27.3.57

Potato Chip Rock

เราเป็นคนที่ค่อนข้างมีปัญหากับความอดทน
คืออดทนอะไรนานๆ ไม่ได้เลย
นั่งหรือยืนท่าเดิมนานๆ ไม่ได้
เรื่องความเจ็บปวดนี่ทนได้น้อยมาก 
นิดๆหน่อยก็โวยวายจะเป็นจะตาย
อดทนกับความเสียใจไม่ได้ 
อดทนกับการรอคอยไม่ได้
อดทนกับความรู้สึกบั่นทอนอะไรได้น้อยมากกกก
คือไม่มีความสามารถทางด้านนี้

เกริ่นไปก็แค่ต้องการจะบอกว่า ถึงเราจะไม่มีความอดทน
แต่ก็มีบางอย่างเหมือนกัน ที่มันจำเป็นจะต้องอดทน

ที่อเมริกา ไม่รู้ว่าโดยเฉพาะซานดิเอโกหรือเปล่า
มีกิจกรรมหนึ่งที่คนชอบทำกันมาก ก็คือการ Hiking
ตอนแรกที่ได้ยิน เราก็จินตนาการไปว่ามันคือการปีนหน้าผาแบบหน้าผาจำลอง อะไรเทือกนั้น
แต่ Hiking ที่นี่ ก็คือการเดิน (หรือวิ่ง) ไปตามเส้นทางธรรมชาติธรรมดานี่แหละ 
ซึ่งมันก็จะขึ้นๆ ลงๆ เพราะเมืองที่นี่ส่วนใหญ่จะเป็นภูเขา

เราเคยไป Hiking อยู่ไม่กี่ครั้ง
และเส้นทางยอดฮิต อันเป็นเส้นทางแห่งความภาคภูมิใจของเราด้วย
ก็คือเส้นทาง Mount Woodson Trail อันจะนำไปสู่ Potato Chip Rock 
หรือก้อนหินมันฝรั่งอันบางเหลือเชื่อที่หลายๆ คนเคยเห็นในรูปของเรานี่เอง
ภาพโพสต์สวยๆ ของเพื่อนๆ และเสียงลือเสียงเล่าอ้างของมัน ทำให้เราอยากจะไปลองดูสักตั้ง
ก็ชวนสหายคนสนิทที่สุดในโลกวางแผนหาวันเวลาเดินทางกันไป

เส้นทางนี้ถือว่าโหดมากสำหรับมือใหม่ ไร้พลัง ไร้การออกกำลังกาย และไร้ความอดทนอย่างเรา
ระยะทางไปกลับ ประมาณ 6 ไมล์ หรือราวๆ 10 กิโลเมตร แต่ว่าตอนขึ้นเป็นทางชันนะจ๊ะ

เราออกเดินทางจากตีนเขาประมาณบ่ายโมงได้ คืออากาศอาจจะไม่ร้อนเหมือนที่ไทย แต่แม่งก็ไม่ธรรมดา
แน่นอนว่าระยะออกตัวก็ฟิต ตามประสา
แต่เดินไปสักครึ่งไมล์ได้ 
ปรากฏว่ามาเต็ม อาการหอบ หน้ามืด ใจเต้นเร็ว เหมือนจะเป็นลมล้มนอนมันให้ได้ตรงนั้น
สหายเราที่ค่อยๆ เดินเรื่อยๆ นำหน้าไปไม่ไกล ก็ต้องเดินกลับมาดู
เรานั่งแหมะลงไปแทบจะสิบห้านาทีได้ กลัวจะไปตายเอาจริงๆ ถ้าริเดินต่อ
แต่ว่าไหนๆ ก็ตัดใจมาแล้ว ก็ต้องเดินไปให้ถึงที่สุด (วะ)

ไม่น่าเชื่อว่าจากจุดที่เกือบจะเป็นลม
ร่างกายแม่งเหมือนดึงเอาพลังส่วนลึกที่ไม่เคยค้นพบมาก่อนออกมาใช้ว่ะ
ถึงอย่างนั้น ตลอดการเดินทาง เราก็ยังต้องแวะพักแทบจะทุก 20 นาที
มีการถามไถ่ว่า ไหวมั้ย หรือจะมาต่อวันหลัง ไม่ต่ำกว่า 5 ครั้ง

