้นทางเดียวไปตลอด
ท่ามกลางความจำกัดต่างๆ นานา ทั้งภาคเศรษฐกิจ เรื่องเวลา และทรัพยากรบุคคล

ฟังมาหลายที ตกลงไอ้ปัญหาที่ต้องแก้มันอยู่ตรงไหนกันแน่นะ
งาน Creative ซึ่งเป็นงานของนักคิด วางทิศทาง
งาน Production เรื่องของ Specialist ในการสื่อสาร Visual ออกมาให้เจริญหูเจริญตา
หรือว่าอยู่ที่ MC งานเบื้องหน้าสุดๆ ที่เป็นเหมือนสัญลักษณ์และตราประทับของรายการ
ฟังๆ ดูทุกที ก็เหมือนทุกอย่างมีปัญหา
แล้วอย่างนี้จะแก้ยังไง แก้ทำไม คิดใหม่ ทำใหม่มันให้หมดไปเลยดีไหม

เรียนรู้ว่า การแก้ปัญหาอะไรก็ตาม ต้องแก้ให้ตรงจุด แยกแยะให้เจอ
ปัญหาอยู่ที่คน หรือการคิดของคน หรือความสามารถ หรืออุปกรณ์ หรือเวลา
หาให้เจอ
รายการอาจจะมีหลายช่วง แต่ละช่วงก็เจอแต่ละปัญหา ต่างกันไป
เราต้องการให้เป็นแบบไหน เป็นไม่ได้เพราะอะไร ก็ต้องแก้ให้ถูกจุด ถูกที่
ปัญหาหลายที่ก็อาจจะหลายวิธีแก้
เยอะหน่อย แต่ว่าได้ผลกว่าใช้วิธีการเดียวกับทุกเรื่องแน่นอน

ขอบคุณพระเจ้าที่ทุกวันนี้รู้สึกเหมือนทำงานได้มากขึ้น
แยกหมวกและจัดลำดับความสำคัญได้ชัดเจน
อาจจะไม่ได้คิดถูก จัดถูกไปซะทุกอย่าง
พลาดอยู่เรื่อยๆ เหมือนเคย
แต่ว่าความวุ่นวายสับสน (กับงานและกับตัวเอง) ลดน้อยลง
เคยมีคนบอกว่า การทำงานคือการแก้ปัญหา
และก็เคยมีคนบอกว่า หมี่ต้องเป็นนักแก้ปัญหา

คำนี้ช่วยให้สู้ยิบตามาหลายครั้งและ
ไม่มีอะไรยากเกินไปที่จะเกิดขึ้นได้บนโลกใบนี้

26.10.51

ไม่เครียดแล้ว -_-"

สัปดาห์ที่ผ่านมา
อะไรก็ไม่รู้เยอะแยะเต็มไปหมด
กระโดดเข้ามาใส่
บางอันก็มาแบบเงียบๆ เรื่อยๆ
บางอันก็มาแบบ Shock cinema
ที่จริง ชีวิตปกติธรรมดา ก็เยอะแยะพออยู่แล้ว -_-

ทำให้เรียนรู้ว่า
ตลอดเวลายาวนาน ที่เครียดกับงานมากๆ
(จนแสดงอาการปวดหัว เป็นไมเกรน ไม่สบาย วิตกจริต)
เราเครียดอยู่กับเรื่องอะไรที่เล็กน้อยเหลือเกิน
มีเหตุการณ์บางอย่าง ที่นำเอาความ shock มาให้
อาการไม่สบายใจกับงาน... หายไปทันที

เพราะว่ายังมีอะไรอีกเยอะๆๆๆ ที่ใหญ่โตมากๆๆๆ
ที่เราไม่สามารถควบคุมได้เลย
แม้ว่าเราจะเป็นห่วงหรืออยากจะเข้าไปเปลี่ยนแปลงมากแค่ไหนก็ตาม

เรื่องงานกลายเป็นเรื่องนิดเดียวของโลกใบนี้ที่เราแบกอยู่

มีข่าวน่าหดหู่ใจอีกอย่าง
คุณป้าที่อยู่ต่างประเทศเสียชีวิตด้วยโรคที่เป็นมานาน
เราไม่ได้ผูกพันมาก แต่ก็รู้สึกใจหายแปลกๆ ผสมกับความรู้สึกเป็นห่วงครอบครัวของป้าด้วย
ยังไม่เคยได้ไปเยี่ยมเลย บอกไว้ตั้งนานแล้ว
เสียดายจัง

มีคำกล่าวว่า สิ่งใดที่เกิดขึ้นในโลกใบนี้แล้ว...
สิ่งนั้นย่อมเป็นสิ่งดี

ทุกอย่างมีเหตุและมีผลของมัน
เราเองควบคุมอะไรไม่ได้
แต่ก็คงจะต้องเรียนรู้ และเติบโตขึ้นไปกับทุกเหตุการณ์ที่เข้ามา

หลังจากที่ฝึกเล่น Rubik มาได้ 5 วัน
วันนี้ก็เล่นได้จบ ครบ 6 สีสักที
(ใช้เวลาหัดเล่นตั้ง 6 วัน น้องๆ มันหัดกันแค่วันเดียวเองนะเนี่ย ไม่ไหวๆ)
ถึงแม้จะยากไปหน่อย แค่ก็สนุกดี
แล้วก็คงจะเล่นอีกหลายๆ ที
เพราะว่าเล่น Rubik แล้วมันทำให้ลืมโลกได้จริงๆ

23.10.51

2-1=0

เป็นเพลงที่ดังมากอยู่ระยะหนึ่ง (แอบน้ำเน่าเล็กน้อย)
หลักการ 2 - 1 = 0 เป็นความจริงในเรื่องความสัมพันธ์
2 - 1 ไม่ได้เท่ากับ 1 แต่ว่าเท่ากับ 0 คือไม่เหลืออะไรเลย

คน 2 คน จบความสัมพันธ์กัน ทุกสิ่งทุกอย่างที่ผ่านมา ถือว่าเท่ากับ 0
อย่างมากก็เป็นความทรงจำ ที่ไม่ได้สานต่ออะไร

คนหนึ่งคนมีหลายส่วนในชีวิต
สิ่งที่หล่อเลี้ยงให้ชีวิตอยู่อย่างมีความสุขและมีคุณค่าได้
ก็คือความสัมพันธ์ที่ดี มีความรักต่อกันและกัน
ถ้าบางส่วนของชีวิตมีปัญหาเรื่องความสัมพันธ์
มันจะกระทบๆ ไปหมด
เคยเป็นไหม เวลาไม่เข้าใจกับคนใกล้ตัว
ห่อเหี่ยว ไม่เป็นอันทำอะไร

เรื่องความสัมพันธ์เป็นเรื่องใหญ่
คนเป็นแฟนกัน เลิกกัน ก็ยังสัมพันธ์เป็นเพื่อนได้
คนคิดไม่เหมือนกัน ก็สามารถดำเนินชีวิตไปในจุดยืนเดียวกันได้


ถ้ารักกันมากพอ..............
เราก็จะพร้อมให้อภัยและรักษาความสัมพันธ์ไม่ให้เท่ากับศูนย์จนได้นั่นแหละ

18.10.51

The man who can't be move

วันนี้ได้ฟังเพลงนี้
ที่จริงก็ฟังมาหลายวันแล้วล่ะ
เป็นช่วงที่เพลงกำลังฮิต
ตอนที่ฟังครั้งแรก น้องชายบอกชื่อเพลงให้ฟัง
The man who can't be move

วันนี้ก็เลยลอง search หาเนื้อเพลง
เพลงต่างประเทศหลายๆ เพลง ความหมายละเอียดอ่อนมาก
ทั้งสร้างสรรค์ และละเอียดอ่อน

เป็นความจรรโลงให้ชีวิต เวลาได้ฟังหรือได้ค้นพบอะไรแบบนี้
มนุษย์มีอะไรให้เรียนรู้มากกว่า งาน เงิน กิน หรือ...นอน

People talk about the guy, thats waiting in on a girl
There are no holes in his shoes,
But a big hole in his world
Maybe I'll get famous as the man who can't be moved,
and maybe you wont mean to but you'll see me on the news,
and you'd come running to the corner,
Cause' you know its just to move you
I'm the man who cant be moved

Cause' if one day you wake up,
and find that your missing me,
and your heart starts to wonder where on this earth I could be,
Thinking maybe you'd come back here
to the place that we'd meet and you'd see me
waiting for you on the corner of the street
so I'm not moving

เพลงนี้ คงไม่ได้ตั้งใจจะบอกตรงๆ ว่า....
ซื่อสัตย์กับหัวใจ โดยที่วันๆ ไม่ต้องทำอะไร
นั่งรออยู่ที่เดิมอย่างเดียวเท่านั้น

แต่ว่าแอบเห็นความมั่นคงและรอคอย
ไม่หมดหวัง

ดูเนื้อหาแล้วที่จริงก็เศร้าอยู่
วันที่รออะไรสักอย่าง หรือใครสักคน
เมื่อยังไม่เห็นอะไร ก็คงจะมีความเศร้าอยู่บ้าง
แต่ว่าถ้ายังมีความหวัง
ก็คงจะมั่นคง
รอไปเรื่อยๆ
แบบว่า ถอยไม่ได้ เพราะว่าสิ่งที่หวังกำลังจะมา
ถ้าหยุดรอไปซะก่อน แล้วเธอดันกลับมา เสียดายแย่

so I'm not moving

10.10.51

สแต็ค...

