11.6.55

ท่องทะลุเมฆ



     ขณะที่เรานั่งอยู่บนเครื่องบินแล้วก็ตื่นเต้นกับทะเลหมอกและช่วงเวลาแห่งการทะลุเมฆหมอกเพื่อแลนดิ้งลงสู่ลอสแองเจอลิส เราก็บังเกิดความคิดว่า ปกติ (แม่ง) ไม่ค่อยมีเรื่องอะไรจะเล่า ก็อยากจะเขียนบล็อกเขียนโน้ตซะเหลือเกิน แล้วการเดินทางครั้งนี้ที่ได้เจอกับความรู้สึกเจ๋งๆ หรือเรื่องประหลาดๆ ในชีวิตทั้งที่ ก็ต้องเขียนมันออกมาสิ (วะ)

     หลังจากที่รู้ข่าวว่าเราหาเรื่องเดินทางไปใช้ชีวิตหาประสบการณ์ที่ซานดิเอโก ประเทศสหรัฐอเมริกาจนได้ เพื่อนเราคนหนึ่งเอาเรื่องนี้ไปเล่าให้แฟนฟัง แฟนหนุ่มของชีกล่าวว่า “ผู้หญิงคนนี้ไม่เคยหยุดจริงๆ” 

      ฟังๆ แล้วรู้สึกว่านั่นเป็นสำเนียงที่ออกจะไม่ค่อยไว้วางใจในตัวเราสักเท่าไหร่ แต่ทบทวนเส้นทางชีวิตตัวเองแล้ว มันก็เป็นคำพูดที่ถูก (ต้องบอกว่าอธิบายได้เป๊ะมาก) ที่จริงนอกจากไม่หยุดแล้วยังเปลี่ยนที่เดินบ่อยซะด้วย เราเรียนจบมาแล้วประมาณ 7 ปี เปลี่ยนที่ทำงานมาแล้ว 6 แห่ง ย้ายที่อยู่จากกรุงเทพฯ ไปเชียงใหม่ (ด้วยความอยากล้วนๆ) ได้ 1 กับอีกไม่ถึงครึ่งปีดี นี่ก็ย้ายตัวเองมาอยู่ที่ซานดิเอโกอีกแล้ว

     ตามแผนที่วางไว้ ชีวิตในซานดิเอโกจะมีระยะเวลาประมาณ 1 ปีครึ่ง แต่ว่าถามไปถามมา ดูเหมือนว่าปีครึ่งจะไม่เพียงพอต่อการเรียน เที่ยว ทำงาน เก็บเกี่ยวประสบการณ์ในแบบที่ตั้งใจไว้ซะแล้วแฮะ แต่ก็นะ เราไม่รู้หรอกว่าวันข้างหน้าจะเกิดอะไรขึ้น เอาเป็นว่าเดินไปเรื่อยๆ จนกว่าจะไม่อยากเดินก็แล้วกัน

       อารัมภบทเยอะแล้ว ขอเริ่มต้นเรื่องทุกอย่างที่สนามบินสุวรรณภูมิ...
       เครื่องบินออกเดินทางเวลา 5 ทุ่ม 50 ญาติเราทุกคน ทั้งแม่ อา น้องสาว บอกให้เราเข้าเกทตั้งแต่ 4 ทุ่ม เพราะตม. ต่อคิวยาวมาก (ตามข่าวและความเชื่อของหลายๆ คน) แต่เรามีภารกิจต้องพบปะร่ำลากลุ่มเพื่อนสาวที่ลงเครื่องจากสมุยมาตอน 4 ทุ่มพอดิบพอดีก่อนที่จะไม่ได้เจอกันปีกว่า ตัดสินใจสักพักก็โทรหาเพื่อนสาวเพื่อจะร่ำลา เพื่อนสาวบอกว่า “โอ๊ย ตม. กลัวทำไม” เอาล่ะสิ กลัวที่ไหน ท้ากันอย่างนี้มีหรือจะยอม รอก็ได้ (ไม่กลัวแต่ยืนอยู่หน้าเกท ดูวี่แววตลอดเวลา)     สุดท้ายก็เลยได้กอดเพื่อนสาวก่อนขึ้นเครื่อง แล้ววิ่งเข้าเกทด้วยความตื่นเต้นมาก ปรากฏว่า... คนโหรงเหรง เจ้าหน้าที่เปิดเดินเครื่องตรวจอัตโนมัติ ใช้เวลาไม่ถึง 5 นาที... หึหึ ความนอยด์กับความจริงช่างต่างกันยิ่งนัก

       นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ได้เดินทางออกนอกประเทศที่ไกลกว่าเวียดนาม ครั้งแรกในชีวิตที่นั่งเครื่องบินนานกว่า 3 ชม.  ขอบคุณพระเจ้าที่สามารถจองไฟลท์ของการบินไทยได้ในราคาไม่แพงนัก (ใช่สิ รอต่อเครื่อง 7 ชั่วโมงนี่) และขอบคุณมากขึ้นไปอีกที่ได้นั่งตรงกลางแบบ 4 ที่นั่งโดยที่ไม่มีใครนั่งด้วยเลย ดีนะที่น้องสาวเราแนะนำไว้ก่อนว่า ถ้าเจอเบาะว่างยาวก็ขอนอนได้ เราเลยเหยียดตัวนอนโดยไม่ต้องอายใคร (ไม่งั้นอาจจะไม่กล้า) แต่เอาเข้าจริงก็หลับๆ ตื่นๆ กินๆ ไม่ได้นอนยาวเท่าไหร่ คิดว่าคงเป็นธรรมชาติของการนั่งเครื่อง

       การต่อไฟลท์ 7 ชั่วโมงที่นาริตะไม่ใช่เรื่องโหดร้ายเกินไปนัก เพราะสนามบินนาริตะมีอินเตอร์เน็ตไวไฟให้ใช้ฟรี มีโซนให้เดินเล่นหลายที่ หรูหราไฮโซกว่าไทยและแอลเอซะที แถมยังมีหลายตึก ลงมาจากเครื่องตึกหนึ่ง นั่งรถบัสไปเช็คอินตึกสอง นั่งรถรางไปขึ้นเครื่องอีกตึก ดีแล้วล่ะที่ไม่ได้ขอวีซ่าออกไปข้างนอกสนามบิน ดูซีรีย์ 3 ตอน อัพรูป เมาท์มอย เดินไปเดินมา กินอาหารหนึ่งมื้อ หมดเวลาพอดี

       เราพกเงินสดไปเป็นแสนบาทเลยทีเดียว แต่แลกเป็นดอลล่าร์ก็เหลือไม่กี่พัน เพื่อนเตือนแล้วว่ามันอันตราย ให้แลกไปเป็นเช็ค แต่แลกไม่ทัน ถ้าหายนี่ถึงขั้นสิ้นชีวิต ทีนี้ไปถึงญี่ปุ่น หาของกินต้องคิดราคาเป็นเยน 100 เยนเท่ากับ 39 บาท 31 บาทเท่ากับ 1 เหรียญ งงไม่รู้จะงงยังไง อาศัยจ่ายๆ ไป บอกจำนวนอะไรมากูเชื่อมึง  

       ตั้งใจว่าถึงญี่ปุ่นทั้งที่ ต้องลองกินซูซิของแท้ซะหน่อย ไม่น่าเชื่อว่าตัวเองจะกระแดะได้ถึงขั้นนี้ เพราะคิดกี่ทีก็รู้ว่าอาหารในสนามบินไม่อร่อยและแพง ซัดไป 1300 เยน จ่าย 17 เหรียญทอนมานิดหน่อย ได้ซูชิมาแปดชิ้น ซุปหนึ่งถ้วย เป็นซูชิมะเขือม่วงที่กินไม่เป็นแต่ต้องกินไปซะหนึ่งชิ้น ดีนะที่เป็นคนลิ้นจระเข้ เลยไม่ต้องพยายามมากเท่าไหร่ในการหลอกตัวเองว่าอร่อย   

     ต่อเครื่องจากนาริตะไปแอลเอด้วยสายการบิน American Airlines หรือ AA ที่หลายคนไม่เคยได้ยินชื่อ เกิดการเปรียบเทียบในสมองทันที มิน่าล่ะ การบินไทยถึงดังไปทั่วโลก แค่แอร์โฮสเตสกับสจ๊วตก็กินขาดแล้วอ่ะ ไหนจะความสะอาดสวยงามของห้องโดยสาร ภาพยนตร์ในจอส่วนตัว ความเป๊ะในการบริการ (เช่น การบินไทยต้องเอาแก้วใส่ถาดก่อน แล้วค่อยเอาถาดยื่นแก้วให้ผู้โดยสาร) เรียกได้ว่าการบินไทยชนะเลิศ แต่ที่น่าสลดใจที่สุดคือ AA มีคนนั่งเต็ม เราไม่สามารถเหยียดยาวอะไรได้เลย แม้จะไม่ใช่ความผิดของสายการบิน แต่ก็แอบเคืองอยู่เบาๆ  

     เคยได้ยินความยุ่งยากเข้มงวดของการเข้าประเทศสหรัฐอเมริกามาเหมือนกัน มาอินจัดเอาจริงๆ ก็ตอนกรอก I-94 นี่แหละ ท่านละเอียดยุบยิบมาก เอาของอะไรมาบ้าง เนื้อหมูเนื้อวัวมีมั้ย ไปเข้าฟาร์มมารึเปล่า มีของฝากคนอื่นหรือเอามาขายต่อมั้ย รวมกันเป็นเงินเท่าไหร่

       แอร์ของ AA แนะนำว่า ไม่ควรกรอกค่าของฝากเป็นจำนวนมากกว่า 200 เหรียญ เพราะจะถูกเรียกเก็บภาษีกันเลยทีเดียว เราก็เลยต้องมานั่งคำนวนว่ามีของฝากประมาณกี่บาท คิดเป็นเหรียญได้เท่าไหร่ จะไม่เขียนจำนวนเงินเลยก็กลัวพี่เค้ารื้อกระเป๋าเจอแล้วโดนข้อหาโกหกเจ้าหน้าที่ 

