13.8.54

แม่จ๋า คิดถึงงงงงงงงงงงง

มันเป็นอะไรที่ประจวบเหมาะมาก
เมื่อคืนนอนไม่หลับ ด้วยคิดมากเรื่องที่ไร้สาระสุดๆ
ก็เลยตื่นมาดู DVD ละครเรื่องอุ้มรักที่ดูค้างไว้
เป็นตอนที่นางเอกคลอดลูกพอดี
ในละคร คลอดลูกไป น้่ำตาไหลไป ทั้งพ่อทั้งแม่
คนดูก็ดูไป น้ำตาไหลไป

8 เดือนแล้วที่มาอยู่เชียงใหม่
ห่างบ้านและห่างแม่นานที่สุดในชีวิต
เพราะเพิ่งกลับไปกรุงเทพปลายเดือนที่แล้ว
อาทิตย์นี้ก็เลยไม่ได้ลงไปหาแม่
ได้แต่โทรไปหา
คำพูดของวันนี้แม่คือ "อย่าทำให้แม่ทุกข์ก็พอใจแล้ว"
เพราะแม่คาดหวังน้อยแบบนี้ เราเลยทำอะไรให้แม่น้อยๆ แบบนี้หรือเปล่านะ

โทรหาแม่แล้วก็โทรหายาย ยายไม่อยู่บ้าน
ยายกำลังเดินทางไปเที่ยวพัทยากับป้าๆ และอาๆ
แม่ก็จะตามไปพรุ่งนี้
วันหยุดยาวนี้เลยถือเป็นช่วงเวลาพักผ่อนของบรรดาแม่ๆ ทั้งหลาย
บรรดาวัยรุ่นก็เฝ้าร้านไป
วัยรุ่นคือน้องๆ รุ่นที่กำลังเรียนมหาลัย
ส่วนรุ่นๆ เราห่างไกลชีวิตแบบวันหยุดเฝ้าร้านให้แม่มานานแล้ว
ต่างคนต่างไปมีชีวิตและทำธุรกิจของตัวเองกันหมดแล้ว
ถ้ามีโอกาสก็อยากบอกน้องๆ ทุกคนว่า
เดี๋ยวเราจะมีเวลาของตัวเองแน่นอน
ตอนนี้ เมื่อเวลาและชีวิตยังเอื้ออำนวย
อยู่ข้างๆเค้าและทำให้เค้าไปเถอะ

เหมือนเป็นสัจธรรมนะ
มนุษย์ถูกสร้างมาให้มีชีวิตของตัวเอง
ยิ่งโต ยิ่งต้องเลือกใช้ชีวิตตามเส้นทางของตัวเอง
ตั้งแต่มาอยู่ที่นี่ หมี่กลับไปกรุงเทพทุกเดือน
ทุกครั้งที่กำลังจะไปขึ้นรถกลับเชียงใหม่
ก็จะเดินไปกอดแม่ บอกแม่ว่า ไปแล้วนะ เดี๋ยวมาหาใหม่
ใจหายมาก คิดถึงแม่ ไม่อยากไป
แต่ก็ไม่รู้ทำยังไง อยากใช้ชีวิตที่เชียงใหม่
คนที่รู้ว่าตัวเองชอบอะไร ต้องการอะไร มันยากอย่างเนี้ยแหละ
เรื่องเยอะ ทำๆ ไปให้เพื่อให้คนอื่นสบายใจก็ไม่ได้
อะไรที่ฝืนเกินไป ไม่เคยจะทนไหวเลยจริงๆ

วันนี้นั่งคิดว่าถ้าเราอยู่เชียงใหม่ไปเรื่อยๆ
อีก 5 ปี อีก 10 ปี
ถึงวันนั้น แม่คงต้องการคนดูแลแล้วล่ะ
หมี่จะทำยังไงนะ ถ้าไม่อยากกลับไปอยู่กรุงเทพแล้ว
และแม่ก็ไม่อยากมาอยู่เชียงใหม่ด้วย
คิดแล้วน้ำตาจะไหล

แม่เป็นซุปเปอร์ฮีโร่ของหมี่
แม่เก่งที่สุด
อดทนที่สุด
เข้มแข็งที่สุด
ใจสู้ที่สุด
แม่ไม่แสดงความอ่อนแอให้ใครเห็น
แม่ไม่เคยต้องการให้ใครเป็นห่วง
แม่ไม่ชอบขอความช่วยเหลือใคร
แม่ด่าเก่ง ไม่เคยพูดหวานๆ
แต่แม่ก็เชื่อใจและให้โอกาสลูกทุกคนตลอดเวลา
เพราะอย่างนี้หรือเปล่า หมี่เลยทำตามใจตัวเองแบบนี้ได้อยู่ทุกวัน

วันที่จำเป็นต้องอยู่ข้างๆ แม่ต้องมาถึงสักวันแหละ
แล้ววันนั้นหมี่จะไปอยู่ตรงนั้นนะแม่นะ

รักแม่ที่สุดที่สุดที่สุด
โอ่ย....
น้ำตาจะไหล

ชนชั้นทางสังคม

พอเขียนคำว่า "ชนชั้นทางสังคม" แล้วรู้สึกว่าวิชาการมากๆ
ทั้งๆ ที่คำนี้มันวนเวียนอยู่ใกล้ตัวเราเป็นที่สุด

ชนชั้นทางสังคมคืออะไร
ในความเข้าใจของหมี่ มันคือการจัดลำดับขั้นสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่ามนุษย์
จากการเอาอะไรสักอย่างที่ในสังคมนั้นๆ เชื่อว่าถูกต้องมาเป็นบรรทัดฐาน
จัดลำดับสูงต่ำกันโดยฝีมือมนุษย์ขี้เหม็นด้วยกันเองนี่แหละ

แม่งเป็นอะไรที่ไร้เหตุผลมาก
อยู่ดีๆ คนกลุ่มหนึ่งก็ถูกจัดให้อยู่ในฐานะที่ต่ำหรือสูงกว่าคนกลุ่มหนึ่ง
เพราะมีลักษณะหรือคุณสมบัติไม่เหมือนคนในกลุ่มนั้น

การจัดลำดับชนชั้นทางสังคมไม่ได้เห็นแค่ในอินเดีย
แต่เห็นอยู่ในหมู่บ้าน ห้องเรียน ที่ทำงานของเรานี่แหละ
และในสถานที่ที่ดูน่าจะไม่มีที่สุด อย่างเช่น โบสถ์
กลับพบการจัดลำดับชนชั้นทางสังคมเยอะที่สุด

ปากก็บอกว่ารักกัน ยอมรับกัน เพราะพระเจ้ารักเรา ยอมรับเรา
แต่การกระทำกลับมีการประเมินค่าของความเป็นคนดี อยู่ตลอดเวลา
น่ารังเกียจ

หมี่เป็นบุคคลชนิดพิเศษอย่างหนึ่ง คือเข้าได้กับคนทุกพวก ทุกประเภท
(จะด่าว่าเป็นพวกจิ้งจกเปลี่ยนสีหรือนกแปดหัวก็ได้ ไม่สนใจอยู่แล้ว)
และไม่มีความสามารถในการจับความรู้สึก ว่ามึงเกลียดกูหรือไม่ เข้าใจไปเองว่าใครๆ ก็ดีกับเรา
การเป็นคนแบบนี้มีข้อดีอย่างหนึ่ง คือเราได้รู้จักและใกล้ชิดคนหลายแบบ
และไม่ได้เก็บไปคิดมากเป็นสรณะ ว่าหน้าไหนมันจะนินทาเราหรือทำอะไรไม่ดีลับหลังหรือเปล่า
เรียกว่า ดูใสซื่อและโง่ได้โดยไม่ต้องเสแสร้ง แอ๊บเนียน คนเกลียดไม่ค่อยลง (มั้ง)

จากการที่ได้ไปเจอมาหลายคนหลายที่
ค้นพบว่าสัจธรรมอย่างหนึ่งของการเป็นคน ก็คือ ไม่มีใครดี 100% และไม่มีใครเลว 100%
ไม่มีใครโง่ตลอดเวลา และไม่มีใครฉลาดตลอดเวลา
จะดีหรือเลว โง่หรือฉลาด อยู่ที่ว่าเราทำอะไรกับใครต่างหาก

เป็นเรื่องธรรมดามากที่คนที่ใครๆ ในสังคมนี้รู้สึกว่า ใช้ไม่ได้
กลับเป็นที่ชื่นชอบรักใคร่ของคนในอีกสังคมหนึ่ง
ถามว่า แล้วอะไรคือคำตอบที่ถูกต้อง
มีหรือไม่มี พระเจ้าเท่านั้นที่รู้ (คนไม่เชื่อพระเจ้าบางคนยังพูดคำนี้เลย คนเชื่อพระเจ้าหลายคนกลับไม่สำเหนียก)

ส่วนตัวหมี่คิดว่า การจัดลำดับชนชั้นทางสังคม รวมไปถึงการให้เกรดให้คะแนนประเมินค่าของคนต่างๆ นานา
เป็นผลพวงมาจากความหยิ่ง และการไม่ยอมรับความแตกต่างของมนุษย์
เป็นการไม่เชื่อว่า พระเจ้ามีวิธีการตัดสินของพระองค์เอง
โลกมีวิธีการคัดเลือกและตอบสนองต่อการกระทำของคนแต่ละคนในแบบของมันเอง

มนุษย์สร้างลำดับขั้นขึ้นมาปกป้องความอ่อนไหวและความไม่มั่นคงในจิตใจของตัวเองทั้งนั้น
ขีดเส้นและสร้างกฏอะไรสักอย่างที่ทำให้ตัวเองโล่งใจ ว่าเราอยู่ในที่ที่ควรอยู่แล้วล่ะ
เราอยู่ในมาตรฐานที่ถูกต้องของคนในสังคมนี้แล้วนะ ได้รับการยอมรับแล้วล่ะ
โดยที่ไม่รู้เลยว่า โลกโคตรกว้าง และไอ้การกระทำแบบนั้นน่ะ เป็นเรื่องของคนที่โลกโคตรแคบ

สิ่งที่เลวร้ายที่สุดคือ คนเจ็บปวดกับความสัมพันธ์เพราะวิธีการประเมินค่าเหล่านี้แหละ
ลูกเจ็บปวดกับพ่อแม่ที่คาดหวัง เพื่อนเจ็บปวดเพราะเพื่อนไม่ยอมรับ
หญิงหรือชายเจ็บปวดที่อีกฝ่ายไม่เลือกตัวเองเพราะอยู่คนละชนชั้น
ลูกเขยลูกสะใภ้เจ็บปวดเพราะถูกพ่อแม่คนรักดูถูก

การศึกษาและประสบการณ์ไม่ช่วยให้เข้าใจเรื่องพวกนี้
ความเจ็บปวดและการรับฟังคนอื่นต่างหาก ที่จะทำให้เราเข้าใจ


"เราไม่ต้องการที่จะจัดอันดับหรือเปรียบเทียบตัวเราเองกับบางคนที่ยกย่องตัวเอง
แต่เมื่อเขาเอาตัวของเขาเป็นเครื่องวัดกันและกัน และเอาตัวปรียบเทียบกันและกัน
เขาก็เป็นคนขาดปัญญา"
2 โครินธ์ 10:12

"เขาจะไล่ท่านเสียจากธรรมศาลา แท้จริงวันหนึ่งคนใดที่ประหารชีวิตของท่านจะคิดว่า
เขาทำการนั้นเป็นการปฏิบัติพระเจ้า"
ยอห์น 16:2

"เรามอบสันติสุขไว้ให้แก่ท่านแล้ว สันติสุขของเราที่ให้แก่ท่านนั้น
เราให้ท่านไม่เหมือนโลกให้ อย่าให้ใจของท่านวิตก และอย่ากลัวเลย"
ยอห์น 14:27