ถ้ามีใครเคยดู Simpson ตอน Are we there yet? ที่เด็กๆ คอยถามพ่อตอนไปเที่ยว
บอกไว้เลยว่าเราก็อาการไม่ต่าง สหายยังคงแซวอยู่จนทุกวันนี้
เดินเหนื่อยแค่ไหนก็เถอะ คอมันก็จะเงยตลอดเวลา
หาว่าไอ้หินก้อนนั้นมันจะโผล่มาให้เห็นเมื่อไหร่ นานเหลือเกินแล้ว

สุดท้ายเราก็ไปถึงจนได้
สหายเรา ถึงจะแบกเป้ใบใหญ่เดินนำหน้าเราไปตลอดทาง
หันกลับมาจิกมาเรียกบ้างอะไรบ้าง
พอไปถึงก็ยังดูสบายๆ 
แต่เราสิ เหมือนหมาหอบแดดยังไงยังงั้น
เห็นหินแล้วเหมือนเห็นสวรรค์ 
คือมันเหนื่อยมาก มันโหดมาก มันร้อน 
ตอนปีนขึ้นไปบนหินก็ทุลักทุเล

แต่เราก็โคตรภูมิใจ
ตั้งใจว่ากลับมาเราจะเขียนโน้ตถึงเรื่องในวันนั้นทันที
เพราะเราไม่ใช่คนที่จะทำอะไรแบบนี้ได้เลย
ตอนก่อนไป เราคิดว่าการได้ภาพสวยๆ บนหินนี่เป็นเรื่องง่าย
ที่ไหนได้ ไปถึงแล้วแทบจะไม่มีอารมณ์ครีเอทโพสต์ด้วยซ้ำ
จริงๆ ยังเสียดายอยู่ที่ไม่ได้นั่งอ้อยอิ่งดูวิวบนหินสักครึ่งชั่วโมง
สหายเร่งแล้วก็มีคนต่อคิวถ่ายรูปอยู่เรื่อยๆ เลย


















ถ้าเราไปคนเดียว ไม่มีทางเลยที่เราจะได้รูปนี้กลับมา
ที่เราไปถึงหินก้อนนั้นได้เพราะ มีคนเดินไปเป็นเพื่อนเรา
การที่มีคนไปกับเราแล้วคอยลากคอยดึงเราขึ้นนี่ช่วยได้มาก
อีกอย่างคือวิวข้างทางมันสวย มันมีอะไรให้ดู (แม้หลายช่วงจะไม่มีอารมณ์ดูเลย) 
มันมีลมพัดมาเป็นระยะ แล้วเราก็รู้ว่า เราไปถึงบนนั้นแล้วเราจะเจออะไร
ถ้าใครมีโอกาสได้ไปเที่ยวซานดิเอโก หรืออยู่ที่นั่น
เราแนะนำเลยว่า จูงมือคนที่คุณรักแล้วก็ไป Hiking ที่นั่นกันสักรอบ

จริงๆ แล้วคนอย่างเรา ถ้าจะอดทนมันก็ทำได้นะ
ตอนนี้เราต้องอดทนอย่างมากกับการรอคอย
อดทนมากจริงๆ แบบที่ไม่เคยพยายามมาก่อน
ตอนนี้เรารู้จุดหมายของเรา เรารู้ว่าเรารอแล้วเราจะได้อะไร
แล้วเรากำลังทำให้ระหว่างทางของเรามันเพลิดเพลินด้วย
(นี่เป็นสาเหตุที่ทำให้มีทริปต่างๆ งอกขึ้นมาเรื่อยๆ แล้วก็หางานหาอะไรทำตลอดๆ)

อีกอย่างนึงที่สำคัญมากเหมือนกัน 
คือเราคิดว่าเรามีคนที่อดทนด้วยกันกับเรา  
คิดไปเองมั้ยไม่รู้ แต่ถ้าหากวันนึงเรารู้ว่าเราต้องอดทนคนเดียว
เราคงไม่มีแรงเดินไปจนถึงจุดหมายแน่ๆ
ก็เป็นคนขี้เหงาอะ ไม่มีความอดทนอีกต่างหาก 
คาดว่าอาการพวกนี้จะดีขึ้นในเร็ววันล่ะ 





6.3.57

ชอบ หลง รัก

วันนี้ น้องสาวคนหนึ่งส่งรูปมาให้ดูทางไลน์
แล้วก็เห็นเพื่อนโพสต์รูปเดียวกันในเฟสบุค
เป็นรูปจากเว็บกระปุกดอทคอม























น้องสาวคนนั้นบอกให้ลองเช็คความรู้สึกตัวเองดู
ว่าสิ่งที่กำลังเป็นอยู่ตอนนี้คืออะไร

จากที่เคยรู้จักกับความชอบ ความหลง ความรักมาบ้าง
มีคนรักที่คบหากันไม่ใช่แค่คนสองคน
เราไม่แน่ใจว่า กราฟนี้ มันจำกัดความรู้สึกที่ว่าได้ชัดเจนถูกต้องมากน้อยแค่ไหน

เป็นไปได้จริงๆ เหรอที่เราอ่านกราฟนี้ แล้วจะบอกตัวเองได้ทันทีว่า
นี่เราแค่ชอบเค้าว่ะ
นี่เราหลงเค้าว่ะ
นี่เรารักเค้าเข้าแล้วว่ะ

แล้วพอเรารู้ตัวว่าเราแค่ชอบเค้าเฉยๆ หรือรักเค้าเข้าแล้ว
หรือแค่กำลังหลงหัวปักหัวปำ
เราทำอะไรกับความรู้สึกตัวเองได้บ้าง
มนุษย์หยุดความรู้สึกตัวเองได้ตั้งแต่เมื่อไหร่

ความรู้สึกเหล่านี้เป็นอะไรที่ซับซ้อนมากกว่านั้น
ยิ่งมาอยู่ในตัวมนุษย์เลอะเทอะอย่างพวกเรา
มันก็ยิ่งซับซ้อนขึ้นไปใหญ่

คนบางคน ชอบเค้านิดหน่อยก็คิดถึงเค้าเกือบตาย
ในขณะที่คนบางคน รักเค้าจะตาย แต่ไม่ได้รู้สึกคิดถึงห่วงหาอะไรเท่าไหร่เลย
และความหลง บางทีก็ไม่ได้อยู่แค่เพียงชั่วขณะด้วย

ความชอบของเรา กลายมาเป็นความรักตั้งแต่ตอนไหน เราไม่เคยรู้
อะไรที่หายไป อะไรที่เพิ่มขึ้นมา เราก็ไม่เคยรู้
ความรักที่ไม่หายไปจากใจ แต่ไม่ต้องการอยู่ด้วยกันอีกต่อไป
ยังเป็นความรักอยู่ไหม เราก็ไม่รู้
ความหลงที่เค้าว่ากัน เราเคยเรียกมันว่ารัก
แล้วความรู้สึกจริงๆ ที่เกิดขึ้น คือรักหรือหลง เราก็ไม่รู้
เราควรจะใช้อดีตที่เรารู้สึกจริง หรือปัจจุบันที่เรามองกลับไป
มาอธิบายมันดี เราก็ไม่รู้

ปัญหาที่เกิดขึ้นจริงๆ
เราคิดว่า เพราะมนุษย์จัดการกับความรู้สึกของตัวเองไม่ได้
อยากรัก ก็รักไม่ได้
อยากเลิกหลง ก็เลิกไม่ได้
คิดถึง ทำยังไงให้หายคิดถึง
อึดอัด ทำยังไงให้หายอึดอัด
แม้เราพยายามจะหาคำอธิบายให้กับความรู้สึกต่างๆ ของตัวเอง
เพราะถ้าได้รู้จักตัวเอง เราคงจะรู้สึกปลอดภัยขึ้นระดับหนึ่ง
แต่เราว่า ก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี

ความรู้สึกระหว่างคนสองคน มันคงไม่ใช่แค่ ชอบ หลง รัก
มันคือ ห่วงใย ผูกพัน หึงหวง อิจฉา เคยชิน สบายใจ ใส่ใจ
มันผสมปนเป ก่อร่างเป็นความรู้สึกระหว่างคนสองคนที่มีรูปแบบเฉพาะตัว

เราคิดว่า ความสัมพันธ์ที่หนึ่งคนมีกับคนอีกสิบคน
มันก็เป็นเหมือนความรักสิบรูปแบบ
ไม่ซ้ำกัน ไม่เหมือนกัน และใช้วิธีการจัดการที่แตกต่างกัน
เป็นการเรียนรู้ใหม่ตลอดเวลา

นี่อาจจะเป็นหนึ่งเหตุผล
ที่ทำให้คนเหนื่อยกับความสัมพันธ์ได้ง่ายดายเหลือเกิน

ก็ถ้าเรื่องแบบนี้มันอธิบายได้ง่ายเหมือนกราฟข้างบน
ชีวิตคงง่ายกว่านี้เยอะ


ร้านกาแฟ T-ten
6 มีนาคม 2557
20.38 น.

9.9.55

Last night I dreamed...


ฉันเคยรักเธอ
ความรัก ณ วันนั้น ช่างยิ่งใหญ่
เธอคนหนึ่ง คนนี้ในจิตใจ
เรื่องราว ผ่านไป ไม่กลับมา

ฉันเคยรักเธอ
รักมากมายเพียงใด ก็ไร้ค่า
เธอหันกลับ ฉันหันกลับ ไม่ร่ำลา
ไร้วาจา ไร้เหตุ ไร้ตัวตน

ฉันยังรักเธอ
ห่างแสนห่าง ห่วงแสนห่วง ทุกแห่งหน
น้ำตารินเท่าไร ใจกังวล
รักและรัก อดและทน จนเจ็บใจ

ฉันรักเธอ
แม้จะรักมากแค่ไหน 
หันหลังกลับ จบทาง ต่างคนไป
รักและรัก เหลือไว้ เพียงทรงจำ 


inspired from a dream in a night
August 14th, 2012
San Diego, CA

แม้ตอนจบ..

อะไรเป็นสิ่งบ่งบอกว่าคนคนหนึ่งได้เติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว
ฐานะ หน้าที่การงาน การมีครอบครัว
ความสามารถในการจัดการความรับผิดชอบที่มากขึ้น
ความเข้าใจและเปิดกว้างต่อผู้อื่น
หรือความเข้าใจในชีวิต

สิ่งหนึ่งที่หมี่เรียนรู้และเข้าใจได้มากขึ้นทุกวัน
คือ อย่าคาดหวังว่าทุกอย่างจะเป็นอย่างที่คิด
แม้สิ่งที่เราเห็นว่าเป็นอย่างที่คิด
ก็อาจจะไม่ใช่อย่างนั้นก็ได้

เด็กน้อยที่เรียนรู้เพียงแค่การควบคุมสิ่งรอบข้างให้เป็นไปตามใจตัวเอง
ในที่สุดอาจจะกลายเป็นเด็กเอาแต่ใจ
และในวันหนึ่ง คงจะต้องพบกับความผิดหวัง
หลายครั้งต่อหลายครั้ง
เพื่อเรียนรู้ว่า ชีวิตคือความไม่แน่นอน

การเปลี่ยนแปลงหลายครั้งในชีวิต ไม่ได้เกิดจากความตั้งใจ
ทั้งของตัวเองและของผู้อื่น
แต่ชีวิตคือความไม่แน่นอน แม้เรารู้และคิดว่าเราเข้าใจ
เวลาผ่าน เราก็ยังไม่เข้าใจ
ทำได้เพียงแค่ปล่อยให้ชีวิตเดินไปตามทางของมัน
ทางที่เป็นไปตามใจตัวเอง ตามความรู้สึก ตามหลักการ หรือแม้กระทั่งตามคนอื่น

หากชีวิตคือความไม่แน่นอน 
และการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นเสมอ
หมี่ก็ปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามใจก็แล้วกัน
ตอนจบ ไม่ว่าบทเรียนจะเป็นยังไง
หมี่เชื่อว่าพระเจ้าดูแลอยู่

และน้ำตาหรือเสียงหัวเราะที่เกิดขึ้น
ก็เป็นสิ่งที่เราเลือกเอง



5.8.55

มันก็ยังงงๆ

คิดถึงชีวิตที่ประเทศไทย
ชีวิตที่จะตื่นกี่โมงก็ตื่น
อยากเจอใครก็ได้เจอ
อยากไปไหนเมื่อไหร่ก็ไปได้ง่ายๆ
ได้ทำงานที่อยากทำ


ยังไม่ได้เบื่อที่ใหม่
มีอีกหลายที่ ที่ยังไม่ได้ไปเที่ยว
เอาจริงๆ ตอนนี้ก็ยังสงสัยอยู่ด้วยซ้ำ ว่าจะได้เที่ยวจริงหรือเปล่า
หรือถึงเวลาก็ทำงานๆๆๆ แล้วก็มัวแต่เก็บตัง ไม่กล้าใช้ซะนั่น


ทุกวันนี้ยังมีคนถามอยู่ว่า หมี่มาอเมริกาทำไม
มาเรียนก็ไม่ใช่ซะทีเดียว มาหาเงินก็ไม่ใช่ซะทีเดียว
มาเที่ยวก็ไม่เชิง
เอาเข้าจริง วัตถุประสงค์คือ มาหาเงินเที่ยวแล้วก็เรียนขำๆ ล่ะมั้ง


อยู่ที่นี่มาสักพัก ยังไม่ค่อยได้ไปเที่ยวไหน
เพราะว่ายังไม่มีตัง ยังไม่มีรถ ยังไม่มีเวลา
เอาเวลาหาตังซื้อรถก่อนตอนนี้
ก็เคยมีความคิดขึ้นมาเหมือนกันนะ
ว่าเวลาไปเที่ยว เราก็อยากให้คนสนิท คนที่เรารักไปด้วยกัน
ถ้าไปเที่ยวโดยที่ไม่มีคนนั้นไปด้วย มันจะมีความสุขได้จริงรึเปล่า
ชีวิตที่คุ้มที่สุดคือการใช้เวลากับประสบการณ์ใหม่ๆ หรือการใช้เวลากับคนรอบข้างกันแน่


ทุกวันนี้พยายามลองอะไรใหม่ๆ
ทำอะไรที่ทำที่ไทยได้ยากๆ
กินอาหารเม็กซิกันมั่ง อาหารกรีกมั่ง
ไปดูหนังภาษาอังกฤษมั่ง
เดี๋ยวจะหาเวลาไปเดินมิวเซียม
แล้วก็ใช้ของยี่ห้อที่ประเทศไทยไม่มี (ถ้ามีปัญญาซื้อ)
ตอนนี้พยายามเดินตัดหน้ารถให้มากที่สุด
เพราะอยู่ไทยเราค่อยๆ เดินผ่านหน้ารถไม่ได้ แม่งโดนด่า
อยู่นี่เดินผ่านหน้ารถ ไม่จำเป็นต้องรีบแม้แต่น้อย


ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมต้องอยู่ให้ถึง 1 ปี
ทำไมต้องเรียนให้จบ Certificated 1 ตัว
ที่จริงไม่ได้มีความจำเป็นต้องใช้ใดๆ เลย
แล้วจะมีเวลาได้ไปเที่ยวอย่างที่อยากเที่ยวรึเปล่า
ถ้าต้องไปคนเดียวจะกล้าไปมั้ยก็ไม่รู้
......




แต่คนเรา จะทำอะไรสักอย่างแม่งก็ต้องมีเป้าหมายป่าววะ
โตๆ กันแล้ว ชีวิตเป็นของเรา ทำอะไรก็ทำให้มันถึงที่สุดไป
เราจะได้รู้จักเราดีขึ้น ว่าเราทำอะไร อยู่กับอะไรได้แค่ไหน
เลือกเอง ตัดสินใจเอง เรียนรู้เอง จะได้ไม่ต้องโทษใคร


คำถามมันก็วนเวียนอยู่แค่นี้ล่ะชีวิต
คำตอบน่ะสิ ที่อาจจะแตกต่างกันไปแต่ละคน แล้วก็แต่ละช่วงเวลา



9.7.55

เรื่องแย่ๆ ที่ยังไม่รู้ตอนจบ


เวลาในซานดิเอโกผ่านไปอย่างเชื่องช้าและรวดเร็วในขณะเดียวกัน
วันแต่ละวันจบเร็วเหลือเกิน
อย่างไรก็ตาม เงยหน้ามองปฏิทินอีกทีก็พบว่า เรามาอยู่ที่นี่ยังไม่ถึงเดือนเลยหรือ 
แม้ไม่ได้รู้สึกอยากกลับบ้าน แต่ก็อดคิดไม่ได้ว่า ทำไมเวลาเดินช้าจัง 

ไม่มีปัญหาอะไรกับการปรับตัว
เริ่มมีงานการให้ทำบ้างแล้ว
เพราะมีกัลยาณมิตรที่เป็นของขวัญจากพระเจ้าชิ้นสำคัญคอยให้การดูแลอย่างดี
ขอบคุณคนรอบข้างยิ่งนักสำหรับการช่วยเหลือที่ยังไม่สิ้นสุด 

เรื่องแย่เรื่องที่ 1
เพิ่งจ่ายค่าบ้านเดือนที่ 2 พร้อมมัดจำไป
แล้วก็จ่ายค่าเรียนอีกสองพันกว่าเหรียญ 
ยังมีเงินไม่พอสำหรับรถยนต์มือสองราคาสามพันเหรียญ
แล้วก็ไม่รู้จะพอเมื่อไหร่

เรื่องแย่เรื่องที่ 2 
ไปมหาวิทยาลัยเมื่อวาน เดินเหนื่อยมาก มหาวิทยาลัยกว้างมาก แล้วต้องเดินแม่งทุกวันจนกว่าจะจบ 
ไปมหาวิทยาลัยวันนี้ ต้องตื่นตั้งแต่ 6 โมงครึ่ง เพื่อไปรับผลวัดชั้นเรียนให้ทันตอนแปดโมง
ไม่ได้รับผล ไม่ได้เข้าเรียนจนกว่าจะถึงวันศุกร์ เพราะยังไม่มีผลตรวจวัณโรคไปส่ง
พลาดชั้นเรียนไปเลย 2 วัน เรียนอยู่ 20 วัน ราคา 2000 เหรียญ
ไม่ได้เข้าเรียน 2 วัน ก็หายไปแล้วฟรีๆ 200 เหรียญ ขอบคุณมาก
ประทับใจ!!!

เรื่องแย่เรื่องที่ 3
เพื่อนเราคนหนึ่ง เป็นมะเร็งปอด ตอนนี้กำลังอยู่ในห้อง ICU
เพื่อนเราคนนี้ชื่อปุ่น 
เราเรียนที่นิเทศจุฬาด้วยกัน แต่ไม่ได้คุยกันบ่อยนักหรอก
มาเจอกันหลายๆ ครั้งก็ที่เชียงใหม่
ปุ่นมาบวชชีที่วัดจอมทอง ตอนนั้นรู้ตัวแล้วว่าป่วย ผมร่วงจากคีโมแล้ว 
ปุ่นบอกกับเราจากปากเองว่าเป็นมะเร็งปอด
ตอนนั้นปุ่นจะสึกออกจากชี และบอกเราว่าอยากไปเที่ยวที่นั่นที่นี่ อยากใช้ชีวิตให้คุ้ม
ปุ่นชวนเราไปกินข้าวร้าน W by หวานละมุน แล้วไม่ยอมให้เราจ่ายตัง
ปุ่นให้เราไปสอนภาษาอังกฤษให้พระที่ปุ่นรู้จัก
ปุ่นคุยกับเราตั้งเยอะและ เรื่องอเมริกา ตอนที่รู้ว่าเราจะมา
เราเห็นภาพปุ่นกับแฟนหัวโล้นทั้งคู่ เป็นภาพที่น่ารักมาก
ตอนนี้ปุ่นอยู่ที่ ICU 
ตอนเราคอมเมนท์เฟสบุ๊คให้กำลังใจปุ่น เราน้ำตาจะไหล
ตอนนี้ก็น้ำตาจะไหล
ไม่เคยมีคนใกล้ชิดมากๆ คนไหนป่วยหนักและไปจากเรา เราไม่เข้าใจความรู้สึกนั้น
เราอยากเจอปุ่นอีกทีที่เชียงใหม่นะ 
เราไม่รู้ว่าปุ่นเป็นไงบ้าง ทรมานแค่ไหน
เป็นกำลังใจให้ปุ่นนะ สู้ๆ เข้มแข็งไว้ 

ยังมีเรื่องแย่อีกหลายเรื่อง ที่เกิดขึ้นกับเรา กับคนรอบข้าง กับคนอื่นที่ไม่รู้จัก
เรื่องที่ไม่จำเป็นต้องเล่า ไม่ต้องการจะพูด แม้กระทั่งไม่ควรแม้แต่จะเอ่ยให้ใครได้ยิน
แต่เรื่องทุกอย่างที่ดูเหมือนแย่ 
ตอนจบอาจจะเป็นเรื่องที่ดีก็ได้
พระเจ้าบอกว่า ทุกสิ่งที่เกืดขึ้น มีเพื่อพระประสงค์อันดีของพระเจ้า
เราก็ทำได้แต่เชื่ออย่างนั้น

ขอพระเจ้าดูแลปุ่นด้วยนะคะ 

22.6.55

ดราม่ากะจุดยืน


ไม่น่าเชื่อเลยว่า ละครหนุ่มบ้านไร่หวานใจไฮโซอะไรนี่จะทำเราน้ำตาเล็ดได้
ช่วงนี้ไม่รู้เป็นอะไร เจอแต่เรื่องดราม่าของคนอื่น
แม่งการเสพเฟสบุ๊คและการดูละครหลังข่าวนี่ กระตุ้นต่อมเซนส์ซิทีฟมากกว่าที่คิดเยอะนะ 

วิเคราะห์ตัวเองแล้ว หมี่เป็นคนไม่มีจุดยืนในเรื่องที่่ตัวเองไม่ได้เกี่ยวข้อง
คิอมาถามว่ากูคิดยังไง เลือกอะไรนี่ ตอบไม่ได้ เป็นนกหลายหัวมาก
หลายๆ อย่างก็ทำไปโดยที่ไม่ได้เกิดจากความตั้งมั่นหรืออุดมการณ์อะไรในจิตใจ
คงอารมณ์ชนชั้นกลางทั่วไป
ไหลตามกระแสไปเรื่อยๆ และเรื่อยๆ 
คิดบ้าง อินบ้างในบางเรื่อง และก็ไม่สนใจเหี้ยไรเลยในบางเรื่อง

ดูไร้สาระไปวันๆ
แต่บางทีก็อยากจะรู้จริงๆ ว่าคนเราแม่งต้องมีจุดยืนอะไรในชีวิตด้วยเหรอ
ไม่มีแล้วเป็นอะไรมั้ย

เพราะเท่าที่ดูจากชีวิตของตัวเองแล้ว
แม้จะไม่รู้ว่ามีอุดมการณ์อะไร แต่ทุกการกระทำก็มีเหตุผลที่เป็น "กู" เสมอ
คือกูเชื่อแบบนั้นอะแหละ มันเลยทำแบบนั้น ณ ตอนนั้น 
ไม่ได้มีอุดมการณ์อะไร ไม่ได้มีจุดยืน 
แต่ก็รู้สึกว่าชีวิตไม่ได้มีปัญหาอะไรนะเว้ย

เรื่องนึงที่หมี่เชื่อนะ หมี่คิดว่า ชีวิตของคนเรามันน่าจะเป็นไปตามทางที่ตัวเองเชื่อ
คือบางทีแม่งตัวมันเองก็ไม่รู้หรอกว่าจริงๆ แล้วเชื่อหรือยึดมั่นในวิถีทางแบบไหน
แต่สิ่งเหล่านั้นบอกได้ด้วยชีวิตที่เห็นนั่นแหละ
คนที่ไม่ได้ทำในสิ่งที่ตัวเองเชื่อ ก็แปลว่าไม่ได้เชื่ออย่างนั้นรึเปล่าวะ
ปากพูดยังไงก็ได้ แต่ใจกับความรู้สึกมันส่งผลออกมามากกว่าอยู่แล้วนะ

ทีนี้ปัญหามันเกิด แล้วคำถามก็เกิด 
คนที่เชื่อไม่เหมือนกัน หรือคิดว่าเรากับเขาเชื่อไม่เหมือนกัน
มันควรจะอยู่ด้วยกันได้มั้ย เดินร่วมทางกันได้มั้ย 

ข้อหนึ่ง ตามทฤษฎีของหมี่ ถ้า ชีวิตมันวิ่งมาป๊ะ ปะทะกันแล้ว มันแปลว่าต้องมีอะไรที่ร่วมกันมาอยู่บ้าง
เรื่องที่เชื่อไม่เหมือนกันก็มี แต่เรื่องที่เชื่อเหมือนกันก็น่าจะมี เอายังไงต่อ?

ข้อสอง แน่ใจแล้วเหรอ ว่าอุดมการณ์และจุดยืนของเราที่คิดว่าอะไรใช่หรือไม่ใช่ มันถูกต้องจริง
สำคัญจริง มันจะเปลี่ยนไปอีกมั้ยในวันข้างหน้า ถ้าหลายๆ อย่างพังไปเพราะเรื่องพวกนี้แล้ววันนึงเกิดค้นพบว่าไม่ใช่ว่ะ จะหน้าแตกจะเสียใจมั้ยวะ?

ข้อสาม รู้ได้ยังไงว่าจริงๆ แล้วไอ้คนที่จุดยืนไม่เหมือนเรา มันไม่เหมือนจริงรึเปล่า ไม่แน่ว่ามันอาจจะไม่รู้ตัวก็ได้นะว่ามันเชื่ออะไรอยู่ ทุกอย่างแม่งอาจจะเป็นการเข้าใจผิด แม้แต่เราเองก็อาจจะยังไม่ชัวร์ก็ได้ว่าอะไรคือจุดยืนของกูในเรื่องนั้นเรื่องนี้กันแน่วะ แล้วบางทีมันก็เป็นแค่จุดยืนในเรื่องเล็กๆ เรื่องนึงที่เข้ามาเกี่ยวข้องในชีวิต แล้วตัดสินกันไป ทะเลาะกันไป ลากมาเชื่อให้เหมือนกันไป แล้วไง? 

ข้อสี่ ไม่เห็นสนุกเลย เจอแต่คนที่คุยเรื่องเดียวกับตัวเอง สนับสนุนความเชื่อเดิมๆ พูดเรื่องอุดมการณ์ของตัวเองกันไปเรื่อยๆ ไม่ตื่นเต้นอะ ไม่สร้างสรรค์ ไม่เปิดโลก ยังกะลัทธิ โลกไม่กว้าง

คิดไปเรื่อย ตั้งคำถามไปเรื่อย แต่คิดอีกทีแล้วเรื่องพวกนี้มันไม่ใช่ประเด็นนะ  
การคุยกันด้วยคนละความเชื่อคนละจุดยืนไม่ใช่เรื่องเสียหายซะหน่อย
ถามก็ตอบกันไป ไม่เห็นด้วยก็หาเหตุผลมา ยอมรับรึเปล่าก็เรื่องของแต่ละคน
จะไปหงุดหงิดหรือคับแค้นใจกับความแตกต่างอะไรพวกนี้ มันก็ช่วยอะไรไม่ได้เลยนะ
ใครจะยอมรับหรือไม่ ถ้าหากสิ่งที่เราเชื่อมันถูกต้อง เดี๋ยวชีวิตมันก็ส่งผลออกมาเอง
คนอื่นเห็นก็รู้เองว่าเรามีความสุขกับทางที่เราเดิน
แค่นี้ก็จบแล้ว ไม่เห็นยากเลย

ดราม่ากับละครอย่างมากก็น้ำตาไหล
แต่ดราม่าเรื่องอื่น เห็นแล้วมันปวดใจนะ