       สิ่งที่ตื่นตาตื่นใจที่สุดระหว่างการเดินทางบนเครื่องบินคือ ตอนที่เครื่องกำลังมุ่งหน้าลงสู่ลอสแองเจอลิส ยิ่งกว่าตอนเห็นภูเขาไฟฟูจิที่ญี่ปุ่นซะอีก คือระหว่างที่บินเข้าแผ่นดินของอเมริกา เราก็เห็นภูเขาสีเหลืองๆ เป็นแนวเยอะมากที่ไม่เหมือนวิวของไทย แอบคิดในใจว่า “God is the best designer” (บนเครื่องพูดแต่ภาษาอังกฤษน่ะค่ะ ขอโทษที) บินต่อไปสักพักก็เห็นทะเลหมอก (หรือเมฆธรรมดาก็ไม่รู้) เป็นพื้นที่กว้างมาก บินอยู่เหนือทะเลหมอกนานแล้วก็ยังไม่เห็นแผ่นดินโผล่มาเลย เราก็อิมเมจิ้นในหัวทันทีว่า เครื่องบินจะพุ่งลงผ่านหมอกมั้ยนะ แล้วเครื่องบินก็หันหัวลงพุ่งเข้าทะเลหมอกผืนนั้นจริงๆ เราคอยนาทีที่เครื่องบินพุ่งเข้าหมอกอย่างตั้งใจมาก เครื่องบินค่อยๆ ค่อยๆ ค่อยๆ ดิ่งลงไป (นั่งลุ้นอยู่นานมาก หลายสิบนาที ดิ่งไม่ถึงซะที) จนถึงหมอก ภาพที่คิดไว้ในหัวคือ เครื่องบินผ่านอะไรขาวๆ แล้วก็ทะลุออกมา เหมือนผ่านดินแดนแห่งความฝัน ชะแว้บ ที่ไหนได้ เครื่องบินใช้เวลาทะลุนานกว่าที่คิด เมฆ (คงไม่ใช่หมอกแล้วล่ะ ทึบขนาดนั้น) หนามาก หน้าต่างเครื่องบินสองฝั่งมีสีขาวทึบอยู่เป็นนาที สมองเราตื่นตัวมาก คิดนั่นนี่แบบว่า “เฮ้ย นักบินเค้าจะเห็นทางมั้ยเนี่ย เฮ้ย นี่อยู่ท่ามกลางก้อนเมฆมหึมาเลยนะเรา เฮ้ย โผล่ออกมาก็เห็นเมืองแล้วป่ะ” จนรู้สึกตัวว่าตัวเองเว่อร์มาก สักพักก็เห็นปีกเครื่องบินจางๆ โผล่มา ชัดขึ้นๆ แล้วก็เห็นเมืองลอสแองเจอลิสอยู่ข้างล่าง

       ทิวทัศน์เมืองแอลเอมองจากมุมบนช่างเก๋ไก๋ แปลนดูมีการจัดวางอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย ถนนหนทางดูง่าย ชัดเจน รถขับเลนส์ขวา บ้านเป็นบล๊อกๆ เรียงๆ กัน มีสนามหญ้าเล็กๆ กับที่จอดรถอยู่หน้าบ้าน เห็นจากด้านบนก็จินตนาการภาพบ้านในหนังที่เคยเห็น ที่นี่ไม่ใช่นิวยอร์กหรือเพลินจิต เลยแทบจะไม่มีตึกสูงๆ ให้เห็น  

      ความเยอะของตม.ในสนามบินแอลเอก็เป็นอีกหนึ่งเสียงลือเสียงเล่าอ้าง อีกทั้งประสบการณ์ตรงของเพื่อนเราบอกว่า ที่นี่คนเยอะมาก ต่อคิวตรวจเอกสารกันนานนับหลายชั่วโมง จะไปต่อเครื่องมีตกเครื่อง โดนถามคำถามเคี่ยวๆ ด้วย ตอบไม่ได้ตอบไม่ดีส่งกลับประเทศก็มี อะไรจะขนาดนั้น

     ปรากฏว่าเหมือนตม.ที่ไทยอีกเช่นกัน สิ่งที่คิด ไม่จำเป็นต้องเป็นอย่างที่คิด แม้ตม.แอลเอจะไม่ใช่เครื่องตรวจอัตโนมัติ แต่ก็ใช้เวลาน้อยกว่าที่คิดไว้ และไม่ได้เคี่ยวอะไรเลยแม้แต่น้อย คิดดูว่าต้องนั่งรอเพื่อนมารับชั่วโมงกว่า เพราะว่ามันเผื่อเวลาผ่านตม.ไว้ให้ด้วย ขอบคุณมาก

ไม่มีความคิดเห็น: