30.7.52

สัญญา

คุณเคยทำสัญญากับใครไหมคะ
สัญญาที่บัญญัติขึ้นด้วยความตั้งใจของคุณข้างเดียว ไม่ขึ้นอยู่กับว่าเขาจะเป็นอย่างไร
สัญญาที่ทำขึ้นด้วยคนทั้งสองฝ่าย ที่ตกลงกันว่าจะทำอะไรบางอย่างร่วมกัน
สัญญาที่มีอะไรบางอย่างอยู่ตรงกลาง เป็นพยานพันผูกข้อตกลงของทั้งสองฝ่าย

น้อยมาก ที่หมี่จะทำสัญญาอะไรกับใคร
เหตุผลหลักคือ ไม่เห็นความสำคัญ
ถ้าสิ่งนั้นจำเป็นและดีเพียงพอ เราจะดูแลรักษามันไปเรื่อยๆ
ไม่ต้องสัญญาก็จะทำ

สัญญาที่ไม่จำเป็นต้องสัญญา ก็ไม่น่าจะต้องสัญญา
ถ้าคุณอยากจะทำอะไรให้ใคร ก็แค่ทำ ไม่เห็นต้องสัญญา
เพราะเมื่อคุณสัญญาแล้ว คุณต้องรักษามัน

เรียนรู้มาเสมอว่า สิ่งต่างๆ เปลี่ยนแปลงได้
ตัวเราเองก็เปลี่ยนไปทุกวัน
ความเข้า้ใจที่เปลี่ยนแปลงไป ก็ทำให้เราเห็นอะไรในมุมมองใหม่ๆ
บางอย่างที่เคยดี เคยเหมาะ อาจจะไม่ดีอีกต่อไป
และบางอย่างที่ไม่ดี เราอาจจะเห็นสิ่งดีที่ซ่้อนอยู่มากกว่าสิ่งไม่ดีที่เคยเห็น
วันใดที่มุมมองและความเข้าใจของทั้งสองฝ่ายต่างกัน
สัญญาก็อาจต้องมีการทบทวนกันใหม่

เพราะสัญญานั้นสำคัญ ทำให้เราไม่สามารถยกเลิกมันได้ง่ายๆ
ถ้าหากทั้งสองฝ่ายเห็นตรงกัน ต้องการยกเลิกสัญญา ก็ถือว่าดีไป

แต่หลายครั้ง ไม่ได้เป็นแบบนั้น...
การกล่าวเลิกสัญญา มักจะนำความปวดใจมาให้กับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง
...หรือทั้งสองฝ่าย
ทั้งที่ไม่ใช่ความผิดของใคร

สัญญาบางอย่าง เมื่อคุณตกลงใจทำสัญญานั้นแล้ว
คุณบอกเลิกโดยตัวคุณเองไม่ได้
อีกฝ่ายก็เช่นกัน
ต้องตกลงกับบุคคลที่สามเพื่อปลดพันธะ
เวลานั้น คุณอาจจะเพิ่งตระหนักได้ว่า...
คุณนั่นเอง ที่ทำให้เรื่องต่างๆ มันยากเกินความจำเป็น

คุณควรจะคิดให้มากเพียงพอกับการกล่าวคำสัญญา
และคิดไตร่ตรองมากขึ้นไปอีกกับการทำสัญญาที่เป็นลายลักษณ์อักษร

สำหรับ "พันธสัญญา"
คุณควรใช้ทั้งชีวิต จิตใจ สมอง และอีกหลายๆ อย่างที่คุณมี
เพื่อประมวลผลว่า "ใช่หรือไม่" และตัดสินใจว่า ตกลงหรือไม่

สัญญาบางอย่าง อาจแค่ไร้ความหมายไปง่ายๆ เมื่อสองฝ่ายไม่ปฏิบัติตาม
สัญญาบางอย่าง เป็นต้นกำเนิดแห่งการสูญเสียความสัมพันธ์ระหว่างกัน

สัญญาบางอย่าง ถูกผูกพันไว้ด้วยกฏเกณฑ์ที่มีคุณค่า เหนือกว่ากฏหมายใดๆ
นั่นคือความรัก...

เราไม่อาจยกเลิกสัญญา เพราะเราไม่อาจยกเลิกความรักนั้น
แม้ต้องอดทนนาน แม้ไม่เข้าใจหรือเจอกับความไม่เข้าใจ
แม้กลัวกับการสูญเสีย
แม้เราต้องพบกับความอ่อนแอของตัวเอง
แม้เราต้องพบกับความอ่อนแอของอีกฝ่าย
แม้จะเหนื่อยกับการเปลี่ยนแปลงกันและกัน
แม้จะดูเหมือนไม่มีอะไรที่ดีขึ้น

แต่เพราะผูกพันกันไว้ด้วยความรัก
และความรักชนะทุกสิ่ง
สัญญาก็จะถูกรักษาไว้ได้จนถึงวันสุดท้ายของชีวิต

ยอมเสี่ยงไหมคะ สัญญานี้ที่จะผูกมัดทั้งชีวิตของคุณ

22.7.52

ที่ระลึก

หลังจากใช้ชีวิตแบบคนว่างงานมาประมาณครึ่งเดือนได้
พักอย่างที่อยากพัก
ทำสิ่งที่อยากทำ
แล้วก็ได้โอกาสมาจัดการชีวิตที่ทิ้งร้างไว้นานเสียที

เริ่มต้นจากตู้เสื้อผ้า ก็ได้เสื้อผ้าไม่ใช้แล้วออกมากองใหญ่
หลังจากนั้นก็เป็น sheet
สมุดจดคำเทศน์ หนังสือเรียนพระคัมภีร์
เอามากองๆ รวมกัน

ตระหนักมานานแล้วว่าบ้านนี้ฝุ่นเยอะ
ตอนนี้ยิ่งตอกย้ำเข้าไปอีก ว่ามันเยอะจริงๆ
ขนาดในตู้ปิดๆ หรือในห้องที่ไม่มีคนอยู่
ฝุ่นก็ยังเข้าไปหมักหมมได้เยอะอย่างไม่น่าเชื่อ

ฝุ่นก็เหมือนนิสัยไม่ดีบางอย่างของคนเรานะ
ยิ่งไม่รื้อ ไม่ทำความสะอาด ก็ยิ่งเยอะ ยิ่งหมักหมม
อยู่ในที่ปิด ที่ไม่มีใครเห็น ไม่ได้หมายความว่าไม่มี
แต่ว่า ยิ่งมีเยอะ ยิ่งทำความสะอาดยากเข้าไปอีก

จัดการเสื้อผ้า เอกสารเรียบร้อย ก็มาถึงส่วนที่ยากที่สุด
ลิ้นชัก ตู้ กล่อง ที่เก็บของที่ระลึกทั้งหลาย
ของขวัญจากเทศกาลต่างๆ
การ์ดและจดหมายจากเพื่อนฝูงตั้งแต่สมัยประถม
ของที่ระลึกจากงานต่างๆ ที่ได้ไป join
ทั้งงานที่ไปเป็นเป็นผู้ชม ไปเป็น staff และไปเป็นแขก

ยากที่สุด เพราะทิ้งไม่ลงสักอัน
แล้วก็จะต้องพยายามไม่เปิดอ่านจดหมายเวลาที่เก็บอยู่

ตอนเก็บของทำความสะอาดวันนี้
ทำให้รู้ว่า เราเกือบจะลืมเรื่องราวหลายๆ อย่าง
และเำื่พื่อนหลายๆ คนไปแล้ว

จริงๆ ด้วยนะ...
เราเปลี่ยนไปเรื่อยๆ เปลี่ยนไปทุกวัน
วันที่เราอยู่มัธยม เราก็ต่างจากวันที่อยู่ชั้นประถม
วันที่เราเรียนมหาวิทยาลัย เราก็มองกลับไปด้วยความรู้สึกอีกแบบ

เคยเห็นหลายๆ คนโหยหาอดีต
อยากกลับไป ณ เวลานั้น
ไปเอาความสุข ความทรงจำ สิ่งที่เราเคยเป็น เคยมีในอดีตกลับมา