ลองเขียนบล๊อกแบบใหม่
ชิดขอบซ้่าย
แอบผิดวิสัยการเขียนปกติของตัวเอง
แต่ว่าก็น่าจะแปลกตาดี



ที่จริงสมองของมนุษย์เหมือนถูกสร้างมาให้ใช้งานได้อย่างไม่จำกัด
เพราะไอ้ที่ใช้กันเยอะๆ นี่ก็ไม่กี่เปอร์เซ็นต์เอง
แต่ก็คงเป็นเรื่องธรรมดาของความเป็นมนุษย์...ที่เต็มไปด้วยความจำกัด
บางทีก็รู้สึกเหนื่อยสมอง

เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ไปจัดกิจกรรมสอนกีฬาสแต็คให้กับน้องๆ
ที่งาน Kids of the World 2008
ได้รับการตอบรับอย่างดีเยี่ยม
จะเด็ก จะผู้ปกครอง ม.ต้น ม.ปลาย ประถม มหาลัย
ร้อยทั้งร้อย เข้ามา้เล่นแล้วต้องติดใจ
เพราะว่าเป็นกีฬาที่สนุก ตอนแรกที่่เห็นก็ไม่คิดว่าจะสนุกขนาดนี้
แปลกตรงที่ กำเนิดมาตั้ง 25 ปีแล้ว แต่คนไทยเพิ่งจะรู้จัก
หรือที่จริง เราเพิ่งจะรู้จัก (แล้วค่อยเอาเข้ามาให้คนไทยรู้จัก)

มีเด็กผู้ชายหนึ่งคน ที่เป็นเด็กอารมณ์ร้อนมาก
คุณพ่อพาเข้ามาเล่นกีฬาสแต็คกับเรา
แล้วกีฬาสแต็คก็เปลี่ยนน้องให้เย็นลง มุ่งมั่น มีสมาธิมากขึ้น
คุณพ่อก็คงดีใจมาก เอาข้าวกล่องใส่กระเป๋าให้น้องมากินที่บูธ
ปล่อยน้องเอาไว้ แล้วก็ไปทำงาน

เด็กผู้ชา่ยคนนี้ เป็นเด็กถนัดซ้าย เอ็นนิ้วก้อยขาด
แต่เขาเล่นกีฬาชนิดนี้ เล่นดีซะด้วย ลงแข่งบันทึกสถิติกับเราทุกวัน
ถ้าเราเป็นคุณพ่อของน้อง เราก็คงดีใจมาก
และถ้าคุณพ่อของน้องเป็นเรา ก็คงรู้ว่าเรามีความสุขขนาดไหน

เด็กผู้ชายอีกหนึ่งคน บ้านไม่น่าจะมีฐานะอะไรมาก
มาเล่นกีฬาสแต็คกับเรา แล้วก็ซื้อแก้วกลับบ้าน
ปรากฏว่าวันต่อมา แก้วหายระหว่างเดินทางมาเก็บสถิติที่บูธ
น่าสงสารมาก

แต่ก็ยังมีน้ำใจนักกีฬา มาแข่งอย่างต่อเนื่อง แม้ไม่มีแก้วซ้อม

วันสุดท้าย เขาแข่งได้คะแนนเป็นอันดับที่ 2
และมีสิทธิได้ไปแข่งรอบสุดท้ายที่พารากอน
เพราะว่า ที่หนึ่งได้รางวัลจากประเภทอื่นไปแล้ว
คุณแม่โทรมา จะซื้อแก้วใหม่ให้ไปซ้อมก่อนแข่งจริง

เสียดายแก้วสแต็คอันเก่า แต่ก็มีความสุขกับน้อง ที่ได้แก้วสแต็คอันใหม่ไว้ซ้อม

คนที่มาเล่นกับเรา 2-3 วันแรก เริ่มเป็นรุ่นพี่สอนุร่นน้อง
เริ่มช่วยเก็บของ ช่วยจัดของในบูธ

..........................

บางทีก็รู้สึกว่าตัวเองเห็นแก่ตัวจัง
ไม่อยากทำในสิ่งที่ควรทำ
เวลาเห็นคนอื่นเหนื่อยๆ ก็ไม่รู้จะเข้าไปช่วยยังไง
ช่วยอะไรใครไม่ค่อยได้

บางที...ได้มีความสุขกับชีวิตของคนอื่น
ก็ช่วยต่ออายุกำลังใจของตัวเองได้เยอะเหมือนกันนะ

ขอให้เป็นกีฬาที่มีผลอย่างอัศจรรย์ต่อร่างกายและจิตใจของคนไทย
ทั้งเด็กไทยและผู้ใหญ่ไทยเลยนะคะ พระเจ้า

มันย่ำแย่แบบรุนแรงเกินไปแล้วล่ะ
บ้านเมืองนี้
หดหู่จริง

8.10.51

เอาแล้ว!!

ตอนนี้ปวดหัวข้างเดียวแล้ว
เริ่มปวดที่เบ้าตา

โอ้ นี่เหรอ อาการของไมเกรน......


รออาการดีขึ้นนิดนึง
เดี๋ยวจะมาเล่าให้ฟังถึง Sport Stacking at Kids of the World 2008
สนุกสนาน ตื่นเต้น อัศจรรย์มาก

โอ้ ปวดหัว