แต่ว่า เวลาผ่านไปเรื่อยๆ และเราโตขึ้นเรื่อยๆ
และเรากลับไปเก็บอะไรของวันนั้นไม่ได้เลย
นอกจากความทรงจำ...
ที่ถูกย้ำเตือนด้วยของที่ระลึกที่เก็บเอาไว้จนวันนี้

อดีตมีค่าเสมอ
อดีตไม่เคยเปลี่ยนแปลง
เราเปลี่ยนไปต่างหาก
เวลามองกลับมาที่อดีตในแต่ละครั้ง ก็เลยไม่ค่อยจะเหมือนกันสักที

ดีใจจังที่เราโตขึ้นทุกวัน
แต่ก็น่าเสียดายนะ
ที่เราเก็บทุกภาพและทุกความรู้สึกที่เราต้องการไว้ไม่ได้

ขอบคุณสำหรับทุกอย่างที่ผ่านมา
และขอบคุณทุกๆ เรื่องที่เรากำลังจะเจอต่อไปค่ะ

1.7.52

ไม่หันหลังกลับ

อีกหนึ่งช่วงเวลาที่ตื่นเต้นมากของชีวิต
กว่า 2 ปีแล้ว ที่ไม่ได้เผชิญกับภาวะ ไม่มีงานทำ

เรื่องมันมีอยู่ว่า
เมื่อลาออกจาก Gsus7 เพื่อก้าวเข้ามาทำงานในทีวีไทย
ก็ใช้ระยะเวลา เดือนครึ่ง ในการปรับตัว
และเรียนรู้ว่า งาน Production มันไม่เหมาะกับเราอย่างแท้จริง

ช่วงแรกในการทำงาน ช่างเป็นช่วงแห่งความทรมานสิ้นดี
ก็รู้อยู่ว่าพระเจ้าบอกให้มาที่นี่ แต่ก็ไม่รู้ว่าจะให้อยู่ไปนานแค่ไหน

ใช้สมอง หัวใจ ความเชื่อ คิดแล้วคิดอีก ก็ได้แต่คำตอบที่บอกว่า ไม่ใช่
แต่ก็พยายามเรียนรู้ เข้าใจ มองหาสิ่งดีและทุกโอกาส
จนทุกอย่างก็เริ่มลงตัว ทั้งหน้าที่และหัวใจ เมื่อก้าวเข้าสู่เืดือนที่ 3

สิ่งที่เชื่อมาตลอด คือเราต้องทำเต็มที่ทุกอย่างที่เราเชื่อ
และกล้าวิ่งตามความฝัน แม้มันจะดูไม่มีทาง

ในช่วงระหว่างนั้นก็เลยร่อนใบสมัครไปที่ อัมรินทร์ พับลิชชิ่ง
สมัครเป็น columnist ที่ชีวจิต
นิตยสารที่ตรงกับตัวเองอย่างเดียว คือได้เขียน
ส่งไปแต่ไม่ได้รอด้วยใจจดจ่อ เพราะว่างานเริ่มลงตัวแล้ว

อย่างไรก็ตาม อีก 2 สัปดาห์
อัมรินทร์โทรกลับมา เรียกสัมภา่ษณ์ 2 รอบด้วยกัน
วันนั้นตื่นเต้นอย่าบอกใคร ดีใจมาก
นิตยสารที่จะให้หมี่ไปทำงาน ก็คือนิตยสาร SHAPE
Section ที่เขาสนใจให้หมี่ทำ คือ Lifestyle
ทำให้ผู้หญิงรักตัวเองและมีความสุข
ช่างตรงกับตัวเองอะไรเช่นนี้
เชื่อไปแล้วครับ ว่าจะได้เป็นสมาชิกองค์กรนี้แน่ๆ

ตอนนั้น อีก 15 วันจะหมดสัญญากับทีวีไทย
แต่อัมรินทร์ยังไม่ประกาศผล
ถ้ารอประกาศ แล้วได้ ทีมงานก็จะหาคนมาแทนไม่ทัน
ถ้าหากทำต่อไปก่อนจนกว่าจะรู้ผล ก็ต้องเซ็นสัญญาอีก 3 เดือน

ด้วยควา่มเชื่อ มั่นใจว่าพระเจ้าดูแลแน่ๆ
ก็เลยตัดสินลาออก ด้วยความเสียดายของพี่ๆ หลายคน
(มีอยู่หนึ่งคน ที่เสียดาย แต่ก็ไล่หมี่ไปตามหาความฝันซะ)

อย่างน้อยก็ดีใจ ที่ได้ฝากผลงานและความรู้สึกดีๆ เอาไว้
ตอบตัวเองได้ว่า ไม่ได้ไปอย่างผู้แพ้
แต่ว่าไปด้วยรอยยิ้มและความภูมิใจ
เราได้เรียนรู้หลายอย่างจากที่นี่จริงๆ

(ขอบคุณนะคะ)

แล้วอัมรินทร์ว่าอย่างไร...
.
.
.
.
แผนเรียนต่อในอีก 1-2 ปีข้างหน้า
ทำให้เขายังไม่ตัดสินใจรับหมี่เข้าทำงาน
หาคนอื่นที่น่าสนใจกว่ามาเปรียบเทียบอยู่
(แต่ก็ยังไม่เจอ เลยไม่ประกาศผล)

สิ่งที่ผุดขึ้นมาในหัวสมอง (และหัวใจด้วยมั้ง)

ถ้าบอกเขาไปว่า มีการปรับแผน แต่ถึงเวลาก็ลาออกไป
ก็ดูจะเสียนิสัย
ถ้าอยู่ทำงานที่นี่ 5 ปี ตามความต้องการของเขา แล้วค่อยไปเรียนต่อ
ก็ดูจะช้าเกินไป หรือคงไม่ได้ไป

แต่ถ้าไปเรียนต่อ ไปดูโลกกว้างมันซะตอนนี้เลยล่ะ
ทำในสิ่งที่คิดว่าอยากจะและควรจะทำให้เรียบร้อย
ตอนนั้นกลับมาทำงานให้องค์กรไหนอีก 10 ปีก็คงไม่ต้องคิดมาก

จากที่ survey เสียงมากมาย
ทิศทางคือ ถ้ามีโอกาส ควรรีบไป

พระเจ้าเร่งเวลาและเร่งแผนเหรอคะ
หมี่อยากไปนะเนี่ย

แผนตอนนี้ ก็ใช้เวลาว่างที่มีอยู่สัก 2 เดือน
(หลังจากที่ไม่มีเลยมา 2 ปี)
พักผ่อน ฟื้นฟูสภาพร่างกาย จัดการบ้านช่องห้องหับ
และจัดระบบชีวิตของตัวเองให้ดี
พร้อมเพื่อการสู้ต่อไป

และในขณะเดียวกัน
ก็หาข้อมูลที่เรียน ที่อยู่ ที่ทำงานในอังกฤษ
และวางแผนการเดินทาง การเงิน การใช้่ชีวิต
เอามาขายแม่ผู้เป็นเจ้าของทุน
ต่อยอดความตั้งใจให้กลายเป็นจริง

ไปแล้วนะคะ
ไม่ถอย ไม่หันหลังแล้วค่ะ


PS.ขอบคุณสำหรับครีเอทีพคนใหม่
นามว่า มะนาว
เธอพกเงินหนึ่งแสนบาท ไปอยู่ซานฟรานตัวคนเดียว
เพื่อเที่ยวและใช้ชีวิต เป็นเวลา 1 ปี

ความกล้าหาญของมะนาวเป็นแรงบันดาลใจที่ดีมากของเราเลยล่ะ
ขอบใจมากนะจ๊ะ

ขอบคุณพี่ชาย สำหรับทุกๆ ถ้อยคำ
คนนี้เป็นแบบอย่างของมนุษย์ที่สู้เพื่อความฝัน จนมาถึงฝัน
แม้จะมาถึงช้าไปหน่อย
แต่อย่างน้อย ทุกก้าวของพี่ก็มีพลังและแรงบันดาลใจล่ะ

สู้ต่อไปนะ แล้วมาทำหนังสือด้วยกัน โอเคป่